บทที่ 347 แม่ลูกรวมใจ (1)
“ไม่เอา!”
“ไม่ฟัง!”
“ไม่ได้!”
“ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ!”
ณ ตำหนักเหรินโซ่ว กู้เจียวที่เพิ่งจะเสนอความคิดอะไรบางอย่างให้ฟังกลับถูกจวงไทเฮาปฏิเสธรัว จนกู้เจียวแทบจะหาจังหวะแย้งไม่ได้เลย
อย่างมากกู้เจียวก็ทำได้แค่ร้องอุทานเสียงประหลาดออกมา
เพราะตั้งแต่รู้จักท่านย่ามา นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวถูกปฏิเสธอย่างไร้หนทางไปต่อ
ที่จริงก็ไม่ได้จะให้ท่านย่าต้องทำอะไรมาก กู้เจียวก็แค่พูดตามที่ท่านปู่บอกให้พูด ให้ท่านย่าวางอคติชั่วคราวและร่วมมือกับฝ่าบาทเพื่อล่อคนร้ายตัวจริงออกมา
แต่ดูเหมือนท่านย่าจะไม่อยากให้ความร่วมมือเท่าไหร่นัก
“เดี๋ยวข้าให้กินผลไม้อบแห้งวันละสามลูกดีไหม” กู้เจียวพยายามต่อรอง
“เหอะ!” จวงไทเฮาไม่สนใจ
“สี่ล่ะ”
“เอ่อ…ห้าล่ะ” กู้เจียวกางนิ้วทั้งห้าออกให้ดู
จวงไทเฮาไม่ยอมอ่อนข้อง่ายๆ ก่อนจะเดินไปที่ห้องหนังสือและทิ้งกู้เจียวไว้ตรงนั้น
“เฮ้อ” กู้เจียวถอนหายใจ
จากนั้นเดินออกมานั่งปล่อยใจที่ชิงช้ายักษ์
ที่นี่ช่างดูเงียบเหงายิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เจ้าตัวเล็กไม่อยู่ด้วยกัน
แม้อากาศยามค่ำคืนเดือนเจ็ดยังคงร้อนอยู่ แต่เนื่องจากฝนตกต่อเนื่อง จึงไม่อบอ้าวเหมือนวันก่อนๆ
กู้เจียวแกว่งชิงช้าอย่างเบื่อหน่าย ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
และในตอนนั้นเองที่ฉินกงกงเดินเข้ามาหาพอดี “แม่นางกู้”
กู้เจียวใช้เท้าจิกลงพื้นเพื่อหยุดแกว่งชิงช้า
“ฉินกงกง” กู้เจียวทักทายเขากลับ
ฉินกงกงมาหยุดยืนนิ่งอยู่ข้างชิงช้า มองไปที่กู้เจียวแล้วแหงนหน้ามองแผ่นฟ้าที่มืดมิด
ฉินกงกงนึกย้อนไปถึงวันที่เขาได้เจอกับกู้เจียวเป็นครั้งแรก เขามองว่านางเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่รู้จักกฎเกณฑ์ใดๆ แต่ต่อมาพอได้รู้จักกันนานวันเข้า เขาก็พบว่า เขาคิดผิด
นางคือผู้ที่เหยียบกฎเกณฑ์ไว้เสียจมดินต่างหากล่ะ
นางมีความสุขุมนุ่มลึกที่หาได้ยากในเด็กวัยเดียวกัน
นางเป็นเด็กที่ติดดิน ไม่เข้าหาทางโลก อีกทั้งเป็นคนจริงใจ ไม่ทวงบุญคุณ ไม่นึกสงสัยใคร
ไม่ว่าคนคนนั้นจะดีหรือร้ายอย่างไร
นางเป็นคนมีความเชื่อของตัวเอง เป็นคนหนักแน่นมาก ไม่มีใครมาทำให้นางหวั่นไหวได้ง่ายๆ
ไม่น่าเชื่อว่าเด็กสาวร่างผอมบางผู้นี้ดูเหมือนจะมีพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นพลังที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ และยังเป็นพลังที่ทำให้ผู้คนอยากเข้าใกล้
บางครั้งฉินกงกงก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าฝ่าบาทแน่วแน่และเชื่อมั่นในตนเองเหมือนกับที่แม่นางกู้เป็น เรื่องของฝ่าบาทกับไทเฮาไม่บานปลายมาจนเป็นอย่างทุกวันนี้กระมัง
“ฝ่าบาทติดไทเฮามากเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ยิ่งกว่าองค์หญิงหนิงอันเสียอีกขอรับ”
ฉินกงกงนึกย้อนไปยังความทรงจำในอดีตที่ทำให้เขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่า ครั้งหนึ่ง… จวงไทเฮาเคยพาองค์ชายของตระกูลจวงมา แต่องค์ชายผู้นั้นไม่รู้ทางในวัง แถมยังถูกสุนัขของกุ้ยเฟยขู่จนตกใจกลัว ไทเฮาจึงต้องคอยจับมือองค์ชายคนนั้นไว้ตลอด กลับกลายเป็นว่าเรื่องนี้ทำเอาฝ่าบาทรู้สึกน้อยใจมาก พอตกกลางคืน ก็ทรงไม่ยอมเสวยอาหาร ไม่ยอมหลับยอมนอน เอาแต่พลิกตัวไปมาบนเตียง สุดท้ายก็ไม่ยอมพูดออกมาว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร”
“จิ้งไท่เฟยถามฝ่าบาทว่ามีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า แต่ทรงไม่พูดอะไรเลย องค์หญิงหนิงอันเองก็เอ่ยถามเช่นกัน แต่ฝ่าบาทก็ทำหน้าบูดบึ้งและไม่พูดอะไร”
กู้เจียวฟังไปก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก พลางนึก ขนาดจิ้งคงไม่เห็นจะเอาแต่ใจแบบนี้เลย
“แล้วภายหลังเป็นอย่างไรต่อหรือท่าน” กู้เจียว
ฉินกงกงยังคงหัวเราะต่อ “จิ้งไท่เฟยก็เลยส่งฝ่าบาทไปที่ตำหนักไทเฮา ซึ่งก็คือตำหนักคุนหนิงในตอนนี้ ฝ่าบาททรงปีนขึ้นไปบนเตียงของไทเฮาและทรงบรรทมที่นั่น พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็ทรงกลับมาสดใสเหมือนเดิม”
กู้เจียวเบะปาก เอาแต่ใจชะมัดฮ่องเต้คนนี้
“ตอนนั้นฝ่าบาทอายุเท่าไหร่รึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
ฉินกงกงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ดูเหมือนอายุเจ็ดหรือแปดพรรษาขอรับ ตอนนั้นฝ่าบาทน่าจะอายุน้อยกว่าองค์ชายเจ็ดเล็กน้อย แต่รูปร่างไม่อ้วนเท่าองค์ชายเจ็ด ที่เห็นฝ่าบาทรูปร่างสูงใหญ่ตอนนี้ แต่ในอดีตพระองค์เคยผอมเหมือนลิงไส้กิ่ว ขนาดไทเฮายังเคยคิดว่าฝ่าบาทน่าจะไม่โตไปมากกว่านี้แล้วขอรับ”
คงคล้ายกับจิ้งคงสินะ ดูเหมือนว่ากู้เจียวจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความสูงของจ้าตัวเล็กมากเกินไปแล้วสินะ เด็กบางคนต้องใช้เวลาหน่อยกว่าจะมีรูปร่างสูงใหญ่
“แล้วหลังจากนั้นล่ะท่าน” กู้เจียวสนใจอยากฟังต่อ
ฉินกงกงถอนหายใจ “ต่อมา ฝ่าบาทและไทเฮาค่อยๆ เหินห่างจากกัน ข้าเองก็บอกไม่ได้แน่ชัดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ กล่าวโดยสรุปคือ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น ส่วนองค์หญิงหนิงอันผู้เป็นตัวกลางก็เริ่มลำบากใจ หลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ โดยมีจวงไทเฮาปกครองหลังม่าน จวงไทเฮาก็สั่งเนรเทศจิ้งไท่เฟยให้ไปอยู่ที่สำนักชี จากนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองก็เป็นอันขาดสะบั้น”
ฟังดูน่าเจ็บใจไม่น้อย
กู้เจียวไม่สามารถเข้าใจอารมณ์ของพวกเขาทั้งหมดได้ แต่ก็ลองนึกภาพตามหากเป็นตัวเองกับจิ้งคง ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งจิ้งคงทิ้งตัวเองไปหาคนอื่น คงต้องรู้สึกเสียใจมากแน่ๆ
ความรู้สึกเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมากที่สุดบนโลกใบนี้ ต่อให้ไม่ใช่ความผูกพันทางสายเลือด แต่ถ้าได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วก็คงไม่แคล้วกันไปง่ายๆ
“ท่านย่ากับจิ้งไท่เฟยก็เป็นเช่นนั้นหรือ” กู้เจียวเอ่ยถาม
ฉินกงกงพยักหน้า ใช่แล้ว ไทเฮากับจิ้งไท่เฟยครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน แต่มีหรือที่คนเราจะไม่เคยถูกหลอกเลย
ว่ากันว่า ศัตรูยังไม่น่ากลัวเท่าคนใกล้ตัวที่แปรพักตร์
กู้เจียวนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “ท่านย่าออกจะฉลาดขนาดนั้น แต่ไม่รู้วิธีที่จะชิงฝ่าบาทมาจากคนๆ นั้นได้เลยหรือ”
ฉินกงกงได้แต่ส่ายหัว “ใช่ว่าไม่มีวิธี แต่แค่ไม่อยากคิดวิธีต่างหากขอรับ พอปลงแล้วก็ไม่อยากจะไปคิดไปยุ่งวุ่นวายอีก”
“ไม่มีอะไรน่าเศร้าไปกว่าหัวใจที่ตายด้าน…สินะท่าน”
ฉินกงกงพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นขอรับ”
กู้เจียวเคยมีประสบการณ์กับความรู้สึกแบบนี้มาก่อน และนางก็จำความรู้สึกนั้นไม่ได้อีกต่อไป ความทรงจำเกี่ยวกับการถูกพ่อแม่ทอดทิ้งในวัยเด็กเหลือเพียงเสียงและภาพไม่กี่ภาพ นางสามารถมองดูพวกเขาอย่างสงบโดยไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปได้แล้ว
มันคือความชินชานั่นเอง
กู้เจียวคุ้นชินกับความรู้สึกชินชาตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นในอดีตภพ กู้เจียวจึงสามารถเป็นสายลับในองค์กรและเป็นนักฆ่าที่เลือดเย็นที่สุดได้
ส่วนจวงไทเฮาที่เพิ่งประสบกับสิ่งเหล่านี้ในช่วงวัยกลางคน แม้จะไม่สามารถทำใจให้ชินชาได้ทั้งหมด แต่ก็ทำได้เพียงพยายามต่อไป
อีกทั้งความเป็นไทเฮา ความเป็นเสด็จย่าของแผ่นดินที่ค้ำคออยู่ นางไม่มีทางลดตัวลงไปหาเรื่องกับจิ้งไท่เฟยเพื่อแย่งบุตรชายที่ตัวเองเลี้ยงดูและผูกพันมาได้หรอก
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบใจท่านฉินกงกงมาก”
กู้เจียวไม่มีทางบังคับให้ท่านย่าทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ
ในเมื่อแผนการของท่านปู่ไม่ได้ผล ก็ต้องลองหาวิธีอื่นดู
ฉินกงกงรู้สึกโล่งใจ มองว่ากู้เจียวเด็กที่มีเหตุผล ไม่แปลกที่ไทเฮาจะรักและเอ็นดูนางขนาดนี้ ขนาดตัวเขาเองยังอดเอ็นดูนางไม่ได้เลย
แต่เขาเป็นแค่ขันทีตัวเล็กๆ ไม่ได้มีสิทธิ์ไปเอ็นดูอะไรมากมายขนาดนั้น
กู้เจียวลงจากชิงช้าแล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องทรงหนังสือของไทเฮา
จวงไทเฮากำลังโมโหกับกองฎีกาที่เพิ่งได้อ่าน แม้จะรู้ตัวว่าตัวเองก็ไม่ใช่นายที่ดีที่สุด แต่ด้วยความที่นางทำงานในวังหน้าและหลังมากนาน จึงรู้ว่าน้ำที่ใสเกินไปก็ไร้ปลา
พระองค์เห็นคุณค่าในความสามารถของคนคนหนึ่งเสมอ และเมื่อใช้จุดแข็งของใครบางคน นางจะยอมรับจุดอ่อนของคนอื่นๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้ที่อยู่ภายใต้คำสั่งของนางสามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้
ทุกสิ่งมีขีดจำกัด นางไม่สามารถฆ่าล้างบางใครได้เลยหากไม่พอใจ เพราะนั่นเท่ากับว่านางกำลังกลั่นแกล้งคนไร้ทางสู้ด้วย แต่ถ้าเรื่องมันเลยเถิดจริงๆ แน่นอนว่าจวงไทเฮาย่อมไม่ปล่อยไปง่ายๆ เช่นกัน
“เงินล้านตำลึงค่าบรรเทาภัยพิบัติ ถูกโกงไปแสนห้าตำลึง ไม่ให้ฆ่าเจ้าแล้วจะฆ่าใคร!”
จวงไทเฮาตะคอกอย่างเย็นชาและโยนสมุดบันทึกลงในกองสมุดบันทึกที่ต้องส่งต่อไปถึงฮ่องเต้ คนอย่างเขาต้องหาวิธีจัดการขั้นเด็ดขาดอย่างแน่นอน
“ท่านย่า”
กู้เจียวค่อยๆ ชะโงกหัวเข้าไปในห้อง
ไทเฮาแค่ฟังเสียงก็รู้แล้วว่าใคร
“ทำอะไรน่ะ” จวงไทเฮาเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้ากลับก่อนล่ะ ท่านเองก็รีบพักผ่อนด้วย”
พูดจบ กู้เจียวก็ดันประตูปิดลงเบาๆ
“ช้าก่อน” จวงไทเฮาเอ่ย
“หืม” กู้เจียวผลักประตูเปิดอีกครั้ง ก้าวข้ามธรณีประตู และมองไปที่ท่านย่าโดยไม่กระพริบตา
“ที่พูดเมื่อครู่นี้เรื่องจริงใช่ไหม”
“เรื่องใดรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
จวงไทเฮากระแอมหนึ่งที “ก็…ห้าลูกนั่นไง!”