บทที่ 347-2 แม่ลูกรวมใจ (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 347 แม่ลูกรวมใจ (2)

กู้เจียวมองนิ้วทั้งห้าของตัวเอง จากนั้นหันไปทางท่านย่าพร้อมกับดวงตาเป็นประกาย “ก็จริงน่ะสิ! แต่ว่า ท่านย่าไม่เต็มใจไม่ใช่หรือ”

จวงไทเฮาบ่นอุบอิบในใจ พลางนึก ตนเป็นถึงไทเฮา จะมายอมกับแค่ผลไม้อบแห้งได้อย่างไรกัน!

“นับแต่วันนี้เป็นต้นไปนะ” จวงไทเฮาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ตกลง!” กู่เจียวไม่รีรอ คว้าผลไม้อบแห้งห้าลูกขึ้นมาแล้วใส่ไว้ในโหล ส่วนที่เหลือกลับเอาเข้าปากตัวเอง

จวงไทเฮา “…”

“ต้องเป็นแปดไม่ใช่หรือ ทำไมมีเพียงห้าล่ะ”

เดิมมีสามลูกต่อวัน นางบอกจะเพิ่มให้อีกห้าลูก ดังนั้นต้องเป็นแปดมิใช่รึ

วันนี้ตนยังไม่ได้กินผลไม้อบแห้งสักลูกเดียวเลยนะ

ในปากกู้เจียวเต็มไปด้วยผลไม้หวานอบแห้ง ก่อนจะพูดกลับอย่างคลุมเครือ “ได้แค่ห้าลูกเท่านั้น … ถ้าไม่พอใจก็ลองคิดดูอีกครั้ง…”

จวงไทเฮาพยายามนึกย้อนที่กู้เจียวเคยพูดไว้

‘เดี๋ยวข้าให้กินผลไม้อบแห้งวันละสามลูกดีไหม’

ตอนนั้นตนไม่ได้ตบปากรับ

จากนั้นแม่หนูก็บอกว่า

‘สี่ลูก’

‘เอ่อ…ห้าลูก’

ดูเหมือนแม่หนูจะไม่ได้บอกว่าเพิ่มจากเดิมเลยสินะ

จวงไทเฮาได้แต่นึกเสียดาย!

…ไม่น่าเลย!

กู้เจียวมักจะอ่อนโยนต่อท่านย่าเสมอ นางเคารพความคิดเห็นของท่านย่าเป็นหลัก ก็เลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกไป และไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร

ขณะที่จี้จิ่วอาวุโสใช้วีธีตะล่อมและหลอกล่อสารพัดเพื่อให้ฮ่องเต้ตายใจ

เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้มีท่าทีต่อต้านอย่างมากที่จะร่วมมือกับจวงไทเฮา “เรื่องอื่นยังพอได้ แต่เรื่องนี้ข้ารับไม่ได้! ข้าไม่ต้องการที่จะคบค้าสมาคมกับนางงูพิษนั่น!”

พอเอ่ยจบก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองพูดจาเกินเหตุไปหน่อย จึงกระแอมแก้เขิน

จี้จิ่วอาวุโสได้แต่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนแล้วอธิบายต่อ “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ สิ่งสำคัญคือต้องค้นหาผู้ร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง ศักดิ์ศรีของฝ่าบาทสำคัญกว่าชีวิตของจิ้งไท่เฟยอย่างนั้นหรือ และไหนจะชีวิตของเจียวเจียว เอาละ กระหม่อมจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเจียวเจียว อย่างไรเสียนางก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฝ่าบาท”

ฮ่องเต้เริ่มตงิดใจ เหตุใดจึงกล่าวว่าหมอเทวดาไม่เกี่ยวอะไรกับตนเสียอย่างนั้นล่ะ

จะให้ตนเมินนางเพียงเพราะนางเป็นคนของจวงจิ่นเซ่ออย่างนั้นรึ

“กระหม่อมขออภัยที่พลั้งปาก” จี้จิ่วอาวุโสทำหน้าละอายใจ “กระหม่อมต้องการจะสื่อว่าเจียวเจียวเป็นเด็กที่เอาตัวรอดได้ แต่กับจิ้งไท่เฟยที่ถูกหลิ่วกุ้ยเฟยทรมานทรกรรมมาจนถึงตอนนี้นี่สิฝ่าบาท จะให้พระองค์ต้องรับกรรมแบบนั้นต่ออีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”

นี่คือสิ่งที่คนรับใช้คนสนิทของจิ้งไท่เฟยว่าไว้ ว่านางเคยมีบาดแผลเก่าที่เกิดขึ้นเพราะหลิ่วกุ้ยเฟย

ในที่สุด ฮ่องเต้ก็ยอมเชื่อเขา

ในเช้าตรู่ของวันต่อมา มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทุกคนตกตะลึง นั่นก็คือ ฮ่องเต้ทรงเสด็จไปที่ตำหนักจินหลวนกับจวงไทเฮาจริงๆ

ตามปกติแล้ว พวกเขาจะสลับกันเข้ามาในตำหนักแห่งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกัน

เมื่อทั้งสองมาถึงประตูของตำหนักจินหลวน ฮ่องเต้หยุดยืมแล้วยิ้มเล็กน้อยให้กับจวงไทเฮา “เชิญเสด็จแม่”

จวงไทเฮาตกใจมากจนแทบจะหยิบรองเท้าขึ้นมาแล้วเขวี้ยงใส่หัวเขา!

จวงไทเฮาใช้ความพยายามอย่างมากในการอดกลั้น นางพยักหน้าและก้าวข้ามธรณีประตูอย่างใจเย็น

ขุนนางและทหารคุกเข่าทั้งสองข้างต้อนรับ

จวงไทเฮาเดินนำไปก่อน ขณะที่กำลังจะเดินขึ้นบันได ฉินกงกงไอกระแอมขึ้น จวงไทเฮายิ้มมุมปาก หยุดฝีเท้า แล้วยื่นมือขึ้นไป

คราวนี้ถึงตาฮ่องเต้อยากจะเขวี้ยงรองเท้าใส่จวงไทเฮาใจจะขาด

นี่มันพิธีรีตองอะไรกันเนี่ย

เจ้าจี้จิ่วอาวุโสนั่นก็ไม่เห็นพูดอะไรเลย!

ฮ่องเต้เก็บอารมณ์ขุ่นเคืองไว้ในใจ และประคองข้อมือของจวงไทเฮา

สองแม่ลูกเดินขึ้นบันไดด้วยความเมตตาและกตัญญู และหลังจากนั่งในที่นั่งตามลำดับแล้ว ทั้งคู่ก็รีบเช็ดมือของตัวเอง!

ฮ่องเต้ ‘น่าขยะแขยงชะมัด!’

จวงไทเฮา ’เหอะ คิดว่าเป็นอยู่คนเดียวรึไง!’

การประชุมในเช้านี้ดำเนินไปได้อย่างดี ฮ่องเต้ช่วยจัดการหนึ่งในขุนนางของจวงไทเฮาที่ก่อปัญหาไว้ ซึ่งจวงไทเฮาก็เอ่ยปากชมฮ่องเต้อย่างดิบดี

อีกทั้งจวงไทเฮายังเอ่ยด้วยความกังวลว่าร่างกายของฮ่องเต้ดูซูบผอมลงกว่าเดิม และพระองค์ควรดูแลสุขภาพพลานามัยให้มากขึ้น และอย่าให้ร่างกายพระองค์ทรุดโทรมเพราะเรื่องงาน

“ที่เสด็จแม่ว่านั้นเป็นความจริงอย่างยิ่ง เราจะจำไว้”

เหล่าข้าราชบริพารพลเรือนและทหารทั้งหลายต่างพากันนึกว่าตัวเองเสียสติไปแล้วแน่ๆ !

พวกเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีวันที่ฮ่องเต้กับจวงไทเฮาจะร่วมมือกันอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่าพระองค์ทั้งสองสติเกิดฟั่นเฟือนหรือตัวพวกเขาเองที่กลายเป็นบ้าไปแล้ว

นี่คงเป็นเรื่องที่น่าตกใจที่สุดในราชสำนัก

แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้จะให้แค่ฝั่งขุนนางรู้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้ทางวังหลังได้รู้ด้วย

ดังนั้นหลังจากประชุมเสร็จ ทั้งสองจึงไปที่สวนหลวงด้วยกันอีกครั้ง แสดงท่าทีพูดคุยและหัวเราะตลอดทาง

“ฝ่าบาท ถึงเวลาต้องสรวลแล้วขอรับ” เว่ยกงกงเอ่ยเตือน

“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ฮ่องเต้โพล่งหัวเราะออกมาขณะที่มือกำลังกำหมัดแน่น

“ถึงคราวของพระองค์แล้วขอรับ” ฉินกงกงเอ่ยเตือนไทเฮา

ไทเฮามองบนหนึ่งที ก่อนจะหัวเราะตาแข็ง “โฮะโฮะโฮะ”

ในเวลาไม่ถึงวัน ทั้งตำหนักก็ได้รับรู้ว่าทั้งสองพระองค์หันหน้ามาปรองดองกันแล้ว

เซียวฮองเฮาเป็นคนแรกที่มาที่ตำหนักหวาชิงเพื่อมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น “ฝ่าบาท! ข้าได้ยินว่าพระองค์และไทเฮา…” พอพูดไปได้ครึ่งทาง ก็เห็นว่ามีอีกคนที่อยู่กับฝ่าบาทด้วย “จิ้งไท่เฟย”

จิ้งไท่เฟยยิ้มอ่อนให้นาง “ฮองเฮา มานั่งด้วยกันสิ”

“เพคะ”

ในความเป็นจริง ตามฐานะของเซียวฮองเฮา นางไม่จำเป็นต้องทำความเคารพจิ้งไท่เฟย แต่ในเมื่อฝ่าบาทมองว่าจิ้งไท่เฟยคือมารดา เซียวฮองเฮาจึงต้องแสดงถึงความเป็นลูกสะใภ้กตัญญูให้เห็น

เซียวฮองเฮานั่งลงข้างๆ จิ้งไท่เฟย

“เมื่อครู่นี้ฮองเฮาถามอะไรนะ”

เซียวฮองเฮามองหน้าสองแม่ลูก ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป “หม่อมฉันได้ยินเรื่องของฝ่าบาทกับไทเฮา ไม่แน่ใจว่าเป็นจริงหรือเท็จ เลยเข้ามาถามด้วยตัวเองเพคะ”

“ในเมื่อรับรู้กันแล้ว เช่นนั้น ข้าก็จะไม่พูดอะไรให้มากความแล้วกัน” ฮ่องเต้เอ่ย

“เป็นเรื่องจริงหรือเพคะ อย่างไรหรือเพคะ” เซียวฮองเฮาทำหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

เป็นเรื่องแปลก ที่จู่ๆ คนที่ทะเลาะกันมากว่าสิบหรือยี่สิบปีกลับมาคืนดีกัน เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัย จี้จิ่วอาวุโสจึงได้เตรียมอุบายข้อแก้ตัวที่ทำให้ไร้ข้อกังขาใดๆ ไว้แล้ว

“ฮองเฮายังจำเรื่องที่เซียวเหิงถูกวางยาตรงบริเวณใกล้กับตำหนักเหรินโซ่วได้หรือไม่” ฮ่องเต้เป็นคนความจำดี จำบทได้ไม่มีตกแม้แต่คำเดียว

เซียวฮองเฮาถึงกับเบิกตาโต “หม่อมฉันจำได้เพคะ!”

เซียวเหิงคือบุตรชายของท่านพี่ คือหลานสุดที่รักของตน เรื่องที่หลานชายถูกวางยาแน่นอนว่าตนจะไม่มีวันลืมการแก้แค้นนี้เป็นอันขาด!

ฮ่องเต้อธิบายต่อ “เหตุการณ์ครั้งนั้น ข้ารู้ตัวแล้วว่าใครเป็นผู้กระทำ ไทเฮาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น แต่มีคนอื่นอยู่เบื้องหลัง ข้าเข้าใจไทเฮาผิดมาตลอดหลายปีมานี้ และข้าละอายใจที่ไทเฮาต้องทนทุกข์ทรมานกับความอยุติธรรมนี้”

มันช่างยากสำหรับฮ่องเต้ที่จะพูดประโยคเหล่านี้ แต่จี้จิ่วอาวุโสกล่าวว่านี่แหละคือประโยคสำคัญ หากไม่พูดออกไปคงยากที่จะทำให้ผู้ฟังเชื่อใจได้

ตอนนี้ฮ่องเต้เริ่มรู้สึกสงสัยว่าจี้จิ่วอาวุโสเฒ่านั่นกำลังวางแผนเล่นงานเขาอยู่แน่ๆ !

“ว่าอย่างไรนะเพคะ มีคนอื่นอยู่เบื้องหลัง ใครหรือเพคะ!” อารมณ์ของเซียวฮองเฮาเริ่มปะทุขึ้น

ขณะที่จิ้งไท่เฟยได้แต่นั่งนิ่งจิบชาเงียบๆ

“คนที่วางยาใส่อาเหิงมีนามว่าจางซิ่ว เคยทำงานเป็นนางกำนัลในวังแห่งนี้มาก่อน นางคือคนที่อยู่ใกล้ตัวข้าในตอนนั้นด้วย”

“ฝ่าบาท…”

ฮ่องเต้ถอนหายใจด้วยความตำหนิตนเอง “ข้านึกไม่ถึงว่านางจะทำแบบนั้น ข้าประมาทเลินเล่อเอง เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าทราบข่าวว่านางแขวนคอตายอย่างกะทันหัน และเพื่อนเก่าของนางได้เอาสมบัติของนางไป จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเขาก็ได้ค้นพบความลับเมื่อหลายปีก่อนจากสมบัติของนาง”

เซียวฮองเฮาลุกขึ้นยืน “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เชื่อ!”

ในส่วนนี้ จี้จิ่วอาวุโสไม่ได้บอกกับฮ่องเต้ว่าจางซิ่วนั้นเป็นคนลงมือจริงๆ เขาแค่เอาชื่อจางซิ่วมาเป็นข้ออ้างในการสร้างอุบายเท่านั้น

ซึ่งฮ่องเต้เองก็นึกไปว่าตัวเองกำลังพูดเรื่องที่กุขึ้นมาอยู่ ส่วนเซียวฮองเฮาเองก็คิดไปว่าฮ่องเต้น่าจะถูกใครหลอกมา ซึ่งความคิดของพวกเขานั้นไม่สำคัญเลย

ขอแค่คนที่ชักใยจางซิ่วนั้นรับรู้ว่าพวกเขารู้ความจริงทั้งหมดก็เป็นพอ