ตอนที่ 463 บนโต๊ะอาหารมื้อเย็น

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 463 บนโต๊ะอาหารมื้อเย็น

ในเวลาประมาณห้าโมงครึ่ง รถแท็กซี่คันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้าไซต์งานก่อสร้างสะพานต่างระดับ

ชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งซึ่งไม่เป็นที่คุ้นเคยก้าวลงมาจากรถ

ผู้หญิงคนนั้นคือแม่เฉิน ส่วนผู้ชายอีกคนชื่อถังโหย่วเหลียง เป็นสามีของหล่อน

ทันทีที่ทั้งสองปรากฏตัวขึ้น ก็ดึงดูดความสนใจจากคนงานจำนวนมากทันที

ถังโหย่วเหลียงก้าวลงจากรถ บอกคนขับว่าอย่าเพิ่งจากไปไหน จากนั้นก็เดินตามแม่เฉินเข้าไปที่ห้องทำงานของเฉินเฟิง

เฉินเฟิงพาดขาสองข้างไว้บนโต๊ะ กำลังอ่านหนังสือพิมพ์

เมื่อแม่เฉินเปิดประตูเดินเข้ามา หล่อนก็ยิ้มพร้อมกับแนะนำว่า “อาเฟิง แม่พาพ่อเลี้ยงของลูกมาด้วย เราไปกินอาหารมื้อเย็นด้วยกันเถอะ”

เฉินเฟิงมองไปทางถังโหย่วเหลียงทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

ชายคนนี้ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ภายนอกเขาดูเหมือนเป็นชายที่มีอายุเพียงห้าสิบปีเท่านั้น แต่นั่นเป็นเพราะเขายังไม่ทราบอายุที่แท้จริงของอีกฝ่าย

เฉินเฟิงคาดเดาอย่างลับ ๆ ว่าคนคนนี้คงมีอายุไม่ต่ำกว่าหกสิบ

คนที่มีฐานะร่ำรวยมักจะมีรูปลักษณ์อ่อนเยาว์กว่าอายุจริงเสมอ

เหมือนกับแม่ของเขา หล่อนอายุตั้งห้าสิบกว่าแล้ว แต่ยังสวยเช้งเหมือนอายุแค่สามสิบต้น ๆ

ถึงแม้ผู้ชายคนนี้จะดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองเป็นอย่างดี แต่รอยยับย่นรอบดวงตาของเขาก็ยังคงบ่งบอกอายุอย่างชัดเจน

เฉินเฟิงเลื่อนสายตาไปทางผู้เป็นแม่ทันที

ผู้หญิงคนนี้มีความอดทนอดกลั้นสูงจริง ๆ หล่อนยอมแต่งงานกับผู้ชายคนนี้เพื่อที่ตัวเองจะได้มีชีวิตที่หรูหราสุขสบาย กินดื่มแต่อาหารชั้นดี ไม่รู้เลยว่าหล่อนยินยอมโดยที่ตัวเองมีความสุขจริง ๆ หรือเปล่า

กลัวว่าจะไม่ใช่อย่างนั้น

ผู้หญิงบางคนถึงกับยอมขายศักดิ์ศรี เพื่อแลกกับการที่ตัวเองจะมีชีวิตที่ดีขึ้น

ตอนที่เฉินเฟิงมองถังโหย่วเหลียง ถังโหย่วเหลียงก็มองเขาอย่างพิจารณาเช่นเดียวกัน

ความประทับใจแรกที่มีต่อลูกเลี้ยงของเขาค่อนข้างดี

ถึงชายหนุ่มคนนี้จะเติบโตมาบนเส้นทางอันดำมืดตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้เขาก็ยังคงมีราศีจับ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นลูกขุนนางตกอับทำนองนั้น

แค่รูปลักษณ์ภายนอก ก็มีคุณสมบัติเพียงพอแล้วที่จะสืบทอดมรดกตระกูลถังของเขา

ด้วยเหตุนี้ถังโหย่วเหลียงจึงกระตือรือร้นมาก ปฏิบัติต่อเขาในระหว่างมื้ออาหารเป็นอย่างดี

พอรับประทานอาหารกันไปได้สักพักหนึ่ง ถังโหย่วเหลียงก็พูดกับเฉินเฟิงว่า “แม่เธอกลับมาตามหาเธอที่ประเทศจีนในครั้งนี้ ก็เพราะอยากพาเธอไปอยู่ที่อเมริกาด้วยกัน ตอนนี้ไหน ๆ เราก็รู้จักกันแล้ว อีกไม่กี่วันเธอก็ไปลาออกจากงานเสีย จะได้กลับอเมริกาไปพร้อมพวกเราเลย”

แม่เฉินกลัวว่าเฉินเฟิงอาจไม่เห็นด้วย จึงรีบพูดขึ้นว่า “ลูกไม่ต้องไปอยู่ร่วมบ้านกับเราที่อเมริกาก็ได้ แม่เป็นคนรักษาคำพูด ก่อนหน้านี้แม่เคยรับปากว่าจะปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียว ฉะนั้นแม่จะไม่พยายามตื๊อให้ลูกย้ายไปอยู่ด้วยกันเด็ดขาด”

ถังโหย่วเหลียงยอมคล้อยตามคำพูดของภรรยา “ถ้าอย่างนั้นฉันจะซื้อวิลล่าเล็ก ๆ สักหลังไว้ให้เธอ ทุกวันหยุดก็แค่แวะมาเยี่ยมฉันกับแม่ของเธอบ้าง”

เฉินเฟิงกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย หันไปพูดกับแม่เฉินว่า “ก่อนหน้านี้คุณไม่เห็นบอกผมเลยว่าผมต้องย้ายไปอยู่อเมริกา”

สีหน้าของถังโหย่วเหลียงและภรรยาของเขาแข็งทื่อทันที

ตอนนั้นแม่เฉินคิดแค่ว่าตัวเองต้องพยายามสานสัมพันธ์กับเฉินเฟิงให้ได้ จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก

เฉินเฟิงยืนกรานว่าจะไม่ไปอยู่กับพวกเขา ดังนั้นเธอจึงตกลงว่าจะซื้อบ้านพักตากอากาศในเจียงเฉิงไว้ให้เขาสักหลังหนึ่ง

แต่เมื่อเอาเรื่องนี้กลับไปคุยกับสามี ถังโหย่วเหลียงกลับคัดค้านอย่างหนักแน่น

เฉินเฟิงไม่ต้องเข้าไปอยู่ร่วมบ้านกับพวกเขาก็ได้ แต่ต้องย้ายไปอยู่อเมริกาพร้อมกับพวกเขา

ไม่อย่างนั้นทั้งสองฝ่ายจะสร้างไมตรีต่อกันได้อย่างไร แล้วเขาจะสอนวิธีการบริหารจัดการบริษัทได้อย่างไร?

ความจริงเฉินเฟิงเข้าใจเจตนาของสองสามีภรรยาคู่นี้เป็นอย่างดี

แต่เขาไม่อยากพัฒนาความสัมพันธ์กับอีกฝ่าย จึงปฏิเสธว่าจะไม่ย้ายไปอเมริกา

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาควรเป็นเรื่องของธุรกิจแค่อย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นสนิทสนม!

แม่เฉินและสามีของหล่อนไม่เข้าใจเฉินเฟิงเลย

ภายในประเทศจีน มีกี่คนที่อยากย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แต่กลับติดปัญหาจนความฝันไม่ลุล่วง

ตอนนี้ถังโหย่วเหลียงอุตส่าห์ปูถนนทองคำไว้ให้เฉินเฟิงเดินแล้ว แต่เขากลับไม่สนใจ

แม่เฉินถามด้วยความงงงวย “ทำไมลูกถึงไม่อยากย้ายไปอเมริกาล่ะ?”

ทันใดนั้นสีหน้าของหล่อนก็เหมือนจะกระจ่างขึ้น “หรือเป็นเพราะลูกมีแฟนแล้ว ก็เลยไม่อยากไปจากที่นี่ใช่ไหมล่ะ?”

เธอยิ้มกว้าง “ไม่ต้องกังวลนะ ลูกจะพาแฟนไปอยู่ที่อเมริกาด้วยกันก็ได้”

ถังโหย่วเหลียงพยักหน้าหงึกหงัก

เฉินเฟิงตอบกลับเบา ๆ “ผมยังไม่มีแฟน”

แม่เฉินพูดด้วยความประหลาดใจ “สาวน้อยหน้าตาน่ารักที่แม่เดินสวนกับหล่อนหน้าประตูห้องทำงานถึงสองครั้งคนนั้นไม่ใช่แฟนลูกหรอกเหรอ?”

เฉินเฟิงส่ายหน้า “เปล่า หล่อนเป็นเจ้านายของผมเอง”

แม่เฉินทำตาโตเพราะรู้สึกเหลือเชื่อ “ไม่น่าเชื่อเลยว่าสาวน้อยคนนั้นจะเป็นเจ้านายของลูก?”

จากนั้นก็ถามอย่างอดไม่ได้ “ในเมื่อลูกไม่มีแฟน แล้วทำไมถึงไม่ยอมไปอยู่ที่อเมริกากับเราล่ะ?”

เฉินเฟิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากย้ายไปอเมริกากับพวกคุณหรอก แต่ผมวางแผนว่าจะย้ายไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าต่างหาก”

แม่เฉินรีบถาม “ทำไมต้องรออีกหลายปี?”

“เพราะว่า ผมยังอยากอยู่จีนต่ออีกสักสองสามปี”

เฉินเฟิงมีเหตุผลว่าทำไมถึงอยากอยู่จีนต่อไปอีกสองสามปี นั่นก็เพราะเขาอยากอยู่ช่วยหลินม่ายอีกสักระยะ

ธุรกิจทุกสายงานของเธอเพิ่งจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น บวกกับเธอยังต้องเรียนให้จบ เป็นธรรมดาที่เธอยังต้องการใครสักคนมาช่วยแบ่งเบา

เฉินเฟิงตั้งใจว่าจะรอจนกว่าหลินม่ายจะจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ถึงเวลานั้นเขาจะได้ส่งมอบโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้เธอดูแลต่อ แล้วย้ายไปที่อเมริกาโดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก

แม่เฉินคิดว่าพ่อเลี้ยงของเขาอายุมากเกินไปที่จะบริหารบริษัทด้วยตัวเอง เธอจึงหวังว่าเขาจะยอมติดตามตัวเองกลับไปที่สหรัฐอเมริกาเพื่อรับช่วงต่อ เธอพยายามเกลี้ยกล่อมอยู่นาน แต่เฉินเฟิงไม่มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนใจ

ถังโหย่วเหลียงกลัวว่าถ้าตัวเองรีบร้อนเกินไป ลูกเลี้ยงคนนี้อาจจะหันหลังให้กับพวกเขา

เฉินเฟิงไม่ได้มีความผูกพันใด ๆ กับพวกเขามาตั้งแต่ต้น หน้าที่การงานของเขาในจีนก็ค่อนข้างดี แถมยังไม่มีนิสัยเห็นแก่เงิน เห็นได้ชัดลูกเลี้ยงคนนี้แทบไม่สนใจพวกเขาเลยด้วยซ้ำ

เป็นเขาเองต่างหากที่ไม่อยากปล่อยลูกเลี้ยงคนนี้ให้หลุดมือไป

อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็มีสายเลือดของภรรยาเขาอยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น

ถ้าเฉินเฟิงหันหลังให้พวกเขาเมื่อใด เขาจะสูญเสียลูกเลี้ยงคนเก่งไปอย่างถาวร ดังนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายเกลี้ยกล่อมแม่เฉินเสียเอง “อาเฟิงยังอยากอยู่จีนต่ออีกสักสองสามปี ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่เขาเถอะ การย้ายถิ่นฐานจากบ้านเกิดเมืองนอนไม่ใช่เรื่องง่าย”

จากนั้นก็หันไปถามเฉินเฟิงอย่างใจกว้าง “เธอวางแผนว่าจะอยู่จีนอีกสักกี่ปี?”

เฉินเฟิงตอบ “อย่างมากก็เจ็ดปี”

ผ่านเจ็ดปีนี้ไป หลินม่ายคงจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยพอดี ถึงเวลานั้นเขาคงเกษียณตัวเองได้

หลินม่ายออกจากบ้านพักข้าราชการ กว่าจะกลับมาถึงวิลล่าก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว

ทันทีที่เดินเข้าไปในตัวบ้าน เธอเห็นครอบครัวสามคนของฟู่เฉียงนั่งรออยู่อย่างสงบเรียบร้อยบนโซฟา กำลังพูดคุยกับคุณปู่ฟางและภรรยาของเขา หลินม่ายประหลาดใจมาก “พวกคุณออกจากโรงพยาบาลได้แล้วเหรอ?”

พ่อฟู่เฉียงตอบกลับอย่างอาย ๆ “พวกเราอาการดีขึ้นมากแล้ว คุณหมอเลยอนุญาตให้กลับบ้านได้”

หลินม่ายขอโทษพวกเขา “ช่วงนี้งานฉันยุ่งมาก ต้องขอโทษด้วยที่ไม่มีเวลาแวะไปเยี่ยมพวกคุณที่โรงพยาบาลเลย”

พ่อฟู่เฉียงถูมือตัวเองพร้อมกับพูดว่า “ผมกับแม่ของลูกเข้ามาในเมืองเพื่อเข้ารับการรักษา เท่านี้ก็สร้างภาระให้กับคุณไม่น้อยแล้ว พวกเรารู้สึกซาบซึ้งใจและเกรงใจมาก ไม่สำคัญว่าคุณจะมาเยี่ยมพวกเราได้หรือเปล่า”

คุณปู่ฟางพูดอย่างร่าเริง “ถึงขั้นนี้แล้วยังต้องเกรงใจอะไรกันอีก? มาเถอะ มาเถอะ มากินข้าวมื้อเย็นด้วยกัน โต้วโต้วของเราท้องร้องใหญ่แล้ว”

หลินม่ายรีบวางกระเป๋าลง เดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างมือ จากนั้นเธอกับฟางจั๋วหรานก็ช่วยกันยกจานอาหารเย็นฝีมือคุณย่าฟางออกมาวางเรียงบนโต๊ะ

ระหว่างมื้ออาหาร หลินม่ายคอยสังเกตอาการแม่ฟู่เฉียงอย่างใกล้ชิด

เห็นว่าหล่อนพอจะจดจำผู้คนได้บ้างแล้ว ไม่มีอาการประสาทหลอนอีกต่อไป แค่นี้เธอก็ดีใจแทนฟู่เฉียงเอามาก ๆ

อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ คุณย่าฟางอยากให้ครอบครัวของฟู่เฉียงฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ด้วยกันที่นี่ก่อนแล้วค่อยเดินทางกลับ

แต่ทั้งสามคนปฏิเสธ

ข้อแรก พวกเขารู้สึกว่าตัวเองรบกวนคุณย่าฟางและคนอื่น ๆ มานานเกินไป จึงละอายเกินกว่าจะอยู่ต่อ

ข้อที่สอง ที่บ้านของเขายังมีเด็กผู้หญิงที่อยู่ตามลำพังตั้งสองคน ดังนั้นฟู่เฉียงกับพ่อแม่จึงไม่สบายใจ

พวกเขาอยากรีบกลับไปดูเต็มทีว่าเด็ก ๆ ยังสบายดีอยู่ไหม อาหารการกินและเครื่องนุ่งห่มเพียงพอหรือเปล่า

พอรู้เหตุผลแล้ว คุณย่าฟางก็ไม่ได้บังคับให้พวกเขาอยู่ต่อ

ในขณะที่หลินม่ายและคนอื่น ๆ เพิ่งจะรับประทานอาหารเย็น ครอบครัวของผอ.เขตโอวหยางก็เพิ่งจะกินข้าวเสร็จพอดี

พอผอ.เขตโอวหยางเห็นว่าวันนี้ภรรยาของเขาทำแฮมผัดพริกหยวกมาเสิร์ฟ เขาก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ “คุณไปหาซื้อแฮมกระป๋องมาจากไหนกัน?”

ถึงแม้ฐานะทางการเงินของเขาค่อนข้างดี แต่ใช่ว่าจะหาซื้อวัตถุดิบพิเศษแบบนี้ได้ง่าย ๆ

โดยเฉพาะแฮมกระป๋องที่มีวางขายเฉพาะในช่วงปีใหม่เท่านั้น

เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะอาหารมีเมนูที่ทำจากของหายากแบบนี้อยู่ด้วย

ภรรยาของเขาเล่าให้ผอ.เขตโอวหยางฟังว่า ตอนห้าโมงเย็นหลินม่ายแวะมาหาพวกเขาถึงที่บ้าน ทั้งยังมอบถุงของขวัญที่มีแฮมกระป๋องนำเข้า ลูกกวาด บิสกิต และผลไม้หายากอีกจำนวนหนึ่งให้

ผอ.เขตโอวหยางได้ยินจากปากภรรยาว่าหลินม่ายแค่แวะมาส่งของขวัญเท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง ดังนั้นจึงกินเมนูที่ทำจากแฮมกระป๋องต่อไปอย่างสบายใจ

เขาไม่ชอบให้ใครมาหาถึงหน้าประตูบ้านแล้วขอร้องให้เขาช่วยจัดการบางอย่าง

เก้าในสิบของคนที่ไม่ยอมไปพบเขาที่สำนักเขต แต่กลับมาหาเขาที่บ้าน ต่างก็ต้องการให้เขาช่วยทำเรื่องที่ผิดระเบียบวินัยทั้งนั้น

คนอย่างเขาไม่มีนิสัยทุจริตฉ้อฉลจนยอมทำผิดวินัยเพื่อใคร

ระหว่างมื้ออาหาร โอวหยางหรงถือโอกาสถามผอ.เขตโอวหยางเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของหลินม่ายทันที

ผอ.เขตโอวหยางเป็นคนฉลาด ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถนั่งอยู่ตำแหน่งสูงแบบนี้ได้

พอได้ยินหลานชายอ้าปากถามแค่ไม่กี่คำ เขาก็พอจะเดาเจตนาของอีกฝ่ายได้แล้ว

เขายิงสองคำถามติดต่อกัน “เธอเพิ่งเจอเสี่ยวหลินครั้งแรกไม่ใช่เหรอ? เกิดสนใจในตัวหล่อนขึ้นมาล่ะสิ?”

คุณนายโอวหยางพูดเสริมขึ้นมาจากด้านข้าง “ลบความคิดนั้นทิ้งไปซะ ก่อนหน้านี้เธอก็ได้ยินเสี่ยวหลินพูดไม่ใช่เหรอว่าเขามีแฟนแล้ว?”

มุมปากโอวหยางหรงกระตุกเล็กน้อย “หล่อนไม่มีแฟนซะหน่อย”

คุณนายโอวหยางถามด้วยความประหลาดใจ “แล้วเธอรู้ได้ยังไง?”

โอวหยางหรงจึงเล่าให้ลุงกับป้าสะใภ้ของเขาฟังว่าเมื่อกี้นี้เขาเห็นหลินม่ายปั่นจักรยานออกไปจากบ้านพักข้าราชการตามลำพัง

ผอ.เขตโอวหยางทำเสียงขึงขังขึ้นมาทันที “การที่เสี่ยวหลินไม่มีแฟน แต่โกหกเธอว่าตัวเองมีแฟนแล้ว นั่นถือเป็นการขีดเส้นอย่างชัดเจนว่าไม่อยากสานสัมพันธ์กับเธอ เพราะฉะนั้นล้มเลิกความคิดว่าจะจีบหล่อนเถอะ!”

โอวหยางหรงตอบกลับอย่างเสียไม่ได้ว่า “เข้าใจแล้ว” จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินต่อ

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

จะจีบม่ายจื่อเหรอ ล้มเลิกความคิดซะเถอะ ม่ายจื่อมีพี่หมอแล้วนะ

ไหหม่า(海馬)