บทที่ 427 จะทำอย่างไรต่อไป
บทที่ 427 จะทำอย่างไรต่อไป
จักรพรรดิหมุนตัวกลับมา แล้วมองมายังเชี่ยเชียน
ทั้งที่เห็นอยู่ว่าเซียเชียนกำลังโค้งคำนับน้อมรับผิดมาทางเขา แต่เหตุใดอารมณ์โทสะในใจของเขาถึงไม่จางหายไปเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามความรู้สึกเหล่านั้นกลับค่อย ๆ เอ่อล้นออกมาทางแววตาคู่นั้น
นั่นคือเด็กที่เขารัก ห่วงใยและอยากปกป้องมากที่สุด…
องค์ชายใหญ่ทรงมีปัญหาเรื่องพระบาทมาตั้งแต่กำเนิด ไม่ว่าจะตำหนักหลังหรือราชสำนัก ต่างก็เพิกเฉยต่อเด็กที่ไม่สามารถสืบทอดราชบัลลังก์ และกลายเป็นจุดด่างพร้อยของราชวงศ์คนนี้
กุ้ยเฟยให้กำเนิดองค์ชายรองแก่เขา ผู้ซึ่งหน้าตาน่ารักดุจหิมะที่ขาวโพลน และมีความคล่องแคล่วเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่วัยเยาว์
เขารักเด็กคนนั้นเหลือเกิน สอนเขาเล่นกับมือตัวเอง ทุกวันเขามักจะเจียดเวลามากมายเหล่านั้นมาสอนเด็กคนนี้ ความอ่อนโยนและความรักแทบทั้งหมดที่มีล้วนยกให้แก่เด็กน้อยผู้นั้น
หลังจากที่องค์ชายรองล้มป่วยเพราะพิษไข้จนสิ้นพระชนม์ เขาก็เอาแต่เก็บตัวเงียบเนิ่นนาน กระทั่งตอนนี้เขายังจดจำคำว่า ‘เสด็จพ่อ’ ที่เด็กคนนั้นมักขานเรียกเขาด้วยรอยยิ้มได้เสมอ ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาและเดินจากไป…
เซี่ยเชียนกล้าดีอย่างไร เซี่ยเชียนทำได้อย่างไร ถึงได้เอาเรื่องการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรองมาสร้างเรื่อง? ยิ่งไปกว่านั้นเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรับรู้ถึงบาดแผลในใจของเขา แล้วยังแตะแผลเก่าอย่างไม่ใส่ใจเช่นนี้ได้อย่างไร?
จักรพรรดิหลับตาลง น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเกลียดชังที่ยากจะพรรณนาและความเหนื่อยล้าเหมือนจะดังออกมาจากตัวเองอีกคน ทว่าเขาไม่ได้เกลียดชังเซี่ยเชียน แต่เกลียดชังตัวเองที่ไม่สามารถเกลียดชังอีกฝ่ายได้เลย
“เซี่ยเชียน ตกลงเจ้าตั้งใจใช่หรือไม่?”
เซี่ยเชียนยังคงคุกเข่า หน้าผากสัมผัสกับพื้น เอ่ยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แต่กลับยังยืนกรานแข็งขัน “กระหม่อมรู้ผิด และยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมจะไม่ยอมให้ฝ่าบาทพลาดพลั้งอีกแล้ว หลักฐานที่เหมิงฉิงสมคบคิดกับพวกต่างแดน จะมาถึงมือของฝ่าบาทในอีกไม่กี่วันนี้ หากไม่ใช่เพราะยามนี้ต้องใช้กลอุบายควบคุมตัวเหมิงฉิงไว้ เขาอาจจะมีโอกาสโต้กลับอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นนอกจากช่องทางในการสมคบคิดกับพวกกบฏแล้ว เขาก็ไม่ทางหนีทีไล่อื่นอีก ฝ่าบาท เหมิงฉิงมีสายลับที่รัชทายาทองค์ก่อนทิ้งไว้อยู่ข้างกาย กระหม่อมจะปล่อยให้ความปลอดภัยของฝ่าบาทอยู่ภายใต้การคุกคามของคนเหล่านี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
เขามักชินกับการพูดน้อย ที่ยากยิ่งกว่าคือการแสดงความรู้สึกของตัวเอง
แต่เพื่อความสงบในพระทัยของจักรพรรดิ เซี่ยเชียนจึงได้พูดมากเพียงนี้
เดิมทีเขาไม่ต้องอธิบายสิ่งใดก็ย่อมได้ แต่ถึงกระนั้นจักรพรรดิก็ไม่มีทางรู้ว่าควรปฏิบัติกับเขาอย่างไร
ในใจของจักรพรรดิคิดเช่นนี้มาตลอด
สุดท้ายเซี่ยเชียนก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “กระหม่อมไร้ซึ่งความสามารถ เชิญฝ่าบาททรงลงโทษเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดที่ดูจริงใจเช่นนี้ได้ดังเข้ามาในพระกรรณของจักรพรรดิ ทำให้เขาเกิดความหวั่นไหวไปชั่วขณะ
กษัตริย์และขุนนาง คนหนึ่งยืนตัวตรง อีกคนคุกเข่าน้อมคำนับศีรษะโขกพื้น แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่จักรพรรดิรู้สึกว่าระหว่างเขาและเซี่ยเชียนเหมือนจะก้าวข้ามระยะห่างในเรื่องของจริยธรรมที่พึงปฏิบัติมาก่อน
เขาทอดถอนใจ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าลุกขึ้นเถิด”
เซี่ยเชียนเงยหน้าขึ้น ดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดจักรพรรดิถึงระงับโทสะได้ง่ายดาย ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ไร้ความรู้สึกได้แสดงออกถึงความลังเล
จักรพรรดิจึงเอ่ยอีกครั้งว่า “เจ้าลุกขึ้นเถิด”
เซี่ยเชียนลุกขึ้น ครั้นเห็นจักรพรรดิเดินมาทางตัวเอง จากนั้นก็ยื่นมือออกไปลูบใบหน้าด้านข้างของเขาทันใด
สัมผัสที่ชัดเจนนั้นทำให้เขาเข้าใจ เมื่อครู่ใบหน้าของตัวเองคงจะเลอะน้ำชาที่สาดกระเซ็นออกมา
เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
จักรพรรดิไม่ตอบ แค่เอ่ยถึงเหมิงฉิงตามใจตัวเอง “ในเมื่อเจ้าบีบบังคับให้ข้ากักขังเขา จะทำอย่างไรต่อไป น่าจะคิดไว้แล้วสินะ?”
เซี่ยเชียนดึงตัวเองกลับมายังเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วทูลว่า “เหมิงฉิงกำจัดสมุนที่แฝงตัวในราชสำนักไปไม่น้อย เรื่องวันนี้ คนที่มีความโลเลคงจะเริ่มเข้าแถวเปลี่ยนฝ่ายไปกว่าครึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือการทำให้อำนาจนอกราชสำนักของเหมิงฉิงถูกขุดรากถอนโคน ถึงตอนนั้นฝ่าบาทอยากจะจำคุก หรือลงโทษเขา ก็สุดแล้วแต่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิรู้ว่าเซี่ยเชียนนั้นฉลาดและมีพรสวรรค์ เขามีหัวในการวางอุบายมาตั้งแต่เด็ก จึงมอบหมายเรื่องนี้ให้เซี่ยเชียนจัดการ เขาก็วางใจลง
ตลอดชีวิตนี้จักรพรรดิปรารถนาขุนนางที่เข้ากับตนได้เฉกเช่นเซี่ยเชียน แต่กลับไม่เคยหาเจอ
จักรพรรดิคิดเช่นนี้ จากนั้นก็พยักหน้าพลางเอ่ยกับเซี่ยเชียน “ข้าจะรอหลักฐานที่เจ้าพูดไว้”
เซี่ยเชียนไม่ใช่คนจู้จี้ ครั้นเห็นจักรพรรดิทรงระงับโทสะ และหันเหความสนใจทั้งหมดมาเข้าเรื่อง จึงเริ่มรายงานถึงการกระทำของเหยาเฉาในช่วงหลายวันนี้ด้วยเสียงทุ้มต่ำต่อจักรพรรดิ รวมทั้งแผนการต่อไป
หลังจากที่จักรพรรดิฟังจบ โทสะในใจก็ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไร จากนั้นก็ออกคำสั่งเพียงสองสามประโยค แล้วให้เซี่ยเชียนออกไป
หลังจากที่เซี่ยเชียนจากไปแล้ว จักรพรรดิกลับนั่งอยู่ในห้องทรงอักษรเพียงลำพังอยู่เนิ่นนาน
บางครั้งก็นึกถึงเรื่ององค์ชายรองที่ถูกเซี่ยเชียนหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง บางครั้งก็นึกถึงเรื่องที่เหมิงฉิงเคยเป็นที่โปรดปรานของตัวเอง บางครั้งก็นึกถึงผู้เป็นบิดาของเหมิงฉิง เมื่อครั้งอดีตเขาได้รับการดูแลอย่างดีจากในวัง จนพบว่าในใจของเขาก่อเกิดความเคารพต่อรัชทายาทองค์ก่อน
จักรพรรดิค่อนข้างใจแข็ง แต่ในที่สุดก็ทอดถอนใจออกมา
ต้องมีสักวัน ที่เขาจะต้องปะทะกับหลานชายที่พยายามก่อการกบฏผู้นี้อย่างแน่นอน
…
เหมิงฉิงถูกควบคุมตัวอย่างรวดเร็วในรูปแบบที่คาดไม่ถึง
องครักษ์ที่เดิมทีจงรักภักดีต่อเขาก็ดี ผู้คอยสนับสนุนในราชสำนักก็ดี อย่าว่าแต่การช่วยผู้อื่นเลย แค่จะส่งข่าวก็ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก
คิด ๆ แล้วมันก็จริง ไหนจะคุกอะไรนั่น ครั้นเปรียบเทียบกับวังที่ถูกควบคุมแล้วยังเข้มงวดยิ่งกว่า
เหมิงฉิงพยายามดิ้นรนให้พ้นผิดจากคดีความขององค์ชายรองอย่างสุดชีวิต ทว่าค่ายทหารซีเป่ยกลับพาข่าวที่น่าตกตะลึงพึงเพริดกลับมา
ความว่าเหมิงฉิงสมคบคิดกับศัตรู
ค่ายทหารซีเป่ยนำจดหมายที่เหมิงฉิงลอบติดต่อกับพวกต่างแดนมาส่งถึงพระหัตถ์ของจักรพรรดิโดยเร็วที่สุด รวมทั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมากำลังการป้องกันและกำลังรบแถวกำแพงเมืองของซีเป่ยต่างก็ได้รับการเปิดเผยโดยเหมิงฉิงเกือบทั้งหมด จากหลักฐานที่แน่นอน แม้แต่พยานก็ถูกควบคุมไว้ทั้งสิ้น
ส่วนคนที่ใส่ความเหมิงฉิง ก็คือแม่ทัพใหญ่เจียงหนิง
ไม่ว่าเจียงหนิงจะโดดเด่นในเรื่องการรบ หรือมีชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่ราชสำนักและเหล่าราษฎรในซีเป่ยเพียงไร ทุกคนย่อมรู้เขาทำงานหนักในซีเป่ยมานานหลายปี ทั้งยังถือว่าซีเป่ยเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองอีกด้วย ในเมื่อหาเจอแล้ว ย่อมไม่มีทางโป้ปดเป็นแน่
อีกทั้งพวกต่างแดนก็ถูกทหารของต้าเยี่ยนขับไล่กลับรังเก่าของตนไปเสียสิ้น ยามพ่ายแพ้ก็ยังสารภาพว่าได้มีการติดต่อกับเหมิงฉิงอีกด้วย
จักรพรรดิบันดาลโทสะ กระทั่งทรงรับสั่งลงไปให้นำทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีความของเหมิงฉิงไปคุมขังในคุก แม้แต่คนที่มีความสนิทสนมกับเหมิงฉิงเป็นประจำ ต่างก็ต้องได้รับโทษเช่นกัน
จวนลู่มีบุตรชายเพียงผู้เดียว ทั้งยังถูกมองว่าเป็นทายาทลำดับต่อไปในอนาคตของจวนเจ้าอาลักษณ์อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของลู่หัวก็รักและอยากปกป้องลูกชายคนนี้เหนือสิ่งใด นับตั้งแต่ที่ลู่หัวถูกคุมขังในคุก เขาก็เอาแต่วิ่งวุ่นเพื่อลูกชาย ในที่สุดก็ติดต่อได้สำเร็จและได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมลูกชาย
ลู่หัวเกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง เขาถูกประคบประหงมมาตั้งแต่วัยเยาว์จนเติบใหญ่ ไม่เคยต้องลำบากเลยแม้แต่น้อย เดิมทีก็กลืนอาหารในคุกไม่ค่อยลงอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคุกที่ทั้งชื้นแฉะและเย็นเยือก กระทั่งเต็มไปด้วยหนู แมลงต่าง ๆ ที่พากันออกมาวิ่งเพ่นพ่านทุกคืน หลายวันมานี้เขาแทบไม่ได้หลับเต็มตื่นเลยสักครั้ง
ลู่หัวที่แม้แต่ชุดคลุมยาวก็ไม่เคยแปดเปื้อนฝุ่นละออง หลายวันที่ต้องทุกข์ทรมาน อย่าว่าแต่ความเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์เมื่อครั้งอดีตเลย ใบหน้าที่สกปรกมอมแมม ผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิง กระทั่งร่างกายของเขายังซูบผอมจนเกือบจะสลัดรูปร่างเดิมไปโดยปริยาย แม้แต่ขอทานข้างถนนก็ยังเทียบไม่ได้
ยามที่นายท่านลู่เห็นลูกชาย เขาก็ตกมาอยู่ในสภาพนี้แล้ว
นายท่านลู่เดินรุดหน้าเข้าไปไม่กี่ก้าว จากนั้นก็เปิดประตูคุกสุดแรง หยาดน้ำตาแทบหลั่งริน “อาหัว…”
ลู่หัวที่ต้องอดหลับอดนอนมาหลายวัน จึงทนไม่ไหว นอนหลับใหลอยู่บนกองฟาง กระทั่งได้ยินเสียงอันคุ้นเคย ก็พลันลืมตาโพลงทันใด
“ท่านพ่อ?!”
เขาแทบคิดว่าตัวเองกำลังฝัน
นายท่านลู่รุดเข้าไปกอดลูกชาย พลางพูดทั้งน้ำตา “ลูกพ่อ! เจ้าคงลำบากมากสินะ!”
ลู่หัวสงบสติอารมณ์อยู่นาน ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือบิดาของตัวเอง
เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองนั้นร้องไห้คร่ำครวญถึงความเจ็บปวดทรมานในช่วงสองสามวันนี้กับพ่อลู่นานเพียงใด แต่ความตื่นเต้นและความดีใจที่เต็มหัวใจ ทำให้เขาต้องเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านพ่อ ท่านมารับลูกออกไปแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”
นายท่านลู่ไม่กล่าวสิ่งใด แต่ร้องไห้เสียยกใหญ่
ครั้นลู่หัวเห็นดังนั้น เปลวไฟอันร้อนแรงในสมองก็ดับมอดไม่มีเหลือ
………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เฮ้อ ฝ่าบาทนี่หนอ โกรธเขาแต่สุดท้ายก็ต้องง้อเขา ประโยคที่ว่าเกลียดตัวเองที่ไม่อาจเกลียดเขาได้นี่ทำให้ลูกเรือตกงานกันหมดแล้ว
ลู่หัวเกมแล้ว นังตู้จะเกมตามไหม
ไหหม่า(海馬)