ตอนที่ 470 ทำเรื่องสำคัญ

สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ

ตอนที่ 470 ทำเรื่องสำคัญ

ตอนที่ 470 ทำเรื่องสำคัญ

เนรคุณเกินไปแล้ว!

ก่อนหน้านี้พวกเขาลงนามกฎหมายข้อบัญญัติยกระดับเผ่ามนุษย์ให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา การลงนามมันเปล่าประโยชน์ไปแล้วเหรอ?! นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่?! หรือว่าเปลี่ยนใจแล้ว?!

นอกจากนี้อวี้ซินยังเคยบอกว่าฝ่าบาทเป็นคนดี มองโลกในแง่ดีกับผีสิ! นี่มันคนทรยศชัด ๆ!

เอเดนก่นด่าด้วยความโกรธ ขณะที่ซินหยาอยากเคลื่อวไหว แต่ก็ทำอะไรไม่ถูก

หากถามว่าใครอยากที่จะไปกอบกู้เผ่ามนุษย์มากที่สุด ก็ต้องเป็นเขาอยู่แล้ว แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้น!

หากจอมพลเอเดนลงมือ ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่เอเดนจะแบกรับไหว!

การที่จอมพลเอเดนคอยคุ้มครองเผ่าพันธุ์มนุษย์จะทำให้เขากลายเป็นปรปักษ์กับทุกจักรวรรดิ ยิ่งไปกว่านั้น เขาอาจจะถูกขับไล่ให้ลงจากตำแหน่งจอมพล และกลายเป็นแค่สามัญชนธรรมดา เรื่องนี้คอขาดบาดตาย!

ในฐานะของซินหยา จอมพลเอเดนไม่ได้เป็นเพียงพ่อพระผู้ให้ความช่วยเหลือเท่านั้น แต่เป็นถึงสหายของเผ่ามนุษย์ เพราะฉะนั้นเขาจะยอมปล่อยให้จอมพลเอเดนออกไปตายได้อย่างไร?!

ทว่าเอเดนทนรอไม่ไหว! เขารู้สึกว่าถ้าเขาไม่ลงมือทำอะไรเลย พวกมนุษย์จะต้องตายหมดแน่!

เมื่อเห็นว่าซินหยาไม่ยอมลงมือทำอะไร เขาก็ก่นด่าโดยที่ไม่มองหน้าของอีกฝ่าย “ก็ได้! ในเมื่อท่านไม่ยอมออกคำสั่งเคลื่อนย้ายให้กระหม่อม กระหม่อมก็จะทำเอง! ถ้ามันกลายเป็นเรื่องใหญ่ กระหม่อมก็จะขึ้นไปศาลทหารเอง!”

ก็แค่ต้องไปทำ!

ซินหยามองดูสถานการณ์ และออกคำสั่งเคลื่อนย้าย

ช่างสถานการณ์โดยรวมเถอะ ในอนาคตจะเป็นยังไงก็ช่าง! เผ่ามนุษย์กำลังพังพินาศ เขาจะมัวมาห่วงเรื่องกระจิ๋วหลิวอะไรอยู่!

บางครั้งเขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจกับความกล้าหาญของจอมพลเอเดน และบางทีเขาก็ร้อนรนเพราะเขาไม่รู้ข่าวคราวของเผ่ามนุษย์ เพราะฉะนั้นเขาจะปล่อยวางทุกอย่างและลงมือทำมันซะ!

“จอมพลเอเดน ท่านช่วยทำอะไรบางอย่างให้เราก่อนได้ไหม?” ซินหยาพูด

“อะไรก็ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ!” เอเดนพึงพอใจกับการได้รับคำสั่ง จึงตบหน้าอกและพูดว่า “ตราบใดที่กระหม่อมสามารถทำได้”

“ท่านจะทำสิ่งนี้ได้แน่ แต่สิ่งนี้อาจทำให้ท่านสูญเสียทุกอย่าง ท่านจะกล้าทำไหมล่ะ?” ดวงตาของซินหยาเผยให้เห็นถึงความบ้าคลั่ง

“ตราบใดที่ฝ่าบาทกล้าให้กระหม่อมทำ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร กระหม่อมก็กล้าทำพ่ะย่ะค่ะ!” จอมพลเอเดนพูด “ยังไงซะฝ่าบาทก็มอบตำแหน่งนี้ให้กระหม่อม ชีวิตของกระหม่อมเป็นของฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ซินหยาพยักหน้า เขาสั่งให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างติดต่อชนชั้นสูงที่เคยเดินทางไปหาเผ่ามนุษย์ให้มาที่พระราชวัง

เขาจ้องจอมพลเอเดน “เรากำลังทำเรื่องสำคัญอยู่!”

“ฆ่าคนที่กล้าต่อต้านเราทิ้งซะ ท่านทำได้ไหม?!”

จอมพลเอเดนสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่! นี่มันโหดเหี้ยมเกินไปหรือเปล่า?! ทำไมฝ่าบาทถึงได้เคียดแค้นตาแก่พวกนั้นนัก?! อยากจะฆ่าแกงชนชั้นสูงกันเลยทีเดียว!

“เราจะฆ่าชนชั้นสูงพวกนั้นที่นี่ ส่วนท่านก็มีหน้าที่ออกไปถอนรากถอนโคนต้นตระกูลพวกมัน และริบทรัพย์ให้หมดซะ อย่าให้เหลือแม้แต่ผมสักเส้น!”

ซินหยาพูดอย่างเย็นชา “ในเมื่อพวกมันกล้าแข็งข้อกับราชวงศ์ เราก็จะแสดงให้พวกมันเห็นว่าเราร้ายกาจแค่ไหน ท่านคิดว่าไงล่ะ?!”

จอมพลเอเดนค่อย ๆ ยกนิ้วโป้งขึ้น “โหดเหี้ยมมากพ่ะย่ะค่ะ! แต่กระหม่อมชอบ!”

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา!

ทว่าจอมพลเอเดนหวาดกลัวจนตัวสั่นเทา องค์ชายสองเคยมีภาพลักษณ์ที่อ่อนโยน เหตุใดจึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้? ถอนรากถอนโคนหมายถึงฆ่าล้างทั้งตระกูลใช่ไหม?!

ทว่าดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว จอมพลเอเดนรู้ดีว่าพวกเขาจะต้องลงมือทำโดยไม่มีข้อกังขา!

เพราะเมื่อไหร่ที่เขาออกไปช่วยเผ่ามนุษย์และกลับมาที่นี่ พวกชนชั้นสูงทั้งหลายคงไม่อาจขจัดความเกลียดชังในใจออกไปได้ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องลงมือก่อน!

แต่ถ้าตัวเขาโชคร้ายและต้องจบชีวิตลงในสนามรบ ครอบครัวของเขาจะทำอย่างไร? เขาควรทำอย่างไรกับพวกผู้ใต้บังคับบัญชาพวกนี้ดี?!

ดังนั้นแผนการวันนี้จะต้องแม่นยำมากที่สุด!

ทั้งสองระดมความคิดเห็น และแยกกันไปลงมือทำ

ในไม่ช้าผู้อาวุโสที่สูงส่งทั้งหลายก็มารวมตัวกัน

“พอจะรู้ไหมว่าฝ่าบาทเรียกพวกเรามาทำไม?” ชายชราเอ่ยถามชนชั้นสูงอีกคน

“ใครจะไปรู้ว่าเกิดอะไรกับเจ้าเด็กนั่น อาจจะเรียกเรามาถามเรื่องการต่อสู้หรือเปล่า?”

“ช่างเถอะ เข้าไปดีกว่า! มัวพูดพล่ามอยู่ได้ แล้วจะไปรู้เมื่อไหร่?!”

“ไป ๆๆ!”

ชายทั้งสามสิบคนอยู่ในชุดสวยเด่นเป็นสง่า พวกเขาเดินเข้ามาในห้องโถงของพระราชวัง

ทันทีที่พวกเขาเปิดประตู ก็พบเข้ากับจักรพรรดิรูปงามที่กำลังอ่านหนังสืออยู่

พวกเขาแอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ จักรพรรดิก็ยังเป็นแค่หนุ่มน้อยอยู่วันยังค่ำ ก็ดี! การท่องจำหนังสือเป็นสิ่งที่ดี ต่อสู้ตามแบบฉบับจักรพรรดิหนอนหนังสือ ส่วนเรื่องสำคัญอย่างอื่นปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกเขาเถอะ!

“ท่านจักรพรรดิ ท่านเรียกพวกกระหม่อมมามีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เหล่าชนชั้นสูงเข้าไปประจำที่ของตนเองโดยไม่รีรอให้ซินหยาปริปากพูด และนั่งลงอย่างไม่ใส่ใจนัก อีกทั้งยังเพิกเฉยต่อใบหน้าของอีกฝ่าย

ดูเหมือนว่าซินหยาจะไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางการดูหมิ่นของพวกเขา เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้นว่า “ไม่มีอะไรมากหรอก เราก็แค่อยากหารือเรื่องจักรวรรดิจื่อจินที่จะเข้ามาเปิดช่องทางการค้าขายใหม่กับพวกเรา ไม่รู้ว่าพวกท่านมีความคิดเห็นยังไงบ้าง?!”

พูดจบ เขาก็ขยิบตาให้สาวรับใช้ นางเดินเข้ามาอย่างเชื่อฟัง และนำน้ำชากับถ้วยชามาวางไว้ให้กับเหล่าชนชั้นสูง

“ลองชิมดู ว่ากันว่าชานี้ทำมาจากต้นชาที่โตขึ้นข้างพระแม่พฤกษาของจักรวรรดิเอลฟ์ ถ้าพวกท่านดื่มชาชนิดนี้บ่อย ๆ มันจะทำให้พวกท่านหวนคืนสู่ความเยาว์วัย ถึงจะดูเกินจริงไปหน่อย แต่หลังจากดื่มแล้วมันจะดีต่อร่างกายของพวกท่านมาก”

“พวกท่านคงเคยได้ยินเรื่องนี้มาใช่ไหม?!”

ได้ยินหรือไม่? แน่นอนว่าชานี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก!

และชาชนิดนี้ก็หายากมากเช่นกัน มีเพียงสี่จักรวรรดิใหญ่เท่านั้นที่จะได้ลิ้มลองชาชนิดนี้อยู่บ้าง ส่วนคนนอกไม่มีสิทธิ์ได้ดื่ม!

ถึงแม้จะร่ำรวยและมีอำนาจ แต่ผู้คนจากจักรวรรดิเอลฟ์ก็ไม่ยินยอมอยู่แล้ว แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้ล่ะ?!

ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจักรพรรดิตัวน้อยจะมีความคิดริเริ่มชงชารสเลิศให้พวกเขาด้วย? ไม่เลวเลยแฮะ!

เหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายหยิบถ้วยชาขึ้นมาสูดดมอย่างระมัดระวัง กลิ่นของมันทำให้พวกเขารู้สึกสดชื่น พลังจิตของพวกเขากระเหี้ยนกระหือรือยิ่งขึ้น!

ชานี้ช่างเลิศเลอเหลือเกิน!

ชนชั้นสูงแต่ละคนลิ้มลองรสชาอย่างระมัดระวัง หลังจากจิบเพียงเล็กน้อย ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมหวานที่ลอยอยู่เต็มปาก!

ช่างเป็นชาที่แปลกประหลาดเหลือเกิน! แต่ก็อย่างว่า นี่คือผลิตภัณฑ์จากเมืองแห่งศิลปะอย่างจักรวรรดิเอลฟ์! หอมอร่อย งดงามมาก!

ชนชั้นสูงทั้งหลายไม่เต็มใจที่จะดื่มเข้าไปภายในอึกเดียว อีกทั้งยังไม่ได้ยินเสียงของจักรพรรดิอีกต่อไป พวกเขาเอาแต่ดื่มชา ดื่มชา และดื่มชา!

อร่อยมาก!

พวกเขามองดูถ้วยเปล่าด้วยความกระหาย และมองดูจักรพรรดิอีกครั้ง เพื่อหวังว่าอีกฝ่ายจะเอาชามาให้พวกเขาดื่มอีก

จักรพรรดิหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อย และหันไปพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านคิดว่าควรเปิดช่องทางการค้านี้หรือไม่?”

ชายชราทั้งหลายกำลังหลงใหลในรสชาติของชา พวกเขาสนใจเรื่องการเปิดช่องทางการค้าเสียที่ไหนกัน?

“การค้าอะไรไม่รู้ ท่านจักรพรรดิมีชาแบบนี้อีกไหม? เอาให้พวกกระหม่อมอีกได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

ชนชั้นสูงคนหนึ่งปริปากถามขึ้นอย่างไม่สุภาพนัก แววตาเผยให้เห็นถึงการข่มขู่