ตอนที่ 465 แปะหนังสือพิมพ์

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 465 แปะหนังสือพิมพ์

เหรินเป่าจูช่วยหลินม่ายแปะหน้าหนังสือพิมพ์ การกระทำของพวกเธอดึงดูดให้ลูกค้าและผู้ค้าหลายคนที่กำลังซื้อขายสินค้ากันอยู่หันมาสนใจ และชะลอความเร็วลงในขณะที่พวกเขากำลังเดินผ่าน

ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงพีคของการซื้อขายสินค้า ไม่ว่าจะเป็นถนนสายไหนต่างก็มีผู้คนสัญจรพลุกพล่าน

เจ้าของร้านค้าแค่มองพวกเธออย่างอยากรู้อยากเห็นก่อนจะผละจากไป แต่ฝูงชนกลับให้ความสนใจกับมันเป็นพิเศษ ในไม่ช้าผู้คนจำนวนมากก็มารวมตัวกันอยู่หน้าประตูร้านค้าส่งเสื้อผ้าUnique

เจ้าของร้านคนอื่น ๆ เริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมผู้คนจำนวนมากถึงได้มารวมตัวกันที่นั่น ดังนั้นพวกเขาจึงเบียดเสียดกันเข้ามาบ้างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ฝูงชนหน้าร้านยิ่งแน่นขนัด

ทุกคนอ่านเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ จากนั้นก็หันไปมองป้ายร้านของหลินม่าย ถึงรู้ว่าเสื้อผ้าของร้านค้าส่งเสื้อผ้าแห่งนี้ถูกคู่แข่งลอกเลียนแบบ

เจ้าของร้านคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ถึงเสื้อผ้าร้านคุณจะถูกลอกเลียนแบบก็จริง แต่ต่อให้คุณแปะหนังสือพิมพ์หน้าร้านตัวเองต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ คนที่ลอกเลียนแบบไม่ได้เสียหายอะไร แถมยังทำเงินต่อไปได้”

หลินม่ายยิ้มพลางตอบกลับ “ฉันคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง”

ว่าแล้วเธอก็ชี้ไปที่ร้านฝั่งตรงข้าม “ผู้ประกอบการที่ลอกเลียนแบบสินค้าของเราเปิดร้านค้าส่งเสื้อผ้าในนามของตัวแทนจำหน่ายที่ร้านฝั่งตรงข้าม ที่เราทำแบบนี้ อย่างน้อยคนที่ผ่านไปผ่านมาจะได้รู้ว่าพวกเขาเล่นไม่ซื่อ!”

พอทุกคนหันหน้ามองตาม ก็เห็นว่าร้านฝั่งตรงข้ามแขวนป้าย ‘ตัวแทนจำหน่ายเสื้อผ้าซีม่านสาขาเจียงเฉิง’

ถึงอย่างนั้นพ่อค้าแม่ค้าที่รับสินค้าไปขายต่อไม่มานั่งสนใจหรอกว่าใครลอกใครกันแน่ ตราบใดที่สินค้าที่พวกเขาขายมีราคาถูกและซื้อง่ายขายคล่อง พวกเขาก็ได้รับผลกำไรกันทั้งนั้น

ข้อบาดหมางระหว่างร้านUniqueกับร้านซีม่านแทบไม่เกี่ยวอะไรเลย!

แน่นอนว่าหลินม่ายเองก็รู้เรื่องนี้ดีแก่ใจ เธอไม่คาดหวังว่าใครจะให้ความยุติธรรมกับตัวเองอยู่แล้ว

เธอทำแบบนี้ลงไปก็เพื่อเล่นงานซีม่าน ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งสำคัญกว่าก็เพื่อดึงดูดลูกค้าบางส่วนให้สนใจอุดหนุนกิจการค้าส่งของตัวเอง

เธอจงใจเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้น “พ่อค้าแม่ค้าทุกคนคะ พวกคุณคงเห็นชัดแล้วว่าร้านฝั่งตรงข้ามเป็นแค่ตัวแทนจำหน่ายของร้านซีม่านอีกทีหนึ่ง แต่เสื้อผ้าของร้านเราส่งตรงจากโรงงาน ดังนั้นราคาจึงจะถูกกว่านิดหน่อย”

สำหรับกิจการค้าส่ง ถึงของชิ้นหนึ่งจะมีราคาถูกกว่าแค่ไม่เท่าไi แต่เมื่อบวกรวมกันแล้วถือว่าลดไปมากโข

ทุกวันนี้ธุรกิจเสื้อผ้าเป็นกิจการที่สร้างผลกำไรงาม คงไม่มีผู้ค้ารายย่อยคนไหนรับซื้อเสื้อผ้าไปขายต่อแค่ชิ้นสองชิ้น

ต่อให้ต้องการซื้อแค่ไม่กี่ชิ้น ร้านค้าส่งก็ใช่ว่าจะยอมขายให้ง่าย ๆ

มีผู้ค้าคนไหนบ้างรับซื้อสินค้าไปน้อยกว่าสิบชิ้น

เสื้อตัวหนึ่งอาจมีราคาถูกลงแค่ไม่กี่เหมา แต่พอซื้อทีละหลายสิบชิ้น พวกเขาจะประหยัดเงินไปหลายสิบหยวน ซึ่งเป็นจำนวนเงินเทียบเท่ากับเงินเดือนของพนักงานบางคนเลยทีเดียว

หลังจากได้ยินคำพูดของหลินม่าย คราวนี้ผู้ค้ารายย่อยหลายคนก็เริ่มให้ความสนใจ ถามหลินม่ายว่าเธอกำหนดราคาขายส่งไว้ที่เท่าใด

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบกลับ “ไม่ว่ายังไงก็ถูกกว่าร้านฝั่งตรงข้ามแน่นอนค่ะ ถ้าพวกคุณมาซื้อแล้วไม่พึงพอใจในราคา สามารถคืนสินค้าได้เลย”

ผู้ค้ารายย่อยคนหนึ่งเย้ยหยัน “มีบริการดีแบบนี้อยู่ในโลกด้วยเหรอ แค่ไม่พอใจในราคาก็รับคืนเนี่ยนะ! ฉันไม่เชื่อหรอก”

ผู้ค้ารายย่อยหลายคนพากันหัวเราะ “อย่าว่าแต่เจอเสื้อผ้าราคาแพงแล้วรับคืนเลย ต่อให้เสื้อผ้าที่เราซื้อมามีปัญหาด้านคุณภาพ พวกคุณก็คงไม่รับคืนหรอก!”

หลินม่ายตอบกลับอย่างใจเย็น “สิ่งที่พวกคุณคิดว่าเป็นไปไม่ได้ล้วนเป็นไปได้สำหรับฉัน ไม่เชื่อพวกคุณก็ลองไปที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำแล้วสอบถามดูสิว่าร้านUniqueของฉันรับคืนเสื้อผ้าที่มีปัญหาด้านคุณภาพภายในเจ็ดวันจริงหรือเปล่า ต่อให้คุณไม่พอใจในตัวสินค้า ก็สามารถขอเงินคืนได้เหมือนกัน”

พอผู้ค้ารายย่อยได้ยินแบบนั้น คราวนี้พวกเขาต่างก็ถูกล่อลวงอย่างสมบูรณ์

พวกเขาชะเง้อมองเข้าไปในตัวร้านที่ว่างเปล่าของหลินม่าย แล้วถามว่าร้านของเธอจะเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อใด

หลินม่ายตอบ “ร้านของเราจะเปิดอย่างเป็นทางการภายในเที่ยงวันนี้ค่ะ”

ผู้ค้ารายย่อยเหล่านั้นจำเป็นต้องกลับไปทำธุระหลังจากซื้อสินค้าเสร็จ เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่รอจนถึงเที่ยงวัน ดังนั้นพวกเขาจึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “งั้นเดี๋ยวพวกเราค่อยแวะมาดูใหม่”

ไม่ว่าหลินม่ายจะเปิดร้านทันตามกำหนดจริงไหม ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเสียผลประโยชน์

หลินม่ายส่งยิ้มหวานเป็นการโน้มน้าว “วันพรุ่งนี้ ร้านเรามีของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ แจกด้วยนะคะ”

ทุกคนถามว่า “ของขวัญอะไรเหรอ?”

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินว่าร้านค้าส่งเสื้อผ้ามีการจัดโปรโมชั่นแจกของขวัญด้วย

ทุกครั้งที่พวกเขามาที่ถนนฮั่นเจิ้งเพื่อรับซื้อสินค้า หลายครั้งไม่พ้นถูกเจ้าของร้านขึ้นเสียงใส่บ้าง หรือแม้กระทั่งถูกด่าเพราะเอาสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพไปขอเปลี่ยน

ผู้ค้ารายย่อยคิดเสมอว่าตัวเองถูกบรรดาเจ้าของร้านค้าส่งบนถนนฮั่นเจิ้งแบ่งแยกชนชั้น เนื่องจากไม่เคยได้รับการบริการที่ดีเลย

หลินม่ายตอบคำถาม “เป็นอุปกรณ์เครื่องเขียนค่ะ”

หลังจากได้ยินคำตอบของเธอ เหรินเป่าจูก็แทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เธอว่าจะถามอีกฝ่ายอยู่พอดี ว่าจะทำยังไงกับเครื่องเขียนกองโตที่รับซื้อมา แต่ไม่สบโอกาสถามเสียที ที่แท้หลินม่ายก็เตรียมการไว้แล้วนี่เอง

ถึงแม้เครื่องเขียนพวกนี้จะมีมูลค่าไม่สูงมาก แต่ก็ยังใช้เป็นของขวัญแจกฟรีได้

ผู้ค้ารายย่อยเหล่านี้ต่างก็มีอายุเข้าวัยกลางคนกันทั้งนั้น ใครบ้างไม่มีลูกหลานอยู่ที่บ้าน?

ต่อให้พวกเขาไม่มีลูกมีหลาน อย่างน้อยในบรรดาญาติ ๆ ก็ต้องมีลูกหลานสักครอบครัวหนึ่ง ชุดเครื่องเขียนที่ว่าถือเป็นสิ่งจูงใจชั้นดี

แต่คำถามที่หลายคนยังสงสัยก็คือ คำพูดของสาวน้อยคนนี้สามารถเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน?

ใครคนหนึ่งถาม “สาวน้อย เธอเป็นแค่พนักงานของร้านนี้ ทำไมถึงได้ตัดสินใจเรื่องใหญ่โตแบบนี้ล่ะ! ถึงเธออยากแจกของขวัญให้เรา แต่ถ้าเจ้านายของเธอไม่เห็นด้วยจะทำยังไง”

เหรินเป่าจูโพล่งขึ้นมาจากด้านข้าง “หล่อนเป็นผู้จัดการโรงงานตัดเสื้อของฉันเองค่ะ แถมยังเป็นเจ้าของร้านนี้ด้วย คุณสามารถวางใจในคำสัญญาของหล่อนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”

ทุกคนต่างประหลาดใจไปตาม ๆ กัน เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเจอกับผู้จัดการโรงงานที่ยังอายุน้อยแบบนี้

สองสาววางมือจากหนังสือพิมพ์แล้วเดินเข้าไปในร้าน เหรินเป่าจูถามหลินม่าย “จะให้ฉันจัดเซตเครื่องเขียนสำหรับแจกยังไงดีคะ?”

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ปากกาหนึ่งด้าม สมุดปกหนาหนึ่งเล่ม ดินสอห้าแท่ง สมุดจดการบ้านสำหรับนักเรียนชั้นประถม หนังสือภาษาจีนและคณิตศาสตร์อย่างละสามเล่ม ยางลบหนึ่งอัน กบเหลาดินสออีกหนึ่ง”

ถ้าคิดตามราคาขายปลีก เครื่องเขียนพวกนี้มีมูลค่ารวมกันถึงสามหยวน

แน่นอนว่าถ้าคิดตามราคาลดสี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เถ้าแก่เนี้ยขายให้ เซตเครื่องเขียนนี้จะมีมูลค่าแค่หนึ่งหยวนต่อชุด

เหรินเป่าจูคิดคำนวณในใจอย่างรวดเร็ว “ต่อให้วันพรุ่งนี้จะมีลูกค้ามาซื้อสินค้าจากเราหนึ่งพันคน เราก็ระบายเครื่องเขียนพวกนี้ออกไปได้แค่หนึ่งพันชุดเท่านั้นเอง แบบนี้จะทำยังไงกับเครื่องเขียนที่เหลือดีคะ?”

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องแจกให้หมดหรอก คุณช่วยแบ่งเครื่องเขียนที่เหลือทั้งหมดออกเป็นสามพันชุดแล้วแยกใส่ถุงไว้ ฉันวางแผนว่าจะเอาพวกมันไปแจกให้เด็ก ๆ ที่มีฐานะยากจนหรือพิการ”

ถึงขึ้นชื่อว่าเป็นของแจกฟรีก็จริง แต่เหรินเป่าจูรับรู้สถานการณ์ปัจจุบันในโรงงานอยู่บ้าง เมื่อคิดว่าการแจกเครื่องเขียนมูลค่าหลายพันหยวนโดยเปล่าประโยชน์ยังอยู่ในจุดที่พอรับได้ หล่อนจึงไม่ได้คัดค้านอะไร

ตอนนี้ร้านค้าส่งเสื้อผ้าไม่มีปัญหาอะไรที่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว หลินม่ายจึงเข็นจักรยานออกมา ตั้งใจจะไปทำธุระอื่นต่อ

พอเหลือบไปเห็นคุณป้าชาวกวางสีมาตั้งแผงตามปกติก็นึกแปลกใจเล็กน้อย “คุณป้ามาตั้งแผงที่นี่อีกแล้ว เจ้าหน้าที่เทศกิจเขตนี้ไม่ค่อยมาตรวจเหรอคะ?”

คุณป้าชาวกว่างสีส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เจ้าหน้าที่เทศกิจไม่มาหรอก”

จากนั้นหล่อนก็โน้มตัวไปกระซิบกับหลินม่าย “ฉันยอมควักเงินจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับเจ้าหน้าที่เทศกิจน่ะ ถ้าไม่มีเหตุพิเศษอะไร พวกเขาก็ไม่มาไล่ฉันหรอก”

หลินม่ายพยักหน้า “ดีจังเลยค่ะ”

คุณป้าชาวกว่างสีพูดต่อ “เช้าวันนี้ร้านฉันขายดีกว่าทุกวันเสียอีก ซุปถั่วเขียวสองหม้อใหญ่หมดไปตั้งนานแล้ว ฉันต้องกลับไปต้มซุปมาเพิ่มอีกสองหม้อ เพราะแบบนี้ถึงต้องตั้งแผงขายใหม่”

หลินม่ายเดาว่าคงเป็นเพราะเมื่อกี้นี้มีคนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าร้านของหล่อนเพื่ออ่านเนื้อหาในหน้าหนังสือพิมพ์ หลายคนจึงถือโอกาสอุดหนุนซุปถั่วเขียวร้านคุณป้า ทำให้ซุปถั่วเขียวของหล่อนขายหมดอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงเช้า

ถนนฮั่นเจิ้งมีผู้คนพลุกพล่านเกินไป ท้องถนนวุ่นวายเกินกว่าจะขี่จักรยานผ่าน

หลินม่ายจึงใช้วิธีเข็นจักรยานแล้วเดินเลียบไปจนสุดถนนฮั่นเจิ้ง รอให้ปลอดคนถึงกล้าควบปั่น

เธอไม่ได้รีบกลับบ้านหรือวกกลับไปที่โรงงาน แต่ปั่นจักรยานวนสำรวจรอบถนนฮั่นเจิ้ง

ตั้งใจว่าจะตระเวนหาที่ทางเพื่อสร้างตลาดค้าส่งเสื้อผ้าด้วยตัวเอง

รูปแบบในปัจจุบันของถนนฮั่นเจิ้งยังคงห่างไกลจากอุดมคติของเธอนัก

ถนนตลอดสายขายทั้งเสื้อผ้าและสินค้าประเภทอื่น ๆ ปะปนกัน แทบไม่ต่างอะไรจากร้านขายของชำ ซึ่งไม่เอื้อต่อการพัฒนาถนนฮั่นเจิ้งเลยแม้แต่นิด

ในชาติที่แล้วของหลินม่าย รัฐบาลเริ่มวางแผนปฏิรูปถนนฮั่นเจิ้งสักประมาณกลางทศวรรษที่ 1990

โดยมีข้อกำหนดว่าย่านไหนควรขายเฉพาะเสื้อผ้า และย่านไหนที่สามารถขายได้เฉพาะสินค้าขนาดเล็ก

การจัดประเภทย่านการค้าโดยมีแบบแผน ช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยสามารถประหยัดเวลาไปได้มาก

ถ้าอยากได้อะไร ก็แค่ตรงไปยังย่านที่ขายสินค้าประเภทนั้น

ไม่จำเป็นต้องวิ่งวนไปทั่วถนนฮั่นเจิ้งเพื่อหาซื้อเสื้อผ้าเหมือนกับในตอนนี้ นอกจากจะใช้เวลานานแล้ว ยังเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ

แต่หลังจากขี่วนไปมาหลายรอบ เธอก็ยังไม่เจอทำเลที่เหมาะสมในการจัดตั้งตลาดค้าส่งเสื้อผ้า

ถึงเจอสถานที่ซึ่งมีทำเลดี แต่บริเวณนั้นก็มีหลายสิบครัวเรือนอาศัยอยู่

บ้านพักอาศัยของหลายสิบครัวเรือนที่ว่านั้นอยู่ตรงปากทางเข้าถนนลี่จีเหนือ ซึ่งอยู่ห่างจากถนนฮั่นเจิ้งแค่หนึ่งร้อยเมตร

แทบทุกหลังมีสภาพทรุดโทรมไม่น่ามอง แถมด้านหลังชุมชนยังมีขยะเป็นกองพะเนิน สภาพแวดล้อมค่อนข้างแย่

ถ้าหลินม่ายต้องการสร้างอาคารบนที่ดินผืนนี้จริง ๆ คงต้องไปเจรจากับหลายสิบครัวเรือนเพื่อขอรื้อถอนที่อยู่อาศัย แต่เธอไม่มั่นใจว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีหรือเปล่า

ชาติที่แล้ว การเจรจาขอรื้อถอนที่อยู่อาศัยกับผู้อาศัยเดิมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อาจเสี่ยงต่อการเจอคนหัวหมอที่เรียกค่าชดเชยจากการรื้อถอนเป็นเงินจำนวนมาก ถ้าเป็นแบบนั้นเธอคงเดือดร้อนแย่

แต่หลินม่ายก็ตัดสินใจว่าจะลองดู

สภาพความเป็นอยู่ของครัวเรือนหลายสิบหลังที่นั่นยากจนมาก ตราบใดที่พวกเขาได้รับผลประโยชน์ที่พอสมน้ำสมเนื้อ พวกเขาก็อาจเต็มใจให้รื้อถอนก็ได้

เธอลงจากจักรยาน แล้วไล่สอบถามพวกเขาไปทีละครอบครัว

เงื่อนไขก็คือถ้าเธอยินดีให้พวกเขาย้ายไปอาศัยอยู่ในห้องชุดที่มีขนาดเท่ากันกับบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ในตอนนี้ พวกเขาจะยอมไหม

ครึ่งหนึ่งของหลายสิบครัวเรือนเหล่านี้อยู่ในบ้านที่ทรุดโทรมก็จริง แต่พวกเขายากจนมาก ไม่มีเงินเพียงพอจะรื้อบ้านแล้วสร้างใหม่ ดังนั้นจึงได้แต่ซุกหัวนอนต่อไปด้วยความจำยอม

ส่วนครัวเรือนอีกครึ่งหนึ่งหลังจะมีสภาพบ้านดีกว่าคนกลุ่มแรกนิดหน่อย แต่ทุกครั้งที่นอกบ้านฝนตกหนัก ในบ้านก็ต้องเผชิญปัญหาน้ำรั่วซึมจากหลังคาทั่วทุกจุด ถึงฤดูกาลดังกล่าวเมื่อใด วันไหนที่พวกเขาได้นอนหลับอย่างสงบสุขคือวันอันแสนล้ำค่า

ถึงอย่างนั้น ด้วยความที่ภูมิประเทศของหมู่บ้านซั่งเฉวียนอยู่ต่ำกว่าพื้นที่โดยรอบ ทำให้น้ำฝนไหลเข้าไปในบ้านจนเกิดน้ำท่วมขัง ชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบากมาก

ดังนั้นความคิดของหลินม่ายที่จะโน้มน้าวให้พวกเขาย้ายไปอยู่ในห้องชุดซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยเท่ากับบ้านหลังเดิมจึงถือเป็นอันตกไป

ทดแทนด้วยแรงจูงใจใหม่ คือห้องชุดในอาคารที่เธอเสนอให้พวกเขาย้ายไปอยู่ จะมีพื้นที่ใช้สอยใกล้เคียงกับบ้านหลังเดิม ค่อนไปทางมากกว่า

หลินม่ายยิ้ม เสนอพวกเขาอย่างจริงใจ “รับรองได้เลยว่าที่อยู่ใหม่ของพวกคุณไม่เลวแน่นอนค่ะ แต่ฉันไม่รู้ว่ามันมีพื้นที่ใช้สอยใกล้เคียงกับบ้านที่พวกคุณอาศัยอยู่ในตอนนี้มากแค่ไหน กลัวว่าถ้ายืนยันว่าใกล้เคียงกันแล้ว บางทีพวกคุณอาจจะไม่เห็นด้วย”

คุณป้าคนหนึ่งถามอย่างใจร้อน “งั้นบอกหน่อยสิว่าอาคารที่เธออยากให้พวกเราย้ายไปตั้งอยู่แถวไหน?”

“บนถนนชิงเหนียนค่ะ”

ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าทำเลที่ตั้งไม่เลว อยู่ห่างจากห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงแค่สามช่วงถนน และห่างจากถนนฮั่นเจิ้งแค่นิดหน่อย ประมาณห้าช่วงถนน

ผู้อาศัยบางคนถามอย่างกระตือรือร้น “พวกเราสามารถย้ายไปที่นั่นได้เมื่อไหร่?”

หลินม่ายตอบ “ตัวอาคารเพิ่งจะเริ่มสร้างได้ไม่นานเองค่ะ ฉันรับปากไม่ได้ว่าพวกคุณจะสามารถย้ายไปที่นั่นได้ตอนไหน แต่ถ้ามันสร้างเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะรีบติดต่อพวกคุณทันที”

พูดจบแล้ว เธอก็ยื่นนามบัตรของตัวเองให้กับพวกเขาทุกคน

แววตาของทุกคนฉายชัดถึงความเสียดาย

พวกเขาหวังว่าตัวเองจะได้ย้ายไปอยู่ในพื้นที่ที่หลินม่ายเสนอในเร็ว ๆ นี้

ทุกคนต้องทนอาศัยอยู่ในบ้านที่มีสภาพทรุดโทรม แถมยังมีสภาพแวดล้อมย่ำแย่แบบนี้มานานพอแล้ว

ขณะที่หลินม่ายกำลังจะจากไป ชาวบ้านหลายคนย้ำกับเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าเธอจะต้องรักษาคำพูด

หลินม่ายยืนยันกับพวกเขา “มั่นใจได้เลยค่ะ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

หาทางระบายเครื่องเขียนที่ไม่รู้จะขายยังไงออกไปได้แล้ว หัวหมอจริงๆ ค่ะ

ไหหม่า(海馬)