บทที่ 406 ท่าทีโต้ตอบของสุภัทร

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีหลับตาลงอย่างทรมาน น้ำตาไหลลงมาหยดหนึ่ง จากนั้นร่างกายอันเหนื่อยล้านี้ไปจากที่นี่ด้วยฝีเท้าหนักหน่วง ขับรถไปยังบ้านตระกูลศรีสุขคํา

พ่อบ้านของบ้านตระกูลศรีสุขคําเห็นเธอมารู้สึกประหลาดใจมาก “คุณวารุณี คุณมาหาคุณท่านเหรอ”

วารุณีพยักหน้า “เขาอยู่ไหน”

“คุณท่านไม่อยู่บ้าน หรือคุณค่อยมาคราวหน้าเถอะ” พ่อบ้านพูดอย่างอ้อมค้อม

วารุณีเม้มปาก “ไม่ได้ ฉันมีเรื่องจะต้องถามสุภัทร”

“แต่ว่าคุณท่าน…”

“เขาไม่อยู่ ฉันก็จะรออยู่ในบ้านอย่างนี้ คุณรีบโทรหาเขาเลย ให้เขากลับมา ไม่งั้นก็อย่ามาโทษฉันทำอะไรสักอย่างละกัน” วารุณีทิ้งคำพูดข่มขู่ออกไปประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ทำหน้าเย็นชาเข้าไปคฤหาสน์เลย

พ่อบ้านก็ไม่สะดวกที่จะห้ามเธอเอาไว้ เธอนอกจากจะเป็นลูกสาวของสุภัทรแล้ว ยังเป็นคุณนายของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปอีกด้วย

ไม่กล้าขัดใจหรอกๆ

พ่อบ้านถอนหายใจออกคำหนึ่ง ควักมือถือออกมาอย่างยอมรับความโชคร้ายและโทรหาสุภัทร ให้สุภัทรที่กำลังตกปลาอยู่รีบกลับมาเร็วหน่อย

วารุณีเข้าไปคฤหาสน์ เพิ่งเดินมาถึงห้องรับแขกไม่นานก็ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของเด็ก และเสียงเรียกลูกรักอันอ่อนโยนของขยานี

วารุณีหรี่ตาลง ดูไปยังต้นเสียง เห็นฉากขยานีอุ้มเด็กผู้ชายที่โตกว่าอารัณนิดหน่อย กำลังนั่งเล่นของเล่นบนโซฟาอยู่

เด็กผู้ชายนั่งอยู่ในอ้อมกอดของขยานี ขยานีหยิกและจูบใบหน้าของเด็กผู้ชายไม่หยุด ท่าทางชอบใจสุดๆ

เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ในตาวารุณีมีแสงโผล่ขึ้นมา มุมปากค่อยๆ โค้งขึ้น

นี่ก็คือถวิต ลูกของขยานีกับปวิชไม่ใช่เหรอ

ถ้าขยานีพาลูกคนนี้เข้ามาบ้านตระกูลศรีสุขคํา แสดงว่าใจนี่กล้าอย่างไม่ธรรมดาเลย ไม่กลัวเรื่องมันถูกเปิดเผยเลยเหรอ

“ขยานี” วารุณีเห็นขยานียังไม่สังเกตเห็นตัวเองมาเลย จึงเปิดปากเรียกเลย

ความรักแห่งผู้เป็นแม่บนหน้าขยานีหายไปในชั่วขณะ หันมาดูเธอ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ “แกมาได้ยังไง ใครให้แกมา”

“ฉันมาเยี่ยมพ่อฉัน” วารุณีเดินไปตรงโซฟา เดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามของขยานีกับลูก

ขยานีเห็นเธอแล้วก็ไม่ไว้หน้าแม้แต่นิดหน่อยเลย ส่งเสียงไม่พอใจ “มาเยี่ยมพ่อแกงั้นเหรอ ไหนแกบอกว่าแกไม่มีพ่อคนนี้แล้วไม่ใช่เหรอ มาในตอนนี้ใครจะไปรู้แกกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่”

“นี่ก็ไม่เกี่ยวกับเธออะไรแล้ว” วารุณีเสยผม

ลูกตาของขยานีหมุนไปหมุนมา ทั้งหน้าดูดีอกดีใจที่คนอื่นเกิดความโชคร้ายและหัวเราะขึ้นมา “ได้ข่าวว่าช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างแกกับนัทธีมีปัญหาเหรอ ที่แกมาหรือจะเป็นเพราะนัทธีไม่เอาแกแล้ว แกอยากให้พ่อแกช่วยเธอใช่ไหม”

วารุณีไม่รู้ได้ยังไงว่าเธอกำลังจงใจยั่วตัวเองอยู่ จึงไม่โมโหและเอามือไว้ที่คางพร้อมยิ้มว่า “ฉันไม่ได้ถึงขั้นต้องให้คนอื่นมาช่วยฉัน และก็ไม่ต้องการให้ใครมาช่วยฉันด้วย เรื่องของฉัน ฉันจัดการเองได้”

ขยานีเบะปาก รู้สึกว่าตัวเองกำลังตีอากาศอยู่

“ใช่แล้ว ฉันยังไม่ได้ถามคุณน้าขยานีเลย เด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอคือ…” วารุณีรู้อยู่แล้วแต่ก็ยังจงใจถาม

สายตาของขยานีร้อนรนครู่หนึ่ง กอดถวิตที่อยู่ในอ้อมกอดแน่นๆ ตอบอย่างแกล้งทำเป็นใจเย็นว่า: “คนนี้คือลูกของลูกพี่ลูกน้องของญาติห่างฉัน”

“ใช่เหรอ แต่ฉันเห็นว่าเขาเหมือนคุณน้าขยานีมากเลยนะ” สายตาของวารุณีกวาดอยู่ตรงใบหน้าของถวิตและขยานีไปมาไม่หยุด

ถวิตได้หน้าตาของขยานีมาเต็มๆ เลย เหมือนขยานีห้าถึงหกส่วน และยังเหมือนพิชญาเล็กน้อยด้วย

ขยานีได้ยินวารุณีบอกว่าถวิตกับตัวเองเหมือนมาก ในใจก็ยิ่งรู้สึกลนลานกว่าเดิม สีหน้าบนใบหน้าก็เริ่มควบคุมไม่ค่อยได้แล้ว พยายามเบียดรอยยิ้มอันดูแย่ออกมาและตอบว่า “ฉันกับลูกพี่ลูกน้องฉันที่อยู่ห่างไกเป็นญาติกัน มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอยู่แล้ว หน้าตาเหมือนกันมีตรงไหนน่าแปลก”

“ที่เธอพูดก็ถูก” วารุณียิ้ม ไม่พูดอะไรต่อแล้ว

ขยานีโล่งใจแล้ว แต่ก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อแล้ว อุ้มเด็กขึ้นไปชั้นบนไปเลย

วารุณียกแก้วชาขึ้นมาดื่มชาคำหนึ่ง ผ่านไปไม่นาน สุภัทรก็ทำหน้ามืดมน กลับมาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจแล้ว

“เธอหาฉันมาเรื่องอะไรเหรอ” สุภัทรเอาเบ็ดตกปลาถุงใหญ่ๆ ลงไปและถามด้วยเสียงเย็นชา

วารุณีเพิ่งจะรู้ว่าเขาไปตกปลามา จึงอดรู้สึกอึ้งไม่ไว้

เขากลับยังตกปลาเป็นอีกด้วย?

ไม่คิดอะไรมาก วารุณีวางแก้วชาลงและพูดว่า: “ที่ฉันมาหาคุณ เพราะอยากรู้ว่าวันที่เก้าเดือนตุลาคมเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว แม่ฉันได้ชนคนอื่นหรือเปล่า”

พอได้ยินคำพูดนี้สีหน้าของสุภัทรก็เปลี่ยนไปเลย “แกถามเรื่องนี้ทำไม”

“มีคนอยากใส่ร้ายแม่ฉัน สร้างความบาดหมางให้กับความสัมพันธ์สามีภรรยากันระหว่างฉันกับนัทธี ดังนั้นฉันจะต้องหาความจริงออกมาให้ได้” วารุณีมองเขาและพูดออกมา

ดวงตาแก่ของสุภัทรกระพริบไปมา จากนั้นลุกขึ้นมาว่า “ฉันไม่รู้ แกกลับไปเหอะ”

“ไม่ คุณรู้” วารุณีก็ลุกขึ้นมาด้วยเช่นกัน “เมื่อกี้สีหน้าของคุณบอกฉันว่าคุณรู้เรื่องในตอนนั้น สิบแปดปีที่แล้วคุณกับแม่ฉันบังไม่ได้หย่ากันเลย คุณไม่มีทางไม่รู้เรื่องของท่านหรอก”

สุภัทรจับหัวมังกรของไม้เท้า “ฉันรู้แล้วจะทำไม ไม่รู้แล้วจะทำไมอีก”

“ฉันอยากให้คุณบอกฉัน บอกฉันว่า ตกลงแม่ฉันเคยชนคนอื่นไหม” วารุณีกัดริมฝีปาก

สุภัทรยิ้มแห้งๆ “เธอรู้เรื่องนี้ดีที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ”

“หมายความว่าอะไร” วารุณีอึ้ง

เธอรู้ดีที่สุด?

เธอจะไปรู้เรื่องเมื่อสิบแปดปีก่อนได้ยงไง

ถึงแม้ตอนนั้นเธอแปด เก้าขวบแล้ว จำความได้มาหลายปีแล้ว แต่เธอสามารถแน่ใจได้ว่าเธอไม่รู้เรื่องวันที่เก้าเดือนตุลาคมเมื่อสิบแปดปีที่แล้วแน่นอน

สุภัทรมองวารุณีที่กำลังมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง สายตาดูยุ่งยากเล็กน้อย หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน จู่ๆ กลับเปิดปากพูดอย่างประชดประชันว่า “เธอนี่จำอะรไม่ได้สักอย่างเลยจริงๆ น่าสงสารจริง เธอไปเถอะ เรื่องในตอนนั้น ฉันไม่มีอะไรพูดกับแกได้ นอกจากว่า…”

“นอกจาอะไร” วารุณีกำมือไว้แน่น

ตาแก่ของสุภัทรสว่างขึ้นมา “นอกจากว่าเธอให้ศรัณย์กลับมาบ้านตระกูลศรีสุขคํา”

ช่วงนี้ขยานีหญิงแก่นั่นชอบพูดอยู่ข้างหูเขาบ่อยๆ ว่าพิชญาไม่อยู่แล้ว วารุณีสองพี่น้องก็ไม่เอาเขา ให้เขารับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งและเลี้ยงเขาจนโต อนาคตจะได้เลี้ยงดูเขาและส่งเขากลับไปอย่างดี ยิ่งกว่านั้นยังได้แนะนำลูกชายของลูกพี่ลูกน้องที่เป็นญาติห่างของเธอ มากกว่านั้นยังพาเด็กคนนั้นมาแล้วด้วย

ฮ่า พูดซะฟังดูดีจริงๆ อย่านึกว่าเขาไม่รู้ ขยานีก็คืออยากให้หลานซึ่งเป็นญาติห่างไกลของเธอรับมรดกของเขานั่นเอง เขายังไม่ตายเลยก็คิดถึงทรัพย์สมบัติของเขาแล้ว อีกอย่าง เขาก็ไม่ได้มึนจนเหลือมรดกไว้ให้คนนอกคนหนึ่ง

ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดที่จะลบความคิดที่อยากให้ศรัณย์กลับมาออกไปเลย

วารุณียิ้มอย่างเย็นชาพร้อมกับมองสุภัทร “คุณนี่เจอรูก็มุดเลยนะ อย่าคิดเลย ฉันไม่มีทางให้ศรัณย์กลับมาเด็ดขาด ถ้าคุณไม่บอกก็ไม่ต้องบอก ยังไงแล้วฉันมาที่นี่ก็ไม่มีความหวังมากแค่ไหนอยู่แล้ว”

พูดจบเธอก็ไปแล้ว

วินาทีที่เดินออกไปจากบ้านตระกูลศรีสุขคํา หัวของวารุณีก็เริ่มเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง

เธออดนั่งยองลงไปบนพื้นไม่ไหว มือตบหัวเบาๆ สีหน้าดูเคร่งเครียดมาก

แค่วันนี้วันเดียวหัวก็เจ็บหลายครั้งมากอย่างนี้แล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปอีก เจ็บไปทั้งวันก็เป็นไปได้

สงสัยจะรอมีเวลาว่างไม่ได้อีกแล้ว

ขณะที่คิดอยู่ วารุณีก็ได้โทรหาพงศกร

“วารุณี?” เสียงอ่อนโยนของพงศกรดังเข้ามา

วารุณีแอบหลับตาลงเล็กน้อย บรรเทาอาการเจ็บในหัว “พงศกร คุณอยู่โรงพยาบาลไหม”

“ผมอยู่ ทำไมเหรอ” พงศกรถามอย่างเป็นห่วง

วารุณีพยายามไม่ไปดูภาพที่ปรากฏขึ้นมาอยู่ในหัว ตอบกลับด้วยเสียงอ่อนแอว่า: “หัวฉันเจ็บอีกแล้ว ฉันอยากให้คุณดูให้ฉันหน่อยว่าตกลงเป็นอะไร”

เมื่อพงศกรได้ยินคำพูดนี้ ผลักแว่นตาจนเกิดสะท้อนแสง

“ได้ คุณมาเลย ขับขี่ปลอดภัยบนท้องถนนด้วยนะ” พงศกรเตือน

วารุณีอืมคำหนึ่ง “ได้ ฉันรู้แล้ว”

หลังจากจบการสนทนา พงศกรวางมือถือลง

ตั้งแต่รู้ว่าเธออาจจะมีความทรงจำส่วนหนึ่งถูกสะกดจิตจนลืมไปแล้ว เขาก็มีความสนใจกับความทรงจำส่วนนั้นของเธออย่างมาก

อยากรู้ว่าตกลงเป็นเหตุผลอะไรถึงให้เธอลืมความทรงจำเหล่านั้นไป