บทที่ 407 สะกดจิต

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

เชื่อว่าอีกสักครู่ก็จะรู้คำตอบนี้แล้ว

วารุณีไปยังโรงพยาบาล

หลังจากมาถึงโรงพยาบาลแล้ว เธอก็ไปหาพงศกรเลย

พิชิตเห็นตัวเธอและเอ๋คำหนึ่ง “นั่นวารุณีไม่ใช่เหรอ เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

ตอนแรกเขามาที่โรงพยาบาลนี้เพื่อเรียกชุดยาสลบ ไม่คิดเลยว่ากลับได้เห็นวารุณี

และทางนั้นคือไปทางแผนกสมอง…

หรือว่าเธอจะมาหาพงศกรเหรอ

พิชิตรู้เรื่องที่พงศกรกลับมาประเทศอยู่

พงศกรก็เคยไปหาเขา โอนข้อมูลการทำงานจากโรงพยาบาลของเขามาที่โรงพยาบาลแห่งนี้

ดังนั้นวารุณีอาจจะมาหาพงศกรจริงๆ

ขณะที่คิดอยู่ พิชิตรีบควักมือถือออกมาและกดเบอร์ของนัทธี

นัทธีกำลังประชุมอยู่ พอได้ยินเสียงมือถือแล้วก็ดูแวบเดียวและวางสายลงเลย ไม่คิดที่จะรับสาย

พิชิตเบะปาก “ไม่รับใช่ไหม ฉันมีวิธีให้แกโทรมาหาเองเยอะ”

ยิ้มอย่างชั่วร้าย พิชิตส่งข้อความให้นัทธี: ภรรยาแกกำลังอยู่กับพงศกรอยู่

ข้างหลังเป็นอิโมจิทหารหมวกเขียวสามรูป

หลังจากนัทธีเห็นแล้วสีหน้าดูแย่ลงมากเลยทันที ความกดอากาศรอบตัวลดลงเป็นเส้นตรง

ภายในห้องประชุมอันกว้างใหญ่ ทุกคนต่างรู้สึกได้ว่าเขากำลังโมโหอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเขากำลังโมโหอะไรอยู่

พวกเขาเหมือนก็ไม่ได้ทำอะไรให้เขาอารมณ์ไม่ดีมั้ง

“หยุดการประชุม” นัทธีทิ้งสี่คำนี้ออกไปด้วยเสียงเย็นชา จากนั้นเอามือถือขึ้นมาออกไปข้างนอกโทรหาพิชิต

พิชิตเห็นเป็นเบอร์ของเขา หน้าเด็กอันน่ารักนั้นเต็มไปด้วยความพึงพอใจ จากนั้นรับสายขึ้นมา “ฮาโหล”

“แกบอกว่าวารุณีกับพงศกรอยู่ด้วยกัน?” เสียงอันเย็นชาของนัทธีดังมา

พิชิตพยักหน้า “ใช่ ตอนนี้เธออยู่ที่โรงพยาบาลที่พงศกรทำงานอยู่ และยังไปแผนกสมองโดยเฉพาะ น่าจะไปหาพงศกรแหละ แกจะเอ๋…”

พิชิตรีบเอามือถือมาตรงหน้า เห็นหน้าจอที่เด้งกลับไปหน้าหลัก มุมปากอดกระตุกไม่ไหว “วางสายได้รวดเร็วทันใจจริงๆ เลย”

สงสัยอีกไม่นานก็จะมาถึงแล้ว

พิชิตยิ้มอย่างน่าสนใจ

แผนกสมอง วารุณีหาพงศกรเจอแล้ว

พงศกรกำลังทำการตรวจซีทีสมองให้วารุณีอยู่

ถึงแม้เขาอยากจะเมียงมองความจำที่ถูกปิดสนิทไว้ของเธอเลย แต่เขาก็กังวลว่าในหัวเธอจะมีปัญอะไรจริงๆ หรือเปล่า ดังนั้นก่อนที่จะเมียนมอง เขายังคงเลือกการตรวจที่ปกติให้เธอ

พงศกรนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานของตัวเอง ในมือถือภาพซีทีสมองไว้บนอากาศตรวจดูอย่างตั้งอกตั้งใจ

วารุณีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขา สองมือกำเอาไว้แน่นวางอยู่บนโต๊ะทำงาน รู้สึกกระวนกระวายใจมาก “พงศกร เป็นไงบ้าง ในหัวฉันมีอะไรหรือเปล่า เช่นเนื้องอกในสมองอะไรอย่างนี้”

เธอเคยได้ยินมาว่าถ้าในหัวเจ็บเป็นระยะๆ ก็น่าจะเป็นมีอะไรพวกนี้

ถ้าเป็นเนื้องอกธรรมดาก็ยังดีอยู่ สามารถตัดออกด้วยการผ่าตัด แต่ถ้าเป็นเนื้อร้าย ถึงตัดออกแล้วก็จะกำเริบขึ้นมาอีก ยิ่งกว่านั้นยังอาจจะกลายเป็นมะเร็งสมองได้ด้วย

พอคิดถึงตัวเองอาจจะมีมะเร็งสมอง จิตใจของวารุณีก็จมลงไปถึงใต้หุบเขา เย็นทั้งมือและขา

เธอไม่ใช่กลัวตาย แต่คือกลัวว่าถ้าตัวเองตายแล้วลูกสองคนจะทำยังไง

“ไม่ต้องกลัว ในสมองคุณไม่มีอะไรเลย สุขภาพดีมาก” พงศกรวางภาพลงมา ปลอบใจวารุณีที่กระวนกระวายใจด้วยเสียงอ่อนโยน

ตาของวารุณีสว่างขึ้นมา “จริงเหรอ ไม่มีจริงๆ เหรอ”

“จริงๆ เชื่อผม” พงศกรพยักหน้าและยิ้ม

วารุณีอืมเสียงหนึ่ง “ฉันเชื่อคุณ ฉันแค่จรุงใจและดีใจเกินไปแล้ว ฉันยังนึกว่าฉันมีมะเร็งสมองอยู่เลย”

เธอดีใจจนร้องไห้

พงศกรยื่นกระดาษทิชชูสะอาดให้เธอหนึ่งแผ่น “ไม่มีอะไรเลย อย่าคิดมาก”

“ฉันรู้ ฉันไม่คิดมากแล้ว แต่ว่าถ้าในสมองฉันไม่มีอะไรเลย แล้วการที่เจ็บหัวเกิดจากอะไรเหรอ” วารุณีมองเขา

สีตาของพงศกรมืดมน ทำหน้ายิ้มพูดว่า: “ผมไม่รู้เกี่ยวกับรายละเอียดเหมือนกัน แต่ผมเดาว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับความจำ”

“ความจำ?” วารุณีจ้องตาโตขึ้นมา อยู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดของสุภัทรก่อนที่จะมาขึ้นมาได้ ‘เธอนี่จำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ ด้วย’

เพราะฉะนั้น เธอลืมอะไรบางอย่างไปจริงๆ เหรอ

“พงศกร…” วารุณีมองไปที่พงศกรอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย

พงศกรเห็นท่าทางทำอะไรไม่ถูกแบบนี้ ตามองลงไปข้างล่างเพื่อปิดบังความมืดมนในตา ในปากปลอบโยนว่า: “ไม่ต้องกลัวนะ ผมรู้คุณอยากพูดอะไร ถ้าคุณตกลง ผมอยากสะกดจิตคุณ ลองหาดูว่าใช่ความจำของคุณมีปัญหาหรือเปล่า คุณคิดยังไง”

ถ้าเป็นเมื่อก่อน วารุณีไม่ตกลงแน่นอน

ถึงอย่างไรถูกสะกดจิตก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ใครจะไปรู้ว่าจะมีผลข้างเคียงอะไรตามมาทีหลังหรือเปล่า

แต่ตอนนี้เธอไม่ทันคิดอะไรมากขนาดนั้นแล้ว เธออยากรู้ว่าตกลงเธอได้ลืมอะไรไปจริงหรือเปล่า

“ได้” วารุณีขอบตาแดงเล็กน้อยและตอบตกลง

พงศกรอึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่คิดเลยว่าเธอกลับตอบตกลงได้โดยตรงขนาดนี้แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว เขาไม่ต้องหาวิธีอื่นเพื่อไปเมียงมองความจำของเธออีกแล้ว

“งั้นคุณนอนลงไปบนโซฟา” พงศกรชี้โซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

วารุณีหายใจเข้าลึกๆ คำหนึ่งและลุกขึ้นมา เดินไปนอนที่โซฟา

พงศกรเดินไปยังตรงหน้าเธอ ก้มหน้าดูเธออย่างเย่อหยิ่ง “เตรียมพร้อมหรือยัง”

“ได้แล้ว” วารุณีกำหมัดไว้ให้กำลังใจตัวเอง

พงศกรถอดแว่นลงมา “โอเค งั้นมองมาที่ผม ห้ามมองที่อื่น ทำตามที่ผมบอก”

วารุณีจ้องตาโตขึ้นมามองเขา

“ตอนนี้ไม่ต้องคิดอะไรเลย ทำให้ตัวเองว่างเปล่า ใช่ คุณง่วงมาก อยากนอนมาก”

“ฉันอยากนอน” หนังตาของวารุณีสั่น รูม่านตาค่อยๆ หลุดโฟกัส

เสียงของพงศกรอ่อนโยนกว่าเดิม และยังมีความรู้สึกชวนเชื่ออย่างหนึ่ง “งั้นก็ได้แล้ว คนดีของผม นอนหลับฝันดีนะ คุณเหนื่อยเกินไปแล้ว นอนเถอะ”

วารุณีกะพริบหนังตาอีกสอง สามรอบ ยิ่งรู้สึกหนักกว่าเดิม

สุดท้ายหนักจนลืมตาขึ้นมาไม่ไหวแล้วจึงหลับตาลงไปหมด

พงศกรเห็นวารุณีถูกตัวเองสะกดจิตสำเร็จแล้ว ก้มตัวลงและเข้าใกล้เธอมาก เตรียมชักจูงให้เธอเข้าไปในโลกความจำของเธอเอง

ทันใดนั้น ประตูของออฟฟิศจู่ๆ ก็ถูกคนเปิดออกมาอย่างแรง

นัทธีกับพิชิตเข้ามาจากข้างนอก

นัทธีเห็นท่าทางของพงศกรกับวารุณีรูม่านตาหดเข้าทันที วินาทีต่อไป ความโกรธอันใหญ่หลวงพุ่งขึ้นมาหัวใจ สีหน้ามืดมนสุดๆ “พงศกร มึงกล้ามาก!”

เขากำหมัดขึ้นมา ก้าวไปตรงหน้าพงศกรภายในสอง สามก้าวและต่อยลงไป

พงศกรหลบไปอย่างเนิบนาบ ยิ้มพูดว่า: “ประธานนัทธี คุณคิดว่าผมในปัจจุบันยังเหมือนผมในอดีตอยู่เหรอ จะถูกคุณต่อยโดนง่ายขนาดนั้นเหรอ”

นัทธีเม้มฝีปากบางเป็นเส้นตรง มองเขาอย่างเย็นชาโดยไม่ได้พูดอะไร “ไปดูเธอหน่อย”

นัทธีบอกให้พิชิต

พิชิตคืนสติกลับมา รีบตอบออกสองเสียงและเข้าไปดูอาการของวารุณี ในใจกลับยังคงอึ้งอยู่

แม่เจ้า ยังดีที่พวกเขามาทันเวลา

ไม่อย่างนั้นก็จะสมใจพงศกรแล้ว

คิดไม่ถึงเลยจริงๆ พงศกรกลับไร้ยางอายอย่างนี้ จะทำไม่ดีกับวารุณีตอนที่เธอหลับแล้ว

และวารุณีคนนี้ก็สุดจริง อยู่ๆ จะมาหาพงศกรทำไม รู้อยู่แล้วว่าพงศกรเป็นโรคจิต ยังมาหลับมานอนในที่ของเขาอย่างไม่ยี่หระ

นี่ก็คือให้คนอื่นเขาเห็นแล้วว่ามีโอกาสสำเร็จแผนชั่วไม่ใช่เหรอ

“เฮ้ย ตื่นสื” พิชิตผลักวารุณีเบาๆ อยากจะเรียกเธอให้ตื่น

แต่วารุณียังคงหลับลึกมากอยู่ ไม่เห็นท่าทีจะตื่นขึ้นมาเลย

ทันใดนั้น พิชิตรู้สึกว่าเรื่องมันไม่ปกติและขมวดคิ้วขึ้นมา จากนั้นมองไปยังพงศกรที่กำลังคุมเชิงกับนัทธีอยู่ ถามด้วยเสียงน่าเกรงขามว่า “แกวางยาแฝดให้เธอเหรอ”

นัทธีหรี่ตาลง สายตาอยากฆ่าคนก็ลอยออกมา

พงศกรเอาแว่นตาออกมาจากกระเป๋าตรงหน้าอกซ้ายใส่ขึ้นมาใหม่ โต้ตอบอย่างใจเย็น “คุณคิดว่าถ้าผมอยากทำให้ใครสักคนสลบ ยังต้องการใช้ของแบบนั้นอยู่ไหม”

พิชิตรู้สึกอึ้ง จากนั้นนึกถึงวิชาแพทย์อีกแบบที่เขาได้เรียน ใบหน้าเด็กอันน่ารักนั้นดูจริงจังมาก “แกสะกดจิตเธอเหรอ”

พงศกรยิ้ม ถือว่าเป็นการยอมรับ

“มึง…” นัทธีกัดฟัน ขณะที่เปิดปากขึ้นมาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

พงศกรพูดแทรกเขา “ประธานนัทธี ถ้าเทียบกับที่คุณถามผมว่าทำไมถึงทำแบบนี้ ผมคิดว่าคุณน่าจะถามผมก่อนว่าทำไมวารุณีถึงมาหาผมถึงที่นี่”