ตอนที่ 462 โต้วซูหว่านมาเยือน
ขณะที่อวี้จิ่นกลับมาถึงอวี้เหอย่วน เจียงซื่อกำลังนอนหลับ
เขาโบกมือให้อาเฉี่ยวเป็นสัญญาณให้นางออกไป
อีกไม่นานก็ย่างเข้าเหมันตฤดู ทว่าดูเหมือนความเหน็บหนาวจะมาเยือนช้ากว่าที่เคย อุณหภูมิภายในห้องกำลังอุ่นได้ที่
สายลมอ่อนพอเหมาะโบกโบยเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอ้า พัดม่านคลุมเตียงสีเหลืองอมส้มคล้ายสีสารทฤดูพลิ้วไหวไปมา ประหนึ่งเกลียวคลื่นกรีดกรายทับซ้อนชั้นแล้วชั้นเล่า
ลมหายใจของร่างเล็กที่หลับพริ้มอยู่บนเตียงคงที่สม่ำเสมอ ขนตายาวเป็นแผงเรียงสวยสะท้อนวงเงาที่ใต้ตา ผิวพรรณนวลขาวซีดฝาดอย่างเห็นได้ชัด
อวี้จิ่นเฝ้ามองร่างที่กำลังหลับใหลด้วยความสุขล้นเต็มอก
อาซื่อไม่เพียงแต่เป็นเจ้าสาวของเขาเท่านั้น บัดนี้นางยังตั้งครรภ์ลูกของเขาเสียด้วย อีกไม่นานก็จะได้เห็นหน้าเด็กน้อยที่เป็นเลือดเนื้อของพวกเขาทั้งสอง
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว อวี้จิ่นก็เฝ้ารอการมาถึงของเจ้าตัวเล็กอย่างใจจดใจจ่อ
เขากุมมือของเจียงซื่อพลางลูบแผ่วเบา
อาซื่อผอมเกินไป…
ชายหนุ่มครุ่นคิดเป็นกังวล
“คิดอะไรอยู่หรือ” เจียงซื่อที่ลืมตาขึ้นมองเปรยด้วยเสียงนุ่มนวล
อวี้จิ่นเอนกายไปข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมกล่าวขอโทษ “ข้าทำเจ้าตื่นหรือ”
เจียงซื่อลุกขึ้นนั่ง ส่งยิ้มพลางบอก “ข้านอนอิ่มแล้ว วันนี้เข้าวังไปแล้วแอบหนีเอาตัวรอดออกมางั้นรึ”
อวี้จิ่นยิ้มพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบท้องน้อยๆ ของนาง “ก็มีเจ้าตัวเล็กเป็นเหมือนเครื่องรางก็ย่อมหนีรอดมาได้เป็นธรรมดา”
อวี้จิ่นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังโดยย่อพร้อมกล่าวถึงจั่งสื่อ “เจ้าคงนึกภาพไม่ออกว่าสายตาของจั่งสื่อที่เห็นข้ากลับมาพร้อมของกำนัลหนึ่งคันรถเป็นอย่างไร”
เจียงซื่อได้ฟังก็หัวเราะ
ในชาติที่แล้ว มีหลายสิ่งที่นางไม่รู้ แต่เมื่อได้เข้ามาดูแลจวนเยี่ยนอ๋องในชาตินี้ด้วยทัศนคติที่พร้อม นางได้พบว่า หลายคนมีความน่าสนใจมากกว่าที่นางคิดเสียอีก
นางในชาตินี้กลับมาพร้อมความมั่นใจที่นางในชาติที่แล้วไม่เคยมี ฉะนั้นเรื่องราวย่อมต่างไปจากเดิมเป็นธรรมดา
“วันนี้เจ้ากินอะไรไป” อวี้จิ่นถาม
“มีไก่ฉีกเห็ดหูหนูขาว ยอดคะน้าผัดเห็ดหอม แล้วก็มีพวกอาหารนึ่งอีกสองสามอย่าง…” ใบหน้าของเจียงซื่อเริ่มขาวซีด นางยกมือโบกไปมา “เลิกเอ่ยถึงอาหารจะดีกว่า แค่พูดข้าก็อยากจะอาเจียนแล้ว…”
“ได้ ได้ ข้าจะไม่พูดแล้ว” อวี้จิ่นเหลือบมองคางเรียวของภรรยาแล้วอดเป็นกังวลไม่ได้
ไม่รู้ว่าอาซื่ออยากจะกินขาหมูตุ๋นหรือเปล่า
หลังจากนั้นไม่นาน มีของกำนัลจากวังหลวงถูกส่งมาที่จวนเยี่ยนอ๋องไม่ขาดสาย มีทั้งจากฮองเฮา จากเสียนเฟย จากบรรดาพระสนม หรือแม้แต่ของกำนัลจากตำหนักฉือหนิงก็มี
เหล่าพ่อบ้านจากจวนอ๋องต่างก็เรียงหน้ามากล่าวคำอวยพรถึงที่
ทำให้บรรยากาศในจวนเยี่ยนอ๋องคึกคักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ครั้นจวนตงผิงปั๋วได้ทราบข่าวนี้ เฝิงเหล่าฮูหยินก็ยินดีจนออกนอกหน้า รีบสั่งให้เจียงอีมาเยี่ยมที่จวนเยี่ยนอ๋องเสียเดี๋ยวนั้น
อาเฉี่ยวยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูสองไม่ไปไหน ครั้นเห็นรถม้าจอดนิ่งสนิท นางก็รีบถลาเข้าไปต้อนรับ
“ต้ากูไหน่ไน พระชายารออยู่พอดีเลยเจ้าค่ะ” อาเฉี่ยวประคองเจียงอีเข้าไปด้านใน
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงอีได้มาเหยียบที่จวนเยี่ยนอ๋อง
ระหว่างทางที่เดินไปอวี้เหอย่วน คนรับใช้ในจวนที่พบนางต่างก็โค้งทำความเคารพ
ภายในใจเจียงอีสั่นไหวประมาณหนึ่ง ทว่ามิได้แสดงออกทางสีหน้า ครั้นเจียงซื่อที่ยืนรออยู่ที่ประตูหน้าลานเห็นพี่สาว นางก็สลัดอารมณ์ทั้งหมดออกจากหัว พร้อมก้าวเท้าไปต้อนรับ
“ไฉนจึงไม่พักอยู่ด้านใน ออกมาทำอะไรด้านนอก” เจียงอีจับมือเจียงซื่อพลางบ่นกระปอดกระแปด
เจียงซื่อคลี่ยิ้ม “สีหน้าของพี่ใหญ่ดูดีเชียว”
เจียงอีมีสิ่งที่อยากพูด แต่ครั้นเห็นกลุ่มคนที่ยืนเฝ้าข้างๆ แล้วก็ได้แต่กลืนถ้อยคำลงคอไปเงียบๆ นางจูงเจียงซื่อเข้าไปในเรือน
นางกวาดตามองไปรอบห้อง
เครื่องเรือนภายในห้องถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่าย ไม่มีการวางดอกไม้สดไว้ริมขอบหน้าต่าง มีเพียงต้นพลูด่างที่ถูกแขวนอยู่บนที่สูงเพียงกระถางเดียว ลำต้นและใบเขียวชอุ่มของมันห้อยย้อยลงมา
เจียงอียิ้มพลางบอก “น้องสี่นี่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย”
นิสัยก่อนออกเรือนและหลังออกเรือนเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน นี่แสดงให้ว่าผู้เป็นน้องสาวได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไร้คนควบคุมกะเกณฑ์โดยสิ้นเชิง
ความกังวลใจของนางเบาลงกว่าครึ่ง นางกุมมือเจียงซื่อพลางถาม “แพ้ท้องหนักหรือไม่”
“ไม่เท่าไหร่หรอก เพียงแต่รู้สึกไม่อยากอาหารเท่านั้น พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป”
เจียงอีเอ่ยกำชับโดยอ้างชื่อของเจียงอันเฉิง “ทุกคนต่างปีติยินดี มีแต่ท่านพ่อเท่านั้นที่ดูกลัดกลุ้ม”
เจียงซื่อยิ้มอย่างเบาใจ “ท่านพ่อจะกลุ้มใจเรื่องใดกันเล่า”
“เขามองว่าเจ้ายังเด็ก เกรงว่าหากตั้งครรภ์ตอนอายุยังน้อย คงคลอดบุตรด้วยความยากลำบาก ทั้งยังบอกอีกว่าจะมาหารือกับท่านอ๋องด้วยเรื่องนี้”
เจียงซื่อหุบยิ้มก่อนจะหันไปสบตาเจียงอี
ท่าทีของเจียงอีสงบนิ่ง
ผ่านไปหลายอึดใจก่อนเจียงซื่อจะถามขึ้นว่า “ท่านพ่อคงยังไม่ทราบเรื่องของท่านแม่สินะ”
เจียงอีผงกหัวรับ
ในตอนที่ซูซื่อเสียชีวิต เจียงซื่อเพิ่งจะอายุได้เพียงหนึ่งขวบปีเท่านั้น เจียงอันเฉิงจึงคิดว่าการคลอดบุตรสาวในครั้งนั้นเป็นสาเหตุให้ซูซื่อล้มป่วย
ดังนั้น เมื่อได้ยินว่าเจียงซื่อตั้งครรภ์ทั้งที่อายุยังน้อย เจียงอันเฉิงจึงรู้สึกกลัดกลุ้มมากกว่าปีติยินดี
“ข้าได้ปรึกษากับพี่รองของเจ้าแล้ว และตกลงกันว่าจะไม่บอกเรื่องท่านแม่ให้ท่านพ่อทราบ กลัวว่าท่านพ่อจะทำใจยอมรับไม่ไหว…”
แม้เรื่องเกิดแก่เจ็บตายจะสร้างความปวดใจ แต่ทว่าไม่มีผู้ใดหลีกหนีพ้น ถึงกระนั้น ความเจ็บปวดนี้ก็ไม่สาหัสสู้การรู้ว่าคนรักถูกทำร้ายจนเสียชีวิต
เพราะความเจ็บแค้นเช่นนั้นมีแต่จะทำให้คนสิ้นสติคลุ้มคลั่ง เจียงอีและเจียงจั้นไม่อาจทนเห็นผู้เป็นบิดาที่ยังอยู่สุขสบายในตอนนี้ต้องกลับไปทุกข์ระทมเช่นนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง
“อืม เช่นนั้นก็เอาตามพี่ใหญ่และพี่รองเห็นสมควรเถิด”
เมื่อได้ยินเจียงซื่อเอ่ยตอบเช่นนั้น เจียงอีก็รู้สึกโล่งใจ
น้องสาวเป็นคนมีความคิด นางเป็นคนพบความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของท่านแม่ หากนางดึงดันจะบอกความจริงนี้กับท่านพ่อ นางและน้องรองคงทำอะไรไม่ได้
แต่บัดนี้ พิสูจน์แล้วว่าที่ผ่านมานางคงคิดมากไปเอง
“ท่านย่าฝากข้ามาบอกว่า ในช่วงที่เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ห้ามนอนห้องเดียวกับท่านอ๋องเด็ดขาด แต่ให้หาคนที่ไว้ใจได้สองคนคอยดูแลท่านอ๋อง” เจียงอีกล่าวจบแล้วดึงมุมปากขึ้นเล็กน้อย “เจ้าแค่ฟังไว้ก็พอ มิต้องเก็บมาใส่ใจนักหรอก”
เจียงซื่อหัวเราะ “ท่านย่านี่ช่างเป็นห่วงเป็นใยเสียจริง ฝากพี่ใหญ่กลับไปบอกท่านย่าด้วยว่า กฎระเบียบในจวนทั่วไปมิอาจนำมาปรับใช้ในจวนอ๋อง ขอท่านย่าโปรดอย่ากังวล”
เจียงอีถอนหายใจ “ท่านย่าเป็นห่วงไปเสียทุกเรื่อง จากที่ข้าเฝ้าดู คลับคล้ายว่าท่านย่าหมายจะให้อาหญิงโต้วมาแต่งงานกับท่านพ่อ…”
เจียงซื่อเลิกคิ้วเล็กน้อย “พี่ใหญ่ดูออกด้วยหรือ”
เจียงอียิ้มจืดเจื่อน
แม้นางจะเป็นคนอ่อนโยนนุ่มนวล แต่ถึงกระนั้นนางก็มิใช่คนโง่ ทุกครั้งที่ท่านย่าเรียกหาท่านพ่อ อาหญิงโต้วจะอยู่ที่นั่นด้วยเสมอ ชัดเจนเพียงนั้นจะดูไม่ออกได้อย่างไร
เจียงอีอธิบายยืดยาว “ท่านพ่อครองตัวเป็นโสดนานแรมปี หากท่านพ่ออยากแต่งงานใหม่เพื่อให้นางมาดูแล คนเป็นลูกคงมิอาจออกความเห็น แต่ในเมื่อข้าเห็นว่าท่านพ่อมิได้มีความคิดอยากจะแต่งงานใหม่ แต่ถูกท่านย่าบังคับ ข้าก็กลัวว่าเรื่องนี้จะนำพามาซึ่งความทุกข์ระทม… เดิมทีข้าก็มิได้อยากให้น้องสี่ต้องเป็นกังวล เพียงแต่จากสถานะของข้าคงพูดอะไรมากไม่ได้…”
เจียงอีที่พาบุตรสาวกลับมาอาศัยอยู่ในบ้านของมารดา หากว่าไปตามเนื้อผ้า นางไม่มีสิทธิ์สอดมือเรื่องความเป็นไปในจวน
เจียงซื่อขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอก “วันหน้าที่พี่ใหญ่มาเยี่ยมข้า ก็ให้เชิญอาหญิงโต้วมาด้วยแล้วกัน”
“น้องสี่ เจ้า…”
เจียงซื่อหัวเราะ “พี่ใหญ่อย่าเพิ่งคิดไปไกล อาหญิงโต้วเป็นผู้ใหญ่ ข้าไม่จับนางกินหรอกน่า”
ครั้นกล่าวไปแล้ว นางก็ลูบคิ้วตนเองเบาๆ พลางเอ่ย “มิต้องรอวันหน้า พรุ่งนี้พี่ใหญ่พาอาหญิงโต้วมาที่นี่ด้วยก็แล้วกัน”
นางเป็นพวกไม่ชอบอ้อมค้อม ไม่นิยมปล่อยให้เรื่องราวล่าช้าบานปลาย และไร้หนทางแก้ในท้ายที่สุด
“เช่นนั้น พรุ่งนี้ข้าจะพาอาหญิงโต้วมาด้วย”
เช้าวันถัดมา จู่ๆ ก็มีสายลมกระโชกแรง ทำให้สภาพอากาศเย็นลงฉับพลัน
เจียงอีและโต้วซูหว่านโดยสารรถม้ามาด้วยกัน เนื่องจากทั้งสองตกลงกันว่าวันนี้จะมาเยี่ยมที่จวนเยี่ยนอ๋อง
หากเทียบท่าทีผ่อนคลายของเจียงอีแล้ว โต้วซูหว่านดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด หลังจากกล่าวทักทายเจียงซื่อแล้ว นางก็เอาแต่ยืนนิ่ง ไม่มีคำใดหลุดจากปาก