เจียงซื่อส่งยิ้มให้โต้วซูหว่านเล็กน้อย “อาหญิงมิต้องเกรงใจ รีบนั่งลงเถิด”
“ขอบพระทัยพระชายาเพคะ” โต้วซูหว่านค้อมหลังก่อนจะนั่งลงข้างๆ
บัดนี้สถานะของคุณหนูสี่แปรเปลี่ยนไปแล้ว หากนางยังคงทำตัวเป็นผู้อาวุโสกว่า คงดูน่าขันไม่น้อย
เจียงซื่อลอบพยักหน้า
ยังมิต้องพูดถึงเรื่องอื่น อาหญิงผู้นี้รู้จักวางตัวยิ่งนัก
ครั้นส่งสัญญาณให้อาเฉี่ยวและบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ออกไปแล้ว ภายในห้องจึงเหลือกันแค่สามคน เจียงซื่อยกถ้วยชาขึ้นจิบพลางออกปากถาม “ไม่ทราบว่าอาหญิงมีความเห็นเรื่องการแต่งงานอย่างไร”
โต้วซูหว่านไม่คิดไม่ฝันว่าเจียงซื่อจะถามเช่นนี้ จึงได้แต่ชะงักงันนิ่งอึ้ง
เจียงซื่อวางถ้วยชาลงบนโต๊ะตัวเล็ก สายตายังคงจับจ้องไปที่โต้วซูหว่าน
ใบหน้าของนางเริ่มเรื่อสีแดง
ฝ่ายเจียงซื่อมิได้รีบร้อน ยังคงรอท่าอย่างใจเย็น
ความเงียบปกคลุมอยู่หลายอึดใจก่อนที่โต้วซูหว่านจะโค้งคำนับเจียงซื่ออย่างนอบน้อม “ในเมื่อพระชายาทรงถาม หม่อมฉันเพียงต้องการคู่ที่รูปลักษณ์พอเหมาะพอสม ที่เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันเพคะ”
นางกล่าวเสียงสั่นเล็กน้อย
ความรู้สึกประหม่าอยู่เหนือการควบคุม
ความที่ท่านป้าต้องการจะสื่อชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงเร่งรัดทำให้นางไม่อาจแกล้งทำไขสือได้อีกแล้ว
ความจริงแล้วนางก็ไม่ประสงค์จะแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องผู้ตกพุ่มหม้าย
นางเองก็เคยเป็นบุตรีหัวแก้วหัวแหวนของมารดา นางเคยวาดฝันถึงว่าที่สามีในอนาคต ในความคิดของนาง ต่อให้บุรุษผู้นั้นจะไร้อำนาจวาสนาก็ดี หรือเป็นปุถุชนคนธรรมดาก็ดี ขอเพียงแค่เขาผู้นั้นปฏิบัติต่อนางด้วยใจจริง มิใช่เริ่มต้นมาก็มีคนในใจเสียแล้ว…
ต่อให้พี่ใหญ่จะเป็นผู้ชายที่ดีพร้อมเพียงใด นางก็ไม่อยากแต่งงานด้วยทั้งนั้น
เพียงแต่ว่ามีหลายเรื่องที่นางไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ตั้งแต่มารดาของนางจากไป บิดาก็ส่งนางมาอยู่ที่จวนของท่านป้า นางในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ไร้ราก การตัดสินใจด้วยตัวเองถึงได้เป็นเรื่องยากเย็นเพียงนี้
โต้วซูหว่านเป็นคนฉลาด เมื่อได้ยินเจียงซื่อเอ่ยถามเช่นนั้น ก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที
นางจะต้องคว้าโอกาสนี้เพื่อพาตัวเองหลุดพ้นจากการควบคุมของท่านป้าให้จงได้!
“รูปลักษณ์พอเหมาะพอสม?” เจียงซื่อกล่าวทวนซ้ำ
โต้วซูหว่านเผยสีหน้าจริงจังตอบรับ “รูปลักษณ์พอเหมาะพอสมกันเพคะ”
เจียงซื่อพิศมองใบหน้าอ่อนเยาว์ก่อนจะคลี่ยิ้ม “อาหญิงโต้วรูปลักษณ์งามหมดจดปานฉะนี้ ถึงการจะหาบุรุษรูปงามสักคนมิใช่เรื่องง่าย แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีซะทีเดียว”
โต้วซูหว่านค้อมให้เจียงซื่ออีกหน “น้อมรับคำมงคลจากพระชายาเพคะ หากเป็นจริงดังที่พระองค์ว่า ก็นับเป็นความโชคดีของหม่อมฉัน”
เจียงซื่อและเจียงอีหันมาสบตากัน
เจียงอีพยักหน้าเล็กน้อย
นางไม่อยากเห็นท่านย่าบังคับอาหญิงโต้วให้อยู่กับท่านพ่อ เพราะนอกจากจะหวงผู้เป็นบิดาแล้ว นางก็เข้าใจหัวอกของอาหญิงโต้วดุจกัน
“ท่านหมอบอกว่า ในช่วงสองสามเดือนแรก ข้าไม่ควรเดินเหินมากจนเกินไป จำต้องอุดอู้อยู่แต่ในจวน อาหญิงมิได้มีเรื่องใดให้ต้องจัดการอยู่แล้ว มิสู้มาอยู่เป็นเพื่อนข้าจะดีกว่า”
โต้วซูหว่านมองเจียงซื่อด้วยสายตาแปลกแปร่งพิกล
เจียงอียิ้มพลางบอก “ข้าเองก็อยากมาอยู่เป็นเพื่อนน้องสาว เพียงแต่หมู่นี้เยียนเยียนติดข้ายิ่งกว่าอะไร เกรงว่าหากพานางมาด้วยจะรบกวนการพักผ่อนของน้อง ข้าเลยต้องรบกวนอาหญิงช่วยเป็นธุระ”
โต้วซูหว่านลังเลเพียงชั่วอึดใจก่อนจะตอบรับอย่างเสียมิได้ “หม่อมฉันเป็นพวกเงอะงะงุ่มง่าม แต่หากพระชายามิทรงรังเกียจ หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ”
เจียงซื่อยิ้มเล็กน้อย “ได้อย่างไรกัน แค่อาหญิงยอมอยู่เป็นเพื่อนข้า ข้าก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว”
โต้วซูหว่านรู้ดีว่าตนเองต้องการอะไร นางมิเคยคาดหวังสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม สำหรับคนเช่นนี้แล้ว เจียงซื่อก็อยากมีส่วนช่วยให้นางสมปรารถนา
ภายในรถม้าที่มุ่งหน้ากลับไปยังจวนตงผิงปั๋วเหลือเพียงเจียงอีผู้เดียว
……
ณ เรือนฉือซิน เฝิงเหล่าฮูหยินมองด้วยสายตาพิลึกพิลั่น “พระชายาให้อาหญิงของเจ้าอยู่ที่นั่นงั้นรึ”
“เจ้าค่ะ น้องสี่กำลังตั้งครรภ์ เกรงว่านางจะเบื่อ นางรู้สึกถูกชะตาอาหญิง จึงได้ขอให้อาหญิงอยู่ต่อ”
อาการของเฝิงเหล่าฮูหยินซับซ้อนเหลือเกินจะกล่าว
ถูกชะตาโต้วซูหว่านงั้นรึ
หลานสาวของนางมิได้เพิ่งมาอยู่ที่จวนปั๋ววันสองวัน เจียงซื่อก็มิใช่ว่าออกเรือนไปตั้งนมนานที่ไหนกัน ทั้งคู่เห็นหน้าค่าตากันมาตั้งกว่าครึ่งปี ไม่ยักรู้ว่าทั้งคู่ถูกชะตาต้องกัน
เจียงซื่อหมายความว่าอย่างไรกันแน่
“น้องสี่ของเจ้าตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ตามหลักแล้วเจ้าผู้เป็นพี่สาวควรจะอยู่เป็นเพื่อนนางเสียมากกว่า อีกอย่างเจ้าก็นับว่าอาบน้ำร้อนมาก่อน แม้อาหญิงของเจ้าจะเป็นผู้ใหญ่กว่า แต่ก็ใช่ว่านางจะเข้าใจเรื่องการเป็นสะใภ้…”
“หลานเองก็อยากอยู่เป็นเพื่อนน้องสี่ แต่ติดตรงเยียนเยียนก็เท่านั้น เยียนเยียนในตอนนี้อยู่ในวัยสดใสร่าเริง หากข้าพานางไปที่จวนอ๋องด้วยเกรงว่าจะสร้างเรื่องให้น้องสี่ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าเจ้าค่ะ” เจียงอีอธิบายนุ่มนวล
เฝิงเหล่าฮูหยินค่อยๆ พยักหน้าตาม
การจะกะเตงเด็กเล็กไปเฝ้าคนท้องคงไม่เหมาะนัก
ทว่าเรื่องที่เจียงซื่อรั้งให้โต้วซูหว่านอยู่ที่นั่นก็ทำให้เฝิงเหล่าฮูหยินอดคิดหนักไม่ได้
“นายท่านใหญ่…” เสียงสาวรับใช้เอ่ยทักที่หน้าประตู เจียงอันเฉิงรีบรุดเข้ามาทันที
หลังแสดงความเคารพเฝิงเหล่าฮูหยินลวกๆ แล้ว เจียงอันเฉิงก็รีบหันไปถามความคืบหน้าจากเจียงอีโดยพลัน “น้องสี่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เฝิงเหล่าฮูหยินเห็นเช่นนั้นก็เดือดดาลเอาเสียดื้อๆ
ตอนซูซื่อยังอยู่ ก็พร่ำเพรียกหาแต่ซูซื่อ พอซูซื่อผู้เป็นภรรยาไม่อยู่แล้ว ก็เรียกหาแต่ลูกสาว จะเป็นบุรุษใหญ่ที่ดูมีอนาคตสักนิดไม่ได้เลยหรืออย่างไร
“ท่านพ่อวางใจได้เจ้าค่ะ น้องสี่สบายดี ดูแล้วท่านอ๋องคงเอาใจใส่น้องอย่างดีเลยเจ้าค่ะ…”
เจียงอันเฉิงพยักศีรษะพร้อมเผยสีหน้าเบาใจ “ท่านแม่ เชิญสนทนาต่อเถิด ข้าขอตัวไปห้องตำราก่อน”
ท่าทีผลุนผลันของเจียงอันเฉิงทำให้เฝิงเหล่าฮูหยินฉุกคิดได้ว่า หรือที่เจียงซื่อให้โต้วซูหว่านอยู่ที่นั่น เพราะเรื่องของเหล่าต้า
จริงสิ เด็กนั่นนิสัยแปลกพิลึก นางมิใช่คนยอมใครง่ายๆ นางไม่มีทางยอมให้พ่อของนางแต่งงานใหม่เป็นแน่
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อแต่งงานและมีสถานะเป็นถึงพระชายา ความคิดของเฝิงเหล่าฮูหยินที่จะให้โต้วซูหว่านแต่งงานกับเจียงอันเฉิงก็ฝังรากลึกตามไปด้วย แต่ครั้นแผนการถูกขัดขวางเช่นนี้ นางจึงรู้สึกราวกับว่ามีหินขนาดใหญ่จุกคาอยู่กลางอก ไม่มีทางย้ายหินก้อนนั้นออก
ท้ายที่สุดแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็ทำได้เพียงปลอบใจตนเอง ช่างปะไร ในเมื่อเจียงซื่อไม่ยอม รออีกหน่อยค่อยว่ากันใหม่ เพราะอีกหน่อยเรื่องในจวนปั๋วจำต้องไหว้วานนาง อย่าปล่อยให้เรื่องที่จะหาเมียใหม่ให้เหล่าต้ามาทำให้นางโกรธเคืองเลยจะดีกว่า
ผ่านไปนานหลายวันกว่าอวี้จิ่นจะรู้ว่าที่จวนมีญาติมาอยู่เพิ่มอีกหนึ่งคน
“ข้าคิดว่าเป็นสาวรับใช้ที่ติดสอยห้อยตามมาจากจวนปั๋วเสียอีก สรุปแล้วนางเป็นอาหญิงของเจ้าหรอกรึ”
“ดูไม่ออกหรือว่านางแต่งกายไม่เหมือนคนอื่นๆ”
อวี้จิ่นหลุดหัวเราะ “มิได้ตั้งใจดู เลยเหมือนๆ กันหมด”
“ชีวิตของอาหญิงผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอตัว บิดาของนางส่งนางมาที่จวนเพื่อให้ท่านย่าช่วยจัดแจงเรื่องหาคู่”
“ฉะนั้นแล้ว?” อวี้จิ่นฟังแล้วรู้สึกสนใจ
“ฉะนั้นแล้วเจ้าก็ช่วยดูหน่อยซิว่ามีผู้ใดเหมาะสมจะเป็นคู่ครองของอาหญิง”
อวี้จิ่นหัวเราะ “บุรุษประเภทสุภาพเรียบร้อยที่ข้ารู้จักก็มีอยู่ไม่กี่คน แต่หากเป็นพวกเหล่าทหารอนาคตไกลก็มีอยู่เป็นโขยง เพียงแต่มิรู้ว่าอาหญิงของเจ้าจะยอมแต่งงานกับนายพลนายทหารหรือไม่”
ไม่จำเป็นต้องไปหาที่ไหนไกล ลำพังแค่เหล่านายทหารที่อยู่ใต้อาณัติจวนอ๋อง และกลุ่มคนที่ทำงานให้เขาโดยตรงก็มีอยู่มากโข
“อาหญิงขอเพียงแค่รูปลักษณ์พอสมกับนาง ส่วนเรื่องอื่นนางไม่ติด”
“เช่นนั้น ข้าจะลองหาให้ก็แล้วกัน” อวี้จิ่นตกปากรับคำ แล้วเขาก็เอ่ยถึงข่าวคราวที่เพิ่งได้ยินมา “วันก่อน ขุนนางที่เอาเรื่องของข้าไปพร่ำโพนทะนาทำความผิด เลยถูกเสด็จพ่อเนรเทศออกจากเมืองหลวงไปแล้ว”
สีหน้าของเจียงซื่อพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
อวี้จิ่นยิ้มเยาะ “ดูเหมือนว่าคนๆ นั้นกำลังออกตัวแทนใครบางคน ดูทุ่มสุดตัวเชียวล่ะ!”