เจียงซื่อมิได้ไปร่วมงานไว้ทุกข์ที่จวนอี๋หนิงโหว จะบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็คงมิได้ แต่ครั้นจะบอกว่าเป็นเรื่องเล็กก็คงมิได้เช่นกัน หากไม่มีผู้ใดท้วงติง ก็ถือว่าเลยตามเลย แต่หากมีขุนนางที่พิถีพิถันเกินเรื่องจับตาดูอยู่ อาจทำให้นางตกที่นั่งลำบากได้เช่นกัน
กองฎีกาสูงพะเนินเทินทึกบวกกับเหล่าขุนนางที่พุ่งเป้าโจมตีเมื่อไม่กี่วันก่อนสร้างความประหลาดใจแก่อวี้จิ่นยิ่งนัก อีกทั้งวันนี้ ขุนนางที่มีปัญหายุ่งยิ่งมากที่สุดยังถูกลดขั้น ดูเหมือนเรื่องราวกำลังพิสูจน์สิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้
“ไท่จื่อคงว่างเกินไป” อวี้จิ่นวางมือลงบนโต๊ะพลางถามเจียงซื่อ “พวกเราเคยทำผิดต่อเขาหรือไม่”
เจียงซื่อขบคิดชั่วครู่ก่อนจะส่ายหัว “ณ ตอนนี้ยังไม่มี”
“ก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ในเมื่อข้ามิได้มีชื่อเสียงดีเลิศอย่างเจ้าสี่ อีกทั้งมิได้เป็นที่โปรดปรานอย่างเจ้าหก เหตุไฉนเขาถึงได้คอยขัดแข้งขัดขาพวกเรา” อวี้จิ่นคิดหนักในขณะใช้นิ้วเคาะลงบนโต๊ะ
ยิ่งคิดก็ยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก ชายหนุ่มยกถ้วยชาขึ้นมาจิบก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเยียบเย็น “หรือว่าสมองของเขาได้รับการกระทบกระเทือนถึงได้ทำตัวเช่นนี้ ทำมา ทำกลับ ไม่โกงหรอกนะ ในเมื่อเขาไม่ปรานีพวกเรา ข้าก็จะไม่เกรงใจอีกต่อไป…”
เจียงซื่อส่ายศีรษะ “ช่างเถอะ จากที่ข้าดูหลังฤดูใบไม้ร่วง ตั๊กแตนคงเริงร่าได้อีกไม่นาน[1] พวกเรามิจำเป็นต้องลงมือรอดูเฉยๆ จะดีกว่า”
หากคำนวณตามเบาะแสเมื่อชาติก่อน ในช่วงคิมหันตฤดู ปีที่สิบเก้าของรัชศกจิ่งหมิง ฮ่องเต้จะนำเหล่าราชนิกุล ขุนนาง ข้าราชการและเหล่าทหารออกไปนอกเมืองเพื่อสักการะฟ้าดินอย่างเช่นทุกปี
แต่ทว่าในครั้งนั้นมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น วันนั้นมีหิมะและลมพัดแรง เป็นเหตุให้กองขบวนของจิ่งหมิงฮ่องเต้ต้องหยุดประทับที่ราชนิเวศน์ ในคืนนั้นไท่จื่อเข้าไปหลับนอนอยู่กับหยางเฟย พระสนมคนโปรดของฮ่องเต้… จิ่งหมิงฮ่องเต้พิโรธขึ้งถึงขั้นออกคำสั่งปลดไท่จื่อ
การปลดไท่จื่อในปีที่สิบเก้าของรัชศกจิ่งหมิงกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
หลังจากนั้น ไท่จื่อถูกสถาปนาให้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง และถูกปลดซ้ำเป็นครั้งที่สอง ซึ่งนั่นจะเริ่มเข้าสู่ยุคสมัยของการนองเลือดเพื่อแก่งแย่งอำนาจอย่างเป็นทางการ
แม้เจียงซื่อจะมิใช่คนฉลาดเป็นกรด แต่อย่างน้อยการที่ไท่จื่อหลับนอนกับสนมคนโปรดของฮ่องเต้ แต่ยังมีสิทธิ์กลับมาดำรงตำแหน่งไท่จื่ออีกครั้งก็สามารถสรุปได้ว่าฮ่องเต้เห็นว่าตี๋จื่อ ผู้เป็นโอรสจากฮองเฮาพระองค์ก่อนสำคัญกว่าองค์ชายองค์อื่นๆ
กล่าวคือ เมื่อไท่จื่อไม่ทนรับน้ำหนักของกำแพงสูงได้อีกแล้ว จึงเป็นการเปิดโอกาสให้องค์ชายองค์อื่นๆ เข้ามาแย่งชิงกระดูกชิ้นโตอย่างบัลลังก์ต้าโจว
การปลดไท่จื่อครั้งที่หนึ่งกำลังคืบใกล้เข้ามา ถัดจากนั้นเขาจะได้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ในระยะเวลาอันสั้นนี้ ฝ่าบาทยังคงเฝ้ามองด้วยสายตาของความเป็นพ่อ ในสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้จึงยังไม่ควรลงมือ เพราะหากทิ้งร่องรอยไว้ และฝ่าบาทจับได้คงไม่ใคร่ดีนัก
“ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” อวี้จิ่นกล่าว
“อาจิ่น ยามนี้เราควรนึกถึงลูกที่จะเกิดมาเข้าไว้ สงบใจไว้จะดีกว่า”
ครั้นได้ฟังเจียงซื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว อวี้จิ่นก็จนด้วยคำพูด เขาเพียงพยักหน้ารับ
ในเมื่อความแค้นที่มีไม่อาจระบายออกไป อวี้จิ่นที่ก้าวเท้าออกจากอวี้เหอย่วนจึงพุ่งตัวไปที่ลานประลองทันที เขาฝึกซ้อมเต็มแรง เล่นเอาหลงต้านที่รับหน้าที่เป็นคู่ฝึกแทบสิ้นลม
หลงต้านที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นแข็งกล่าวร้องขอชีวิต “เจ้านาย ปล่อยผู้น้อยไปเถิด อย่าลืมว่าท่านยังมีเหลิงอิ่งอีกคน”
อวี้จิ่นเหลือบมองหลงต้านอย่างรำคาญใจ “จากที่ข้าดู เจ้าคงไปเที่ยวที่แม่น้ำจินสุ่ยจนหมดเรี่ยวหมดแรงกระมัง”
หลงต้านที่นอนพะงาบๆ กระเด้งตัวขึ้นทันใด “เจ้านาย นี่ท่านกำลังกล่าวหาผู้บริสุทธิ์นะขอรับ! จริงอยู่ที่ผู้น้อยไปที่แม่น้ำจินสุ่ยหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ไปเพื่อสืบหาเบาะแส อะไรคือการไปเที่ยวจนหมดเรี่ยวหมดแรง ผู้น้อยดูเป็นคนเช่นนั้นหรือขอรับ ผู้น้อยยังต้องรักษาเนื้อรักษาตัวไว้แต่งเมียนะขอรับ”
ครั้นกล่าวถึงตรงนี้ หลงต้านก็แสดงสีหน้าขุ่นเคืองพร้อมบ่นมุบมิบ “ท่านได้อภิเษกกับพระชายาแล้ว คงได้สำเริงสำราญสมใจ บัดนี้ถึงได้ลืมหัวอกบุรุษหิวโซไปเสียสนิท แค่ไปเที่ยวที่แม่น้ำจินสุ่ยยังถูกจับตาดู…”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” อวี้จิ่นสะบัดเท้าใส่
หลงต้านใช้มือกุมก้นหลบบาทาพลางร้อง เจ้านาย ท่านมีภรรยาแล้วก็ไม่ควรลืมผู้น้อยอย่างพวกข้า พวกข้ายังเป็นบุรุษโสดผู้โดดเดี่ยวอยู่เลยนะขอรับ”
อวี้จิ่นชะงักงัน จ้องเขม็งไปที่หลงต้าน
สายตานั้นทำเอาหลงต้านเนื้อตัวสั่นสะท้านจนต้องหาที่กำบัง
“มานี่”
หลงต้านยิ้มด้วยสีหน้าเหนียมอาย “ท่านต้องบอกมาก่อนว่าจะทำอันใด”
อวี้จิ่นเลิกคิ้วพร้อมรอยยิ้มเย็นเยียบ “เดี๋ยวนี้รู้จะต่อรองกับข้าแล้วรึ”
หลงต้านเดินมาพร้อมใบหน้าขมขื่น
อวี้จิ่นลูบคางพลางมองอย่างพินิจพิเคราะห์
จากรูปลักษณ์ถือว่าใช้ได้ ขาดก็แต่คุณสมบัติบางประการเท่านั้น
หลงต้านสอดส่ายสายตาอย่างระแวดระวัง “เจ้านาย เหตุใดถึงมองข้าน้อยด้วยสายตาเช่นนั้น”
เจ้านายมองเขาด้วยสายตาพิลึกชอบกล…
“เจ้าอยากแต่งเมียงั้นรึ”
หลงต้านรีบพยักหน้าหงึกหงัก ทว่าหลังจากนั้นกลับรู้สึกว่าตนเองกระดี๊กระด๊าเกินเรื่อง จึงหัวเราะกลบเกลื่อน
อวี้จิ่นขมวดคิ้วมุ่นในขณะที่สมองกำลังขบคิดเรื่องหนึ่ง หญิงผู้นั้นมีศักดิ์เป็นอาหญิงของเจียงซื่อ หากเขาจับคู่แม่นางโต้วกับหลงต้าน เขาคงต้องเรียกหลงต้านว่าอาเขยงั้นหรือ
จริงอยู่ที่ญาติห่างๆ เช่นนั้นมิจำเป็นต้องใส่ใจ เพราะคงไม่มีผู้ใดบีบคอให้เขาเรียก แต่พอคิดๆ ดูแล้วกระดากปากชะมัด
ช่างเถิด เอาเป็นว่าหาคนที่ไม่ต้องเห็นหน้ากันทุกวันให้แม่นางโต้วจะดีกว่า
เมื่อปีกลายมีบุรุษหนุ่มรูปงามตามเขากลับจากหนานเจียงหลายคน ซึ่งส่วนหนึ่งถูกส่งตัวไปเป็นทหารรักษาการณ์ที่ชานเมือง มาคิดดูแล้ว คนกลุ่มนั้นถือว่าเหมาะสมทีเดียวเชียว
อวี้จิ่นคิดตกดังนั้นก็หันหลังเดินกลับไป ปล่อยให้หลงต้านยืนงุนงงไม่รู้เหนือรู้ใต้อยู่ตรงนั้น
หรือว่าเพราะเขาดูไม่ตื่นเต้น เจ้านายเลยเปลี่ยนใจ
มาให้ความหวังแล้วก็เงียบไปดื้อๆ ต่างจากการทิ้งไว้กลางทางตรงไหน!
“เจ้านาย ช้าก่อน…” หลงต้านตะลีตะลานตามไป
……
นับวันอากาศยิ่งเย็นลง ราวกับว่าอีกพริบตาเดียวก็จะเข้าสู่ฤดูหนาว
ผู้คนที่สาละวนอยู่กับการงานตลอดฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงได้ใช้เวลาเพลิดเพลินไปกับการว่างเว้นในช่วงฤดูหนาว บ้างก็นอนเขลงอยู่ในเรือนไม่ออกไปไหน หรือแม้แต่ในวังหลวงก็ดูเงียบสงัดไม่แพ้กัน มีเพียงพลทหารที่สวมชุดเกราะหน่วยองครักษ์จินอู๋เท่านั้นที่ยังคงเดินลาดตระเวนอยู่รอบๆ
สิ่งที่อยู่เป็นเพื่อนคนเหล่านั้นมีเพียงสายลมหนาวจับใจกับต้นไม้ที่ละใบจนหมดต้น
“สภาพอากาศเส็งเคร็ง นี่ยังไม่เข้าฤดูหนาวยังหนาวได้ขนาดนี้” ปลายจมูกขององครักษ์จินอู๋นายหนึ่งเย็นเจี๊ยบจนเรื่อสีแดง เขาพยายามใช้มือสองข้างถูกันเพื่อสร้างความอบอุ่น
องครักษ์จินอู๋อีกนายหัวเราะขึ้น “ใครต่างก็ว่าปีก่อนหนาวกว่า แต่ข้ากลับรู้สึกว่าอากาศปีนี้รุนแรงกว่ามาก ไม่รู้ว่าจะมีผู้คนต้องทนทุกข์อีกตั้งเท่าไหร่”
เหมันตฤดูมาเยือนคราใด จำมีขอทานหนาวตายร่ำไป อีกทั้งยังมีผู้เฒ่าผู้แก่อีกมากที่ร่างกายไม่อาจต้านทานลมหนาว และจบชีวิตลงก่อนจะถึงฤดูใบไม้ผลิ ความจริงข้อนี้เกิดขึ้นในทุกแว่นแคว้น แม้แต่ที่ที่เจริญอย่างในเมืองหลวงก็ไม่ได้รับการยกเว้น
“เอาเถอะ คนอื่นทุกข์ทนไหมข้าไม่รู้ รู้เพียงว่า แค่จะผ่านวันนี้ไปได้ก็ทุกข์ทรมานแสนสาหัสแล้ว” ครั้นเห็นว่ามีอีกสองคนกำลังเดินมาทางที่พวกเขายืนอยู่ องครักษ์ผู้นั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “พวกเจียงเอ้อร์มาเปลี่ยนกะแล้ว ทีนี้พวกเราจะเข้าไปผิงไฟในเรือนเสียที”
ห่างออกไปไม่ไกล ไท่จื่อในชุดลำลองเอ่ยถามคนข้างๆ เสียงต่ำ “ผู้นั้นคือพี่ชายของชายาเยี่ยนอ๋องงั้นหรือ”
ครั้นได้รับการยืนยัน ที่มุมปากของไท่จื่อก็ฉายแววไม่แยแสก่อนจะยกเท้าเดินไป
ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงเอะอะในเขตวังหลวง หน่วยองครักษ์จินอู๋ทั้งสองนายจึงเพียงแต่โบกไม้โบกมือให้เจียงจั้น
ครั้นเจียงจั้นเห็นเช่นนั้นก็เร่งฝีเท้าไปทันที เขาเอียงศีรษะไปบอกสหายข้างๆ พร้อมส่งยิ้ม “พวกนั้นรอนานแล้ว รีบไปกันเถอะ”
ไม่ทันรอให้อีกคนตอบรับ จู่ๆ ก็มีคนๆ หนึ่งเดินมาตรงหน้าเขา เจียงจั้นรีบเอี้ยวตัวหลบ ทว่าก็ยังชนเข้าที่ไหล่จนได้
“ขออภัย…” เจียงจั้นพิศมองคนตรงหน้าก่อนจะชะงักงันนิ่งอึ้งไป
ผู้นี้ดูละม้ายคล้ายไท่จื่อ…
แม้ว่าเจียงจั้นจะอยู่ในหน่วยองครักษ์จินอู๋มานาน แต่กลับเคยเห็นไท่จื่อจากที่ไกลๆ เพียงสองครั้งเท่านั้น ทว่าบุคคลตรงหน้าอยู่ในชุดลำลองจึงยากจะฟันธง
แต่ถ้าจำไท่จื่อไม่ได้ ถึงคราวฉิบหายเป็นแน่
องครักษ์จินอู๋อีกคนค้อมหลังพร้อมมือคารวะ ถวายความเคารพไท่จื่อเสียเรียบร้อย
เจียงจั้นจึงลอบถอนหายใจแผ่วเบา ชายหนุ่มยกมือขึ้นคารวะ “ข้าน้อยประมาทเลินเล่อ ขอองค์รัชทายาทประทานอภัย”
ไท่จื่อกวาดตามองเจียงจั้น พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ “เป็นแค่องครักษ์จินอู๋กลับเลินเล่อ แล้วบังอาจขอประทานอภัยด้วยท่าทีเช่นนี้งั้นหรือ”
มีเรื่องกับเจ้าเจ็ดทีไร เป็นอันต้องซวยทุกครั้งไป หนำซ้ำหมู่นี้ยังถูกเสด็จพ่อด่าตะเพิดเสียๆ หายๆ อีกทั้งยังปลดขุนนางคนสนิทของเขาเสียด้วย หากความคับแค้นใจนี้ไม่ได้ระบายออกไป คงได้อกแตกตายเป็นแน่
วันนี้เขาจะทำให้เจ้าเจ็ดได้ลิ้มรสชาติของการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คอยดู!
————————————————-
[1] หลังฤดูใบไม้ร่วง ตั๊กแตนคงเริงร่าได้อีกไม่นาน เพราะปกติตั๊กแตนจะขยายพันธุ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และหลังจากนั้นเมื่อเริ่มเข้าฤดูหนาว พวกมันจะไม่กินอาหารและตายในที่สุด ใช้ในการเปรียบเปรย หมายถึงคนทำชั่ว ย่อมมีวันที่สวรรค์ลงโทษ