บทที่ 428 ฉินเย่จือทำอาหาร

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 428 ฉินเย่จือทำอาหาร

บทที่ 428 ฉินเย่จือทำอาหาร

ครั้นเห็นว่าหลี่ฝานและคนอื่น ๆ จากไป และฝูงชนเริ่มกลับมารวมตัวอีกครั้ง กู้เสี่ยวหวานก็รีบหาช่องหลบกลับบ้าน ก่อนเห็นควันออกมาจากปล่องไฟ ดูเหมือนว่าในบ้านจะกำลังทำอาหารอยู่

เมื่อกู้เสี่ยวหวานกลับถึงบ้าน สิ่งแรกที่นางเห็นในครัวคือฉินเย่จือ ร่างสูงยืนอยู่หน้าเตา โดยกำลังทำอาหารและหั่นผักอย่างบ้าคลั่ง

อาจเป็นเพราะสำลักควัน ฉินเย่จือจึงไอออกมาไม่กี่ครั้ง กู้เสี่ยวหวานยืนพิงกรอบประตู ยิ้มดูฉินเย่จือสาละวนจนมือไม้พันกัน

ครู่หนึ่งหยิบมีดทำครัวมาหั่นผัก สักพักก็หยิบทัพพีไม้ผัดผัก ผ่านไปอีกพักก็วิ่งไปหยิบฟืนมายัดใส่ที่เตา

ยุ่งหัวหมุน ไม่ได้หยุดพัก

บ้านเงียบสงัด และดูเหมือนว่าฉินเย่จือจะเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ นางไม่รู้ว่าเด็กสองคนนั้นไปไหน กู้เสี่ยวหวานเดินเข้าไปในห้องหลักและมองดู ก่อนเห็นข้อความจากเมล็ดพืชซึ่งเขียนโดยกู้หนิงผิง

กู้เสี่ยวหวานอ่านดู ปรากฏว่าพวกเขาไปที่บ้านของป้าจาง เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่ากู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ จะกลับมาหรือไม่ ป้าจางจึงบอกให้พวกเขาไปกินข้าวที่บ้านของนางก่อน

เมื่อรู้ว่าเด็กสองคนไปที่ไหน กู้เสี่ยวหวานก็ไม่รีบร้อนใจ และกลับมาที่ครัวเล็ก ๆ อีกครั้ง

ฉินเย่จือยุ่งมากจึงตะลึงไปเมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานเอนหลังพิงกรอบประตูอย่างสบาย ๆ มองดูตัวเองอย่างอ่อนโยน

“เสี่ยวหวาน เจ้ากลับมาแล้ว รอเดี๋ยวนะ อีกไม่นานเจ้าก็ได้กินแล้ว” ฉินเย่จือเอ่ยอย่างเร่งรีบ

กู้เสี่ยวหวานเดินเข้ามาและเห็นว่าฉินเย่จือเตรียมอาหารมาสองสามอย่างไว้ แม้ว่านางจะไม่รู้ว่ารสชาติของอาหารเป็นอย่างไร แต่ดูจากหน้าตาแล้วรสชาติก็น่าจะใช้ได้

“ไม่เลว เจ้ายังสามารถทำอาหารได้ด้วย!” กู้เสี่ยวหวานพูดติดตลกขณะมีรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าของนาง

“ถูกต้อง ข้ารู้หลายอย่างเลยล่ะ!” ฉินเย่จื่อยิ้มอย่างภูมิใจ ก่อนเอาหลังมือเช็ดใบหน้าของเขา ซึ่งเขม่าสีดำบนหลังมือของเขาก็ถูกป้ายลงบนใบหน้าของเขาทันที ฉับพลันใบหน้าขาวก็มีจุดดำปรากฏเหมือนกับตัวตลก

กู้เสี่ยวหวานอารมณ์ดีและอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “ดูเจ้าสิ…”

ฉินเย่จือตกตะลึงไปเล็กน้อย “ตัวข้ามีอะไรผิดปกติหรือ?”

กู้เสี่ยวหวานชี้ด้วยนิ้วของนางและพูดอย่างร่าเริง “ใช่ มีขี้เถ้าอยู่บนใบหน้าของเจ้า!”

ฉินเย่จือไม่รู้ว่าเขม่าบนใบหน้าของเขามาจากไหน เขาเลยเช็ดมันด้วยมืออีกครั้ง คราวนี้ก็ดี เมื่อครู่มันเลอะก็แค่หน้าผาก คราวนี้ครึ่งหน้าเขาดูเหมือนแมวไปแล้ว กู้เสี่ยวหวานอดชี้ไปที่ฉินเย่จือและหัวเราะออกมาไม่ได้

ฉินเย่จือมองไปที่มือของเขา แต่กลับพบว่าหลังมือของเขาเต็มไปด้วยคราบเขม่าสีเข้ม เขาเดาว่าหลังมือของเขาคงบังเอิญไปโดนเตาตอนที่เขากำลังจุดไฟอยู่ ซึ่งได้ทิ้งร่องรอยไว้มากมาย

เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานยิ้มอย่างมีความสุข ฉินเย่จือก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

“มาเถอะ มาล้างมือล้างหน้า” กู้เสี่ยวหวานรีบใช้กระบวยตักน้ำขึ้นมา ฉินเย่จือนั่งลงข้าง ๆ กู้เสี่ยวหวานเทน้ำลงบนมือของเขา ซึ่งหลังจากล้างมือและหน้าของเขาแล้ว ฉินเย่จือก็รับผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่กู้เสี่ยวหวานมอบให้มาเช็ดหน้า

เมื่อครู่ยังเป็นแมวอยู่ แต่ตอนนี้มันสะอาดแล้ว

“เดี๋ยวก่อน ยังเหลืออีก!” กู้เสี่ยวหวานเห็นว่ามีรอยดำบนแก้มของฉินเย่จือ ซึ่งเกรงว่าเมื่อครู่เขาคงยังไม่ได้ล้างมันออก

นางรีบส่งผ้าเช็ดหน้าให้ฉินเย่จือ

แต่ไม่มีกระจกในห้องครัว ฉินเย่จือเช็ดหลายครั้ง แต่เขาก็เช็ดรอยดำไม่ออกสักที ในท้ายที่สุด เขาก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย และคืนผ้าเช็ดหน้าให้กู้เสี่ยวหวาน “เจ้าเช็ดให้ข้าเถอะ!”

กู้เสี่ยวหวานส่งเสียงรับคำในคอ ก่อนชุบมุมของผ้าเช็ดหน้าลงกับน้ำ

ฉินเย่จือก้มศีรษะลง ขณะที่กู้เสี่ยวหวานเงยขึ้นเล็กน้อย

กู้เสี่ยวหวานเงยศีรษะและขยับเข้าไปใกล้ ใบหน้าที่หล่อเหลาขยายใหญ่ขึ้นต่อหน้าต่อตาของนาง

กู้เสี่ยวหวานไม่เคยเห็นใบหน้าที่หล่อเหลางดงามไม่เหมือนกับมนุษย์เช่นนี้มาก่อน แม้แต่หนุ่มน้อยที่นางเคยเห็นบนจอโทรทัศน์ในชีวิตก่อนหน้านี้ก็ไม่ดูดีเท่าคนตรงหน้า

ผิวของฉินเย่จือดีมาก ดูเรียบเนียนราวกับไข่ไก่ที่ปอกเปลือก กู้เสี่ยวหวานรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ผิวของชายคนนี้ดีกว่าผิวของเด็กผู้หญิงด้วยซ้ำ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็มีความคิดที่ไม่ดีและใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหมือนกับการเช็ดโต๊ะ

ฉินเย่จือรู้สึกเจ็บและก้าวถอยหลังโดยไม่ตั้งใจ ก่อนขอความเมตตา “เสี่ยวหวาน นี่คือใบหน้าของข้านะ ไม่ใช่โต๊ะ!”

กู้เสี่ยวหวานเช็ดมันออกเรียบร้อยแล้วและกำลังซักผ้าอยู่ นางพูดอย่างไม่พอใจ “ใครใช้ให้เจ้าดูดีถึงเพียงนี้เล่า เจ้าดูดีกว่าสตรีเสียอีก เจ้าทำให้เราดูน่าเกลียดกว่าเช่นนี้ได้อย่างไร?”

หลังจากที่ฉินเย่จือได้ยินเช่นนี้ เขาก็กะพริบตา คิ้วของเขาโค้งลงและถามด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าดูดีกว่าเสี่ยวหวาน เสี่ยวหวานจึงรู้สึกอับอายรึ?”

กู้เสี่ยวหวานกลอกตา แต่โชคดีที่นางหันหลังให้ฉินเย่จือ ดังนั้นฉินเย่จือจึงไม่ได้เห็น

อับอายหัวของเจ้าสิ!

“ข้าไม่ได้อับอาย แต่เจ้าดูดีมากถึงเพียงนี้ หากเจ้าดึงดูดผึ้งคลั่งผีเสื้อเร่เร่อนมา ข้าจะไล่เจ้าออกไปแน่นอน!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “ถ้ามันไม่ได้จริง ๆ ข้าจะหาภรรยาให้เจ้าเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และปล่อยให้คนอื่นยอมแพ้ไป”

ไม่สิ คนในยุคนี้มีสามภรรยาสี่อนุ ต่อให้เขาแต่งภรรยาแล้ว ถ้าผู้อื่นชอบก็กล้ากระโจนเข้ามาอยู่ดี

เฮ้อ กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจยาวอย่างรู้สึกหดหู่

ฉินเย่จือเห็นกู้เสี่ยวหวานพูดถึงการแต่งงานของเขา แต่ใบหน้าของนางกลับไม่มีความยินดีใด ๆ เลย เวลานี้หัวใจของเขาหนักอึ้งเล็กน้อย และเขาก็รีบถามทันที “เสี่ยวหวานเป็นอะไรไป?”

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร แค่จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า แม้ว่าเจ้าจะแต่งงานแล้ว มันก็จะไม่หยุดยั้งเจ้าจากการดึงดูดผึ้งคลั่งผีเสื้อเร่เร่อน!” กู้เสี่ยวหวานคร่ำครวญ

“เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนี้?” ฉินเย่จือถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่มีความสุขของกู้เสี่ยวหวาน ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาอยู่

“บุรุษเช่นเจ้าเป็นเรื่องปกติที่จะมีสามภรรยาสี่อนุ ต่อให้แต่งภรรยาแล้วก็ยังมีอนุได้ ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะชอบสตรีหลายคน แต่สำหรับสตรีอย่างพวกเรา ชั่วชีวิตกลับมีสามีได้เพียงผู้เดียว หากก่อนแต่งงาน ข้าเจอกับพวกอันธพาลเข้า เกรงว่าชีวิตของข้าคงพังพินาศ” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างเศร้าโศก

สังคมนี้ช่างไม่ยุติธรรมกับสตรี

บุรุษได้สิ่งที่ต้องการมาโดยไม่ต้องเหนื่อยยาก ขณะที่สตรีใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อขวนขวายให้ได้มา