บทที่ 479 การรวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

โอหยางจวิ้นพยักหน้า หมดหนทางนิดหน่อย “ทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ การปรับเวลาร่างกายก็คือปัญหา”

“ฉันก็นอนไม่หลับ” สือจินหว่านเบะปาก “พรุ่งนี้ตอนกลางวันต้องง่วงตายแน่”

โอหยางจวิ้นอดหัวเราะไม่ได้ “งั้นตอนนี้ลองไปนอนบนเตียง แล้วหลับตา ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นดู”

สือจินหว่านส่ายหน้า ทำท่าทาง “ไม่เอา ฉันไม่นอน! อาจวิ้นอาคุยเป็นเพื่อนฉันสักพักได้ไหมคะ?”

เขาจนปัญญา “ตกลง แต่ว่าร่างหายของเธอยื่นออกไปข้างนอกแล้ว อันตรวจเกิน ยืนให้ดี ๆ อย่าขยับมั่ว ๆ”

เธอได้ยินคำพูดของเขา ก็เชื่อฟังไม่ขยับเขยื้อนในทันที

โอหยางจวิ้นสองมือค้ำระเบียง จากนั้นก็นั่งลงบนขอบระเบียง

สือจินหว่านมองดูก็ตกใจในทันที เห็นเขานั่งคงที่ ถึงได้ทำท่าทาง “อาจวิ้น แบบนี้อันตรายยิ่งกว่า!”

โอหยางจวิ้นยิ้ม “ไม่เป็นไร นี่แค่ชั้นสองเอง เมื่อก่อนสูงกว่านี้ก็เคยนั่งมาแล้ว!”

สือจินหว่านมองดูก็ยังขวัญหนีดีฝ่อ “ไม่อย่างงั้นอามาที่ระเบียงฉันไหม?”

โอหยางจวิ้นกำลังจะข้ามไป แต่จู่ ๆ ก็คิดได้ว่าเธอไม่ใช่เด็กแล้ว ถึงแม้ระหว่างพวกเขาไม่มีอะไร แต่ว่าคนละเพศกัน เขาข้ามไปแบบนี้ยังไงก็ไม่ดี

เขาจึงส่ายหน้า “ไม่เป็นไร นั่งแบบนี้ก็สบายดี”

สือจินหว่านไม่ได้ยื้อต่อ เธอนึกได้ว่าวันพรุ่งนี้จะพาโอหยางจวิ้นไปเที่ยว จึงถามขึ้น “อาจวิ้น อาชอบไปสถานที่ประวัติศาสตร์หรือว่าไปชมวิว?”

อันที่จริงโอหยางจวิ้นไปไหนก็ได้ เหตุผลหลักคือไปเป็นเพื่อนเธอ จึงพูดขึ้น “ไปที่ประวัติศาสตร์แล้วกัน” เดาว่าที่นั่นคนน้อย เงียบสงบหน่อย

สือจินหว่านพยักหน้า จากนั้นก็เปิดโทรศัพท์ ค้นหาสถานที่ “อาจวิ้น อาอยากไปไหน?”

โอหยางจวิ้นยื่นหน้ามาดู จากนั้นก็เลือกตามอำเภอใจที่หนึ่ง “ที่นี่แล้วกัน ถือโอกาสถ่ายรูปให้เธอด้วย!”

สือจินหว่านพยักหน้า “ค่ะ พรุ่งนี้พวกเราไปพระราชวัง!”

เมื่อคิดได้ว่าต้องออกไปข้างนอก เธอจึงทำท่ากับโอหยางจวิ้น ให้เขารอเดี๋ยวหนึ่ง จากนั้นก็เข้าไปเตรียมของในห้อง ถึงได้ออกมา “อาจวิ้น ฉันเตรียมกระเป๋าเสร็จแล้ว พรุ่งนี้พวกเราออกเดินทางกันแต่เช้า แบบนี้จะได้ไม่โดนแดดเผา!”

โอหยางจวิ้นเห็นท่าทางตื่นเต้นของเธอ จึงพยักหน้า “ตกลง”

พูดจบ เขากลับนึกได้ถึงคำถามที่สือมูเฉินถามเขา เขาจึงมองไปทางสือจินหว่าน “หวันหว่าน เธออยู่ที่โรงเรียน มีเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทกันไหม? อย่างเช่นเพื่อนผู้ชาย…”

สือจินหว่านกะพริบตา “เพื่อนของฉันอารู้หมดนี่ เป็นเด็กผู้หญิงทั้งหมด ทำไมเหรออาจวิ้น?”

โอหยางจวิ้นยิ้ม “ไม่มีอะไร พ่อของเธอบอกว่าเด็กผู้หญิงอย่ามีความรักก่อนวัยอันควร”

เธอเข้าใจในทันที จึงรีบส่ายหน้า “ฉันไม่มี!”

“อืม ถ้าหากชอบใคร บอกอาแต่แรกนะ” โอหยางจวิ้นพยักหน้า

ตอนนี้พระจันทร์เคลื่อนตัวออกมาจากเมฆดำ สือจินหว่านมองเห็นโอหยางจวิ้นถูกแสงจันทร์สาดส่องจนเปล่งประกาย

เหมือนกับสิบปีมานี้เขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ยังคงเป็นอาจวิ้นที่ยังวัยรุ่นรูปหล่อ

สือจินหว่านกัดริมฝีปาก “ฉันไม่เจอคนที่ชอบ”

แต่เมื่อทำท่าทางจบ กลับเหลือบมองโอหยางจวิ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

ช่วงเวลาหนึ่งเธอรู้สึกว่าเขาที่นั่งสง่างามอยู่บนระเบียงด้านข้าง เหมือนกับพี่ชายข้างบ้านในนิยายมาก

ไม่ เขาคือผู้ใหญ่ จะเป็นพี่ชายไปได้ยังไงนะ?

สือจินหว่านรู้สึกตลกในใจ แต่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนไปหมด

โอหยางจวิ้นกลับไม่รู้ว่าในใจของเธอคิดถึงแต่เขา จึงถามขึ้น “เฉียวซือล่ะ? ดูออกว่าเขา…”

“อาจวิ้น!” หวันหว่านขัดการทำท่าทางของเขา “หนูกับเขาเป็นแค่เพื่อนกัน!”

เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ตอนนี้มีความรู้สึกที่อยากจะบอกให้ชัดเจน

เขาพยักหน้า ไม่ได้ถามต่อ แต่พูดขึ้น “หวันหว่าน รอให้ปิดเทอมฤดูร้อนนี้เสร็จ พวกเราไปตรวจกันอีกครั้ง ดูปัญหาเส้นเสียง”

สือจินหว่านพยักหน้า นึกอะไรขึ้นได้ เริ่มกังวลใจ “อาจวิ้น อาว่าการผ่าตัดของฉันจะล้มเหลวไหม?”

เขามองดูเธอ “จะเป็นไปได้ยังไง? หวันหว่านของอา จะน้องมีเสียงที่อ่อนหวานที่สุด!”

เหมือนกับว่าเธอกำลังอาบแสงจันทร์อยู่ในตอนนี้ ไร้การแต่งเติม เหมือนกับเอลฟ์ตัวน้อยที่ไม่กินดอกไม้ไฟในโลก เสียงของเอลฟ์จะไม่เพราะได้ยังไง?

เขามองดูอย่างตะลึง แล้วพูดพึมพำ “หวันหว่าน ถ้าหากเธอพูดได้ อยากจะพูดอะไรกับอา?”

เธอได้ยินไม่ชัด จึงทำท่าทางใส่เขา “อะไรนะคะ?”

โอหยางจวิ้นตอบสนอง เขายิ้ม “หวันหว่าน อาอยากได้ยินเธอเรียกอาจากปากตัวเอง”

เธอฟังแล้วใจสั่น พยักหน้า “ค่ะ อาจวิ้น รอให้ฉันพูดได้ จะต้องเรียกชื่ออาในตอนแรก!”

ขณะที่พูด สือจินหว่านยืนนิ้วก้อยออกมา

เพราะว่าทั้งสองอยู่ห่างกันสองสามเมตร ดังนั้นโอหยางจวิ้นจึงยื่นนิ้วออกมา เกี่ยวก้อยกันกลางอากาศ

“อาจวิ้น อารีบเข้านอนเถอะ?” สือจินหว่านทำท่าทาง “พรุ่งนี้พวกเรายังต้องออกไปเที่ยวกัน กลัวว่าจะตื่นไม่ไหว”

“อาไม่เป็นไร อายังมีเอกสารที่ต้องจัดการ” โอหยางจวิ้นพูด “แต่เธอสาวน้อยคนนี้ ไม่ยอมนอน พรุ่งนี้เดินไม่ไหว จะให้อาแบกไหม?”

สือจินหว่านหน้าแดง เธอไม่อยากจะเข้าห้อง จึงส่ายหน้า “ฉันไม่ง่วง อาจวิ้น งั้นอาดูเอกสารต่อเถอะ ฉันนั่งที่ระเบียงสักพักหนึ่ง ง่วงแล้วค่อยไปนอน”

โอหยางจวิ้นหมดหนทางกับเธอ จึงทำตาม

เขาจึงกระโดดลงจากขอบระเบียง เริ่มดูเอกสาร

สือจินหว่านนั่งตรงระเบียง ได้ยินเสียงเปียโนที่อ่อนโยนดังมาจากฝ่ายของโอหยางจวิ้น ถึงแม้เธอไม่ได้ค้ำอยู่ที่ระเบียงก็มองไม่เห็นเขา แต่ว่าเมื่อคิดได้ว่าเขาอยู่ข้าง ๆ ได้ฟังเสียงที่เธอได้ยิน ก็เหมือนกับเขาอยู่ข้างกายเธอ

โอหยางจวิ้นจัดการเอกสารเสร็จก็ตอนตีหนึ่งแล้ว

เขาเก็บเอกสาร ถึงแม้จะยังไม่ง่วง แต่ว่าร่างกายก็แอบอ่อนเพลีย

ห้องข้าง ๆ ไม่มีเสียงแล้ว แต่เขาก็ยังไม่วางใจ จึงยื่นตัวจากขอบระเบียงไปดู

จึงเห็นสาวน้อยนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้แล้ว

ใบหน้าของเธอภายใต้แสงจันทร์สวยงามอย่างมาก ถึงแม้จะยังเป็นเด็ก แต่ว่าใบหน้าที่เค้าโครงเด่นชัดกับคิ้วที่ประณีต ทำให้คนนึกถึงความงามที่จะเปล่งประกายออกมา

เมื่อครู่เขาให้เธอไปนอน แต่กลับหลับบนเก้าอีกซะแล้ว! โอหยางจวิ้นจนปัญญา จึงพยุงค้ำตัวขึ้น แล้วปีนระเบียงข้ามไปอย่างระมัดระวัง

เขาเดินไปข้างสือจินหว่าน ค่อย ๆ อุ้มเธอขึ้นจากเก้าอี้

เธอไม่ได้หลับลึก ดังนั้นถูกเขาอุ้มขึ้น ก็สะลึมสะลือตอบสนอง แล้วลืมตาขึ้น

“เด็กดี กลับไปนอนที่เตียงนะ” โอหยางจวิ้นพูดเสียงเบา แล้ววางสือจินหว่านลงบนเตียง

เขาช่วยเธอถอดรองเท้า ห่มผ้าห่ม เห็นเธอสะลึมสะลือมองเขา จึงยิ้มอย่างอดไม่ได้ แล้วก้มลงจูบหน้าผากของเธอ “หวันหว่าน ฝันดีนะ”

สือจินหว่านลืมตาขึ้นนิดหนึ่ง มองดูแผ่นหลังที่จากไปของโอหยางจวิ้น ในใจมีความสับสนจาง ๆ แต่ว่าในที่สุดก็สู้กับความง่วงไม่ได้ เธอค่อย ๆ หลับสนิทไป

วันต่อมา สือจินหว่านพาโอหยางจวิ้นมาที่พระราชวังตั้งแต่เช้า

ถ้าให้พูดนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเป็นมัคคุเทศก์ ดังนั้นเธอจริงจังเป็นพิเศษ

ในโทรศัพท์มีข้อมูลที่เธอศึกษาไว้ก่อนหน้า เกี่ยวกับภูมิหลังประวัติศาสตร์ เธอเล่าให้โอหยางจวิ้นฟังระหว่างทางแล้ว

เดิมทีโอหยางจวิ้นไม่ได้สนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พวกนี้มากนัก แต่ว่าเมื่อได้ฟังสือจินหว่านเล่าเรื่อง เขากลับมีความสนใจขึ้น

บางครั้งทั้งสองดูภาพในอินเทอร์เน็ตอธิบาย บางครั้งก็ฟังมัคคุเทศก์ของกลุ่มนักท่องเที่ยวอธิบาย ค่อนข้างน่าสนใจเป็นอย่างมาก

ในพระราชวังค่อนข้างใหญ่ เดินอยู่ครู่หนึ่ง โอหยางจวิ้นเห็นด้านหน้ามีเก้าอี้ จึงพูดกับสือจินหว่าน “หวันหว่าน เธอรออาตรงนี้แป๊บหนึ่งนะ อาไปเข้าห้องน้ำ”

สือจินหว่านพยักหน้า แล้วนั่งพักเก้าอี้ตรงหน้า

และในตอนนี้เอง มีชายคนหนึ่งอายุประมาณสี่สิบเดินเข้ามา ถามสือจินหว่าน “หนูน้อย ประตูเหนือของพระราชวังไปไหนเหรอ?”

สือจินหว่านครุ่นคิด ชี้ทางบอกเขา

ชายหนุ่มกลับส่ายหน้า “หนูชี้ไปด้านหน้าตรงนั้นเลี้ยวซ้ายหรือว่าเลี้ยวขวา?”

เธอส่ายหน้า จึงทำท่าทางอีก เห็นชายหนุ่มไม่เข้าใจ จึงชี้นิ้วไปที่ลำคอของตัวเอง แล้วโบกมือ

เธอคิดไม่ถึง ชายวัยกลางคนเห็นเธอพูดไม่ได้ ไม่เพียงไม่เดินจากไป แต่กลับเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นก็ยื่นมือออกมาจับแขนเธอ

สือจินหว่านตกใจ จึงต่อต้านตามสัญชาตญาณ

แต่ว่าชายวัยกลางคนกลับพูดเสียงดัง “ลูก ลูกไม่เรียนหนังสือไม่ได้นะ ทำไมลูกถึงหนีออกจากบ้านล่ะ? พ่อและแม่ของลูกแก่แล้วจะทำยังไง?”

สือจินหว่านตอบสนองในทันที คนคนนี้ เกรงว่าจะถือโอกาสที่เธอพูดไม่ได้ตั้งใจรังแกเธอ จะถือโอกาสพาเธอกลับบ้าน!

ตอนอยู่ที่เพอร์เซลล์ เธอก็เรียนศิลปะการป้องกันตัวอยู่บ้าง

ดังนั้นสือจินหว่านบังคับให้ตัวเองใจเย็นลง จากนั้นก็ยื่นแขนออกไป ใช้ทักษะการออกแรง ทุ่มชายวัยกลางคนลงกับพื้นทันที!

ชายวัยกลางคนนึกไม่ถึงว่าเด็กสาวพูดไม่ได้คนหนึ่งจะทำให้เขาล้มลงได้ เขาลุกขึ้นจากพื้นอย่างเร็วแล้วเริ่มร้องไห้ “ทุกคนดูสิ ลูกสาวของผม ผมเลี้ยงตั้งแต่เล็กจนโต แต่เธอกลับตีผม…”

เพราะว่าเสียงของเขาดังมาก รอบด้านก็มีนักท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย ทุกคนจึงล้อมวงเข้ามาในทันที

“ลูก ลูกอย่าหนีไปอีกเลยนะ?” ชายวัยกลางคนขอร้อง แต่ว่ากลับถือโอกาสยื่นมือออกมาจับสือจินหว่านไว้อีก “แม่ของลูกไม่สบาย ลูกกลับไปดูแม่หน่อยได้ไหม?”

สือจินหว่านโมโหแล้ว เธอดิ้นรนดึงมือออก จากนั้นก็ใช้วิชาป้องกันตัวปกป้องตัวเอง

คนรอบด้านเห็นแล้ว ก็ชี้มาที่เธอ “เด็กคนนี้ เนรคุณจริง ๆ!”

“ใช่ ถ้าฉันเกิดลูกแบบนี้ สู้กระโดดน้ำตายดีกว่า!”

“เสียดายที่หน้าตาสวยขนาดนี้ แม้แต่พื้นฐานความกตัญญูก็ไม่รู้เรื่อง เห้อ!”

กระทั่งมีคุณป้าคนหนึ่งเดินเข้ามาเตือนด้วยความหวังดี “หนูน้อย กลับไปกับพ่อเถอะ! พ่อแม่หนูเลี้ยงหนูโตมาไม่ง่ายเลย!”

ขณะที่พูด ทุกคนล้อมเป็นวงโดยอัตโนมัติ ขวางสือจินหว่านไว้ตรงกลาง

เธอมองรอบ ๆ แล้วก็ยังมีรอยยิ้มน่ารังเกียจของชายหนุ่ม จู่ ๆ เธอพบว่าแยกจากคนที่อยู่ข้างกายปกป้องตัวเอง เป็นเพราะตัวเองพูดไม่ได้ ไม่มีแม้แต่โอกาสให้ตัวเองได้อธิบายแน่ชัด!

สือจินหว่านไม่สนใจใด ๆ พุ่งตัวออกไปด้านนอก

แต่ว่าคนโดยรอบกลับจับแขนเธอไว้ “สาวน้อย มีลูกสาวแบบนี้ซะที่ไหน?!”

เธอถูกจับไว้จนขยับไม่ได้ มือก็มัดไว้จนทำท่าทางไม่ได้ ในตอนที่กำลังหมดหวัง มีเสียงชายหนุ่มดังขึ้น “ปล่อยเธอ!”

โอหยางจวิ้นแหวกวงล้อมเข้ามาตรงหน้าสือจินหว่านอย่างเร็ว เห็นดวงตาที่เปียกชื้นของเด็กสาว ไฟในใจระเบิดในทันที “ปล่อยให้หมดเดี๋ยวนี้! ผมแจ้งตำรวจแล้ว!”

ผู้คนถูกกลิ่นอายของเขาทำให้ตกใจ จึงปล่อยสือจินหว่านออก

โอหยางจวิ้นยื่นแขนออกมา รีบกอดเด็กสาวไว้ในอ้อมกอด “หวันหว่านไม่ต้องกลัว ขอโทษนะอามาช้าไปหน่อย”