บทที่ 480 บรรดาแม่ยายแย่งชิงลูกเขยกัน

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

ในตอนนี้ ชายหนุ่มวัยกลางคนคนนั้นเห็นว่าแผนการถูกเปิดโปง ก็จะหลีกหนีไป

โอหยางจวิ้นแขนข้างหนึ่งโอบกอดสือจินหว่านไว้แล้วเดินเข้าไปจับชายคนนั้นไว้อย่างรวดเร็ว “อย่าหนี! ใครคือลูกสาวของคุณ?!”

ชายวัยกลางคนพยายามดิ้นรน แต่ก็พบว่าหมดหนทาง เขาขวัญหนีดีฝ่อ รีบยิ้มแล้วพูดขึ้น “ขอโทษด้วยครับ ผมจำผิดคนแล้ว!”

ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ งุนงงในทันที

“สาวน้อย เขาไม่ใช่พ่อของหนูทำไมไม่พูดล่ะ?”

“ชู่ พวกคุณไม่เห็นเหรอ เด็กคนนี้ไม่พูดไม่จามาโดยตลอด? ไม่แน่อาจจะพูดไม่ได้ก็ได้!”

“งั้นก็คือคนใบ้เหรอ?”

“น่าเสียดายจัง หน้าตาดีขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นใบ้!”

โอหยางจวิ้นได้ฟังถึงตรงนี้ เขาจับมือของชายวัยกลางคนไว้อย่างแรง แทบจะบิดข้อมือของชายคนนั้นจนหัก!

เขาตะคอกใส่คนโดยรอบ “ไสหัวไป! พวกคุณพูดเป็น? พูดได้ยังเหมือนกับหมูโง่ ใครพูดอะไรก็เชื่อ? ร่วมมือกับคนร้ายรังแกเด็กผู้หญิง?! รีบไสหัวไปให้พ้นหน้า!”

เป็นครั้งแรกที่สือจินหว่านเห็นโอหยางจวิ้นโมโหขนาดนี้ เธอจับเขาไว้ แล้วบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร

เขากลับหยิบโทรศัพมาขึ้น โทรหาตำรวจ

ชายคนนั้นได้ยินโอหยางจวิ้นแจ้งความ เขาตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี “ลูกพี่ ปล่อยผมไปเถอะนะครับผมขอร้อง! ผมแค่วู่วาม ถึงได้รังแกน้องสาวของคุณ! ผมยังมีครอบครัว คุณปล่อยผมไปเถอะครับ…”

“ไม่มีทาง” โอหยางจวิ้นเห็นชายวัยกลางคนขัดขืนกว่าเดิม จึงปล่อยสือจินหว่าน พลิกสองมือกดชายคนนั้นไว้บนพื้น “ถ้าแกอยู่ในถิ่นของฉันแล้วรังแกเธอ ฉันฆ่าแกไปตั้งนานแล้ว! ตอนนี้ส่งแกให้ตำรวจ แกควรจะดีใจ!”

ผ่านไปไม่นาน ตำรวจก็มาถึง โอหยางจวิ้นส่งมอบคนไป หลังจากการตรวจสอบ ชายคนนั้นเป็นคนที่กระทำผิดเป็นประจำ

คิดไม่ถึงว่าออกมาท่องเที่ยว จะเจอเรื่องแบบนี้เข้า ทำลายความสนุก สือจินหว่านเห็นโอหยางจวิ้นอารมณ์ไม่ดีนิดหน่อย จึงเขย่าแขนของเขา

เขาก้มหน้ามองเธอ สายตาอ่อนโยนขึ้นเยอะ

เธอทำท่าทางใส่เขา “อาจวิ้น อันที่จริงฉันไม่เป็นอะไร อีกอย่างฉันใกล้จะพูดได้แล้ว ที่พวกเขาพูด หนูไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย!”

เขาเห็นเธอที่ได้รับความเจ็บปวดขนาดนั้น แต่กลับปลอบใจเขา เขาใจสั่นเล็กน้อย แล้วโอบบ่าสือจินหว่านเอาไว้ “ไม่เป็นไร อาแค่รับไม่ได้ที่มีคนรังแกเธอ”

เธอรู้สึกได้ถึงฝ่ามือที่อบอุ่นที่วางอยู่บนบ่าของเธอ ราวกับห่อหุ้มเธอเอาไว่าทั้งตัว ในใจมีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้

“อาจวิ้น งั้นพวกเราไปเดินเที่ยวกันต่อเถอะ!” สือจิ่นหว่านทำท่าทาง

ทั้งสองลบเรื่องนั้นออกไปจากความทรงจำ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานต่อ

สือจินหว่านก้มหน้า ก็เห็นโอหยางจวิ้นจับมือของเธออยู่ เหมือนกับว่าหลังจากที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เขาก็จับมือเธอไว้แน่นแบบนี้อยู่ตลอดเวลา

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศร้อน หรือว่าเพราะอะไร ฝ่ามือของเธอค่อย. ๆ เต็มไปด้วยเหงื่อ

ถึงสวนดอกไม้ด้านหลัง ดอกไม้บานเต็มที่ โอหยางจวิ้นถ่ายรูปให้สือจินหว่าน เธอมองกล้องถ่ายรูป จู่ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงลากเขามายืนอยู่ที่ในพุ่มไม้ จากนั้นก็ถ่ายเซลฟี่

ในหน้าจอ พวกเขาอยู่ในเฟรมเดียวกัน จู่ ๆ สือจินหว่านก็รู้สึกใจสั่น

เธอพยายามให้ตัวเองยิ้มอย่างธรรมชาติ แต่ว่าในตอนที่เธอกดชัตเตอร์ มองไปทางภาพถ่าย ถึงได้พบว่าอันที่จริงไม่ต้องพยายาม เธอถ่ายรูปคู่กับเขาก็ยิ้มอย่างสดใสที่สุด

เพราะว่าในดวงตาคือแสงสว่าง

ตามแผนการแล้วทั้งสองเดินเที่ยวพระราชวังเสร็จ ก็ควรจะกลับบ้าน

แต่ว่าสือจินหว่านนึกได้ว่าโอหยางจวิ้นกว่าจะได้มาสักครั้ง ครั้งนี้กลับ เธอต้องรออีกสองเดือนกว่าจะได้เจอเขา เธอจึงเอ่ยขึ้นว่าไปเดินถนนคนเดิน กินอะไรนิดหน่อย แล้วไปดูหนัง

เธอชอบกินของหวาน ถึงแม้โอหยางจวิ้นไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังสั่งมาชุดหนึ่งกินเป็นเพื่อนสือจินหว่าน

ทั้งสองจองตั๋วหนังสองใบ เห็นว่าหนังใกล้เริ่มแล้ว จึงไปที่โรงหนังด้วยกัน

“อาจวิ้น ลืมซื้อป๊อปคอร์นแล้ว!” สือจินหว่านเดินเข้าไปในโรงแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้

โอหยางจวิ้นยิ้ม “เธอนั่งก่อน ฉันออกไปซื้อให้เธอ”

เธอพยักหน้า ดูโฆษณาข้างหน้าไปด้วย รอเขาไปด้วย

ในตอนนี้เอง ด้านหลังมีเด็กผู้หญิงวัยรุ่นสองคน ทั้งสองคุยอะไรคุยกันอย่างตื่นเต้น คำพูดจึงลอยเข้าหูของสือจินหว่าน

ได้ยินแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูด “แย่แล้ว ฉันต้องชอบหัวหน้าห้องของพวกเราแน่ ๆ”

เด็กผู้หญิงอีกคนพูด “หา? ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าเธอชอบรุ่นพี่ฉาวไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันเข้าใจผิด” เด็กผู้หญิงพูด “ฉันค่อนข้างชอบรุ่นพี่ฉาว แต่ว่าไม่ใช่แบบที่ชอบหัวหน้าห้องแบบนั้น”

“ยังมีอะไรที่ไม่เหมือนกันอีก?”

“ก็คือ…” เด็กผู้หญิงครุ่นคิด “ฉันเห็นรุ่นพี่ฉาวก็ดีใจอยู่ แต่ว่าไม่ได้ใจสั่นแบบนั้น ฉันเห็นหัวหน้าห้อง เขาเข้าใกล้ฉัน ฉันก็จะตื่นเต้น ใจเต้นแรงขึ้น ไม่เจอเขา ฉันก็คิดถึง เห็นเขาอธิบายหัวข้อให้กับผู้หญิงคนอื่น ฉันก็เสียใจ…เฮ้อ ฉันชอบเขาเข้าแล้วจริง ๆ แม้แต่เมื่อคืนก็ฝันว่าเขาจับมือฉัน!”

“แบบนี้เหรอ งั้นเธอก็ชอบเขาแล้วจริง ๆ “เด็กผู้หญิงอีกคนพูด “มีแค่ความชอบเท่านั้นถึงได้รู้สึกแบบนี้ งั้นเธอก็บอกรักหัวหน้าห้องเถอะ ลองดู ไม่แน่เขาก็อาจจะชอบเธอ…”

ได้ยินถึงตรงนี้ สือจินหว่านเงยหน้า ก็เห็นในมือของโอหยางจวิ้นถือถังป๊อบคอร์น แล้วก็ยังมีไอศกรีมฮาเก้นดาสสองถ้วยเดินเข้ามา

มีแสงสาดส่องบนตัวของเขา ใบหน้าของเขาบางครั้งก็สว่างบางครั้งก็มืด เขาเหมือนกับเดินอยู่ระหว่างความสว่างและความมืด จากความฝันมาถึงความจริง สุดท้ายเดินมาอยู่ตรงหน้าเธอทีละก้าว

“หวันหว่าน ครั้งนี้อยากกินสตรอว์เบอร์รีหรือวานิลลา?” เขาก้มหน้าถามเธอ

ไม่รู้ว่าทำไม ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่ประโยคธรรมดา ๆ สือจินหว่านกลับรู้สึกใจเต้นแรง

“สตรอว์เบอร์รี” เธอทำท่าทาง แต่กลับหยิบวานิลลา จากนั้นก็แกะกล่องออก ใช้ช้อนตักอย่างรวดเร็ว

อุณหภูมิที่หนาวเย็นค่อยละลายไปในปาก ในที่สุดความร้อนผ่าวบนไปหน้าก็หายไปเยอะ

โอหยางจวิ้นเห็นท่าทางรีบร้อนของเธอ จึงอดหัวเราะไม่ได้ “ระวังหน่อย อย่ากินเร็วเกิน”

ขณะที่พูด ก็ยื่นมือออกมาเช็ดคราบวิปครีมข้างริมฝีปากให้เธออย่างเป็นธรรมชาติ

ในตอนที่ปลายนิ้วมือของโอหยางจวิ้นแตะลง สือจินหว่านหดตัวนิดหน่อย เหมือนกับถูกความร้อนลวกยังไงอย่างงั้น

เขาอึ้ง “ไม่มีไฟฟ้าสถิตนะ?”

เธอส่ายหน้า แต่ในหูกลับสะท้อนคำพูดของเด็กผู้หญิงคนนั้น รู้สึกตื่นเต้น รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง

ดังนั้นโอหยางจวิ้นนั่งรถข้างเธอ เหมือนกับที่เคยผ่านมา กินไอศกรีมด้วยกัน แล้วค่อยกินป็อบคอร์น

แต่ว่าสือจินหว่านกลับรู้สึกสับสนในใจ เหมือนก้อนไหมพรมที่ถูกแมวเล่นจนมั่ว จะแกะยังไงก็แกะไม่ออก

ดังนั้นทั้ง ๆ ที่เป็นหนังตลก เธอกลับดูอย่างมึนงง ในตอนที่ควรหัวเราะก็ไม่หัวเราะ ตอนที่ไม่ควรหัวเราะ เธอกลับหัวเราะ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ป๊อปคอร์นในถังเกือบจะหมดแล้ว

สือจินหง่านเห็นป๊อบคอร์นเม็ดสุดท้าย ก็เหมือนอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง เธอหยิบมันขึ้นมา ป้อนไปที่ข้างปากของโอหยางจวิ้น

เขากินป๊อบคอร์นจากมือของเธออย่างเป็นธรรมชาติ แต่ว่า เพราะเธอดึงมือกลับช้าไปหน่อย ดังนั้นริมฝีปากของเขาสัมผัสปลายนิ้วมือของเธอเบา ๆ

หน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นในทันที สือจินหว่านรีบชักมือกลับ จากนั้นก็เคลื่อนสายตาไปที่หน้าจออีกครั้ง

ทำไมเธอถึงได้ตื่นเต้น? เรื่องพวกนี้ที่ผ่านมาปกติมาก ช่วงนี้กลับทำให้เธอตื่นเต้นบ่อย ๆ

เธอรู้สึกกลัวความรู้สึกแบบนี้นิดหน่อย ราวกับเด็กที่ทำอะไรผิด รู้สึกตื่นตระหนกหวาดกลัว

โอหยางจวิ้นที่อยู่ด้านข้างกลับไม่รู้อะไรสักนิด เขายื่นหน้าเข้ามา พูดข้างหูเธอ “หวันหว่าน นี่ถือว่าตลกแบบเยือกเย็น?”

เธอได้ยินคำพูดของเขา แต่เธอกลับสนใจระยะห่างระหว่างพวกเขามากกว่า

เธอพบว่าหัวใจของเธอสับสนมากกว่าเดิม อยากจะหนีไป แต่กลับขยับไม่ได้

จนกระทั่งหนังจบ ผู้คนหัวเราะคุยกันถึงหนัง สือจินหว่านกลับเหมือนคนไร้วิญญาณ เกือบจะมองไม่เห็นบันได

โอหยางจวิ้นยื่นมือออกมาจับมือเธอ ถึงได้ไม่ล้มลง

จุดสนใจของเธอทั้งหมดมองไปที่มือของพวกเขาที่จับหันไว้อยู่ รู้สึกว่าความวุ่นวายทั้งหมดมีที่พึ่ง ในตอนนี้สิ่งที่อยากได้ก็มีเพียงแค่นี้”

ทั้งสองคนเดินเที่ยวกันอีกสักครู่ ถึงได้กลับบ้าน

เครื่องบินของโอหยางจวิ้นคือเที่ยงวันต่อมา วันนั้นสือจินหว่านนั่งรถของสือมูเฉินไปส่งเขาที่สนามบิน

ในตอนที่โอหยางจวิ้นโบกมือบอกลาเธอ แล้วเดินไปถึงด่านตรวจ เธอพบว่าตัวเองแทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปหาเขา

แต่ว่าเธอรู้ว่าถ้าหากตัวเองไป บางทีหลาย ๆ อย่างอาจจะไม่เหมือนเดิม

ดังนั้นเธอยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นที่เดิม ใช้สายตาส่งเขา ก็เหมือนกับตอนปกติ

แผ่นหลังของเขาหายไปจากสายตา เสียงของสือมูเฉินดังเข้าหู “หวันหว่าน พวกเราควรกลับบ้านไปเก็บของแล้ว เตรียมตัวไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว!”

สือจินหว่านดึงสติกลับมา เธอพยักหน้าคล้องแขนสือมูเฉิน

เธอเงยหน้ามองเขา แล้วทำท่าทาง “พ่อคะ”

สือมูเฉินก้มหน้า แล้วพูดอย่างเอ็นดู “หือ? ทำไมเหรอหวันหว่าน?”

เธอพูดไม่ออกว่าในใจรู้สึกยังไง จึงยื่นแขนออกไปกอดสือมูเฉิน แนบหน้าลงกับหน้าอกของเขา เหมือนกับแมวที่คลอเคลียไปมา

สือมูเฉินยื่นมือออกมาลูบผมของสือจินหว่าน แล้วพูดอย่างรักใคร่ “โตขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงอ้อนเหมือนกับเด็กน้อยอีก?”

เธอไม่ได้ตอบ ผ่านไปพักใหญ่ เธอเงยหน้าจากอกของสือมูเฉิน มองเขา แล้วทำท่าทางอย่างจริงจัง “พ่อคะ หนูอยากผ่าตัดเส้นเสียง”

สือมูเฉินตะลึง “หวันหว่าน หมอบอกว่า อายุสิบสามผ่าตัดจะดีที่สุด”

“พ่อคะ หนูอยากจะผ่าตัดตอนนี้” สือจินหว่านเขย่าแขนของมูเฉิน แล้วทำท่าทาง “พรุ่งนี้พ่อพาหนูไปตรวจหน่อยได้ไหมคะ ถ้าหากหมอบอกว่าต้องหลังสิบสามปีขึ้นไป งั้นหนูก็ค่อยรออีกสักสองปี ถ้าหากหมอบอกว่าตอนนี้สามารถผ่านัดได้ งั้นหลังกลับจากเที่ยวพวกเราก็ผ่าตัดกัน?”

สือมูเฉินมองแสงสว่างในดวงตาของลูกสาว ความเจ็บปวดทิ่มแทงหัวฝจของเขาเป็นพัก ๆ

เธอคือเลือดเนื้อของเขา เห็นเธอไม่สามารถหัวเราะสนุกสนานเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกัน ไม่สามารถเรียกพ่อแม่ได้จากปาก อันที่จริงเค

ขาเสียใจยิ่งกว่าใคร

เขาจึงพยักหน้า “ตกลง งั้นวันนี้พ่อจะติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ รอให้พวกเขาจัดแจงเวลาเสร็จ พ่อจะพาหนูไปตรวจดู แต่ว่าพวกเราต้องฟังคุณหมอ ห้ามปล่อยไปตามความอันตราย!”

สือจินหว่านดวงตาเป็นประกาย “ค่ะ! ขอบคุณค่ะคุณพ่อ หนูรักพ่อที่สุดเลยค่ะ!”