เวลาในการผ่าตัดไม่นานนัก โดยที่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลย แต่ทว่า ทุกคนที่อยู่ข้างนอกราวกับว่าเวลาผ่านมาแล้วหนึ่งศตวรรษ
เมื่อสือมูเฉินเห็นว่าประตูห้องผ่าตัดเปิดออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะกุมมือของหลานเสี่ยวถางและสือจิ่งเหยียนเอาไว้แน่น จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วก็ถามคุณหมอว่า : “ คุณหมอครับ หวันหว่านเป็นยังไงบ้างครับ ?”
“ การผ่าตัดถือว่าสำเร็จมากๆเลยครับ !” คุณหมอก็ถอดผ้าปิดปากออก : “ แต่เป็นเพราะดมยาสลบไป คุณหนูสือก็เลยยังไม่ฟื้นนะครับ และผู้ช่วยของผมก็กำลังจะเข็ญเธอออกมาในทันทีครับ ”
ชั่วพริบตาเดียว สือมูเฉินก็รู้สึกได้ว่าฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเป็นของตัวเองหรือว่าเป็นของภรรยาและลูก
เขามองเข้าไปในห้องผ่าตัด และในเวลานี้สือจินหว่านก็ถูกคุณหมอเข็ญออกมาแล้ว
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา
“ หวันหว่าน……” สือมูเฉินก็ถอดหายใจปกติ แล้วก็รู้สึกว่ารอบๆดวงตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย
แต่หลานเสี่ยวถางก็คือร้องไห้ไปแล้ว ส่วนสือจิ่งเหยียนที่อยู่ด้านข้างก็กำลังเช็ดน้ำตา
ทุกคนก็ไปยังห้องพักผู้ป่วยพิเศษ และคุณหมอก็ได้อธิบายว่า : “ อีกเดี๋ยวถ้าคุณหนูตื่นขึ้นมา ต้องไม่ให้เธอพูดเด็ดขาด ถ้าหากว่าจะพูดก็ต้องหลังจากสองอาทิตย์ แล้วก็ยังมีข้อควรที่จะต้องระวังเล็กน้อย คุณสือ ผมได้เขียนไว้ในนี้หมดแล้ว คุณลองอ่านดูนะครับ ”
ในขณะที่พูดนั้น คุณหมอก็ได้ยื่นกระดาษรายงานหนึ่งฉบับให้กับสือมูเฉิน
เขาก็รับมา หลังจากที่ขอบคุณคุณหมอแล้ว จากนั้นเขาและหลานเสี่ยวถางก็อ่านด้วยกันอย่างจริงจัง
สือจิ่งเหยียนในเวลานี้ ก็นั่งอยู่ข้างๆสือจินหว่าน และในแววตาก็เต็มไปด้วยการรอคอย : “ พี่ครับ ผมอยากจะได้ยินพี่เรียกผมว่าน้องชายมาโดยตลอด และดูเหมือนว่าความปรารถนานี้จะเป็นจริงในไม่ช้าแล้ว……”
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงสือจินหว่านก็ฟื้นขึ้นมา
เธอเพิ่งจะลืมตาขึ้นมา หลานเสี่ยวถางก็รีบพูดด้วยความกังวลใจว่า : “ หวันหว่าน ยังพูดไม่ได้ก่อนนะ !”
เธอพยักหน้า แล้วก็ทำท่าทางบอกว่า : “ แม่คะ หนูรู้แล้วค่ะ ก่อนที่จะผ่าตัดคุณหมอได้บอกเอาไว้ก่อนแล้วค่ะ ! ”
ถึงแม้จะบอกแบบนั้น แม้ว่าจะยังคงเจ็บคออยู่ แต่ทว่าสือจินหว่านก็อยากจะรู้มากๆว่าน้ำเสียงของตัวเองในเวลาที่พูดนั้นจะเป็นอย่างไร
วันและเวลาก็ผ่านไปแล้ววันเล่า อาการบวมบริเวณผ่าตัดของสือจินหว่านก็ได้หายอย่างสมบูรณ์แบบ
หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว เธอในสัปดาห์นี้ก็ยังคงไม่สามารถที่จะออกเสียงได้
ในระหว่างวัน เธอก็กินอาหารที่อ่อนๆและก็ฝึกหายใจตามคำแนะนำของคุณหมอ ส่วนในเวลาว่างเธอก็ใช้ประโยชน์ในตอนกลางวันหรือในตอนกลางคืนพิมพ์ข้อความคุยกับโอหยางจวิ้น
เขายังคงไม่รู้ว่าเธอผ่าตัดสำเร็จเรียบร้อยแล้ว และพวกเขาก็ยังคงคุยเรื่องปกติทั่วไป แต่ทว่าทุกครั้งที่ได้ยินเสียงข้อความเข้า เธอก็จะรู้สึกมีความสุขมากๆ
เวลาก็ค่อยๆไหลไปกับสายน้ำอย่างช้าๆ และในที่สุดก็ถึงสองสัปดาห์ตามที่คุณหมอบอก
ภายในห้องก็มีแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา สือมูเฉินก็ได้นั่งอยู่ตรงหน้าของสือจินหว่าน ส่วนหลานเสี่ยวถางและสือจิ่งเหยียนก็นั่งประกบคนละข้าง และทุกคนก็ต่างกลั้นหายใจเฝ้ารอให้สือจินหว่านฝึกออกเสียง
ในใจของเธอก็รู้สึกตื่นเต้นมากๆเช่นกัน
ถึงแม้ว่าการฟังของเธอจะไม่มีปัญหา และเธอก็รู้ว่ารูปปากแต่ละคำเป็นอย่างไร แต่ถึงอย่างไร ในตอนนี้ก็ยังคงตื่นเต้นจนในหัวใจเต็มไปด้วยเหงื่อ
“ หวันหว่าน ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าเกิดว่าพูดไม่เป็น พวกเราก็ค่อยเป็นค่อยไป ” สือมูเฉินกุมมือของลูกสาวเอาไว้
เธอรู้สึกว่ามือของตัวเองนั้นถูกล้อมไว้ด้วยความอบอุ่น จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆและลองพยายามเปล่งเสียงออกมา : “ อา——”
เสียงเบามาก และมีความเสียงแหบเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรแค่ฟังแล้วมันก็คือเสียงของลูกสาวตัวเอง
สือจินหว่านตะลึงไปชั่วขณะ และรู้สึกว่าเสียงแบบนี้มันแปลกมากๆและไม่กล้าจะเชื่อเลยว่าเป็นเสียงของตัวเอง
เธอรู้สึกกลัวเล็กน้อย แต่หลานเสี่ยวถางที่อยู่ด้านข้างก็โอบเธอไว้และพูดว่า : “ หวันหว่าน เสียงเมื่อกี้มันน่าฟังมากๆ ลูกลองดูซิว่ามันยังจะออกเสียงได้อีกไหม ?”
เธอมองไปยังแววตาที่คาดหวังของหลานเสี่ยวถาง ในใจก็เต้นแรง และเสียงก็แทบจะเปล่งออกมาด้วยตัวเอง : “ แม่คะ……”
ทันใดนั้นดวงตาของหลานเสี่ยวถางก็เบิกกว้างในทันที ดูเหมือนว่าเสียงเล็กๆน้อยๆสองคำที่ร้องออกมาได้นั้นกำลังจุดพลุดอกไม้ไฟอยู่ในใจ ปลายจมูกของเธอก็รู้สึกพองแสบขึ้นมา และน้ำตาก็ไหลพรากออกมา
จนกระทั่ง เธอบีบตัวเองแรงๆไปแล้วหนึ่งที เมื่อมีความเจ็บปวดสะท้อนกลับมา ถึงเพิ่งจะรู้ว่านี่มันไม่ใช่ฝัน !
ลูกสาวของเธอ ตอนที่อายุสิบเอ็ดขวบ ในที่สุดก็พูดได้แล้ว !
หลังจากที่สือจินหว่านเรียกหลานเสี่ยวถางแล้ว ก็หันไปมองสือมูเฉินด้วยความตื่นเต้น : “ พ่อคะ !”
ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะออกเสียงได้อย่างราบรื่นขึ้นมา
สือมูเฉินก็กอดเธอเข้ามา ในตอนนี้ ชายที่เป็นผู้ใหญ่คนนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นคุณพ่อมือใหม่ และแขนก็สั่นเล็กน้อยพร้อมกับรอบดวงตาที่แดง
“ หวันหว่าน ” แขนของเขาก็โอบไว้แน่นขึ้น : “ ในที่สุดพ่อก็รอมาจนถึงวันนี้แล้ว ”
เขาก็นึกตอนที่โจวเหวินซิ่ววางยาในระยะยาวให้กับหลานเสี่ยวถาง แล้วก็นึกถึงตอนที่เขาและหลานเสี่ยวถางที่ทะเลาะกันอย่างหนักเรื่องที่จะคลอดหวันหว่านหรือไหม และก็ยังนึกถึงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เวลาที่เขาเห็นฟู่หยู่ปิง หยานมู่จิ่นเปล่งเสียงราวกับนกขมิ้นออกมาก็จะรู้สึกอิจฉา……
ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งมากมายที่เขาเก็บไว้ในก้นบึ้งหัวใจโดยที่ไม่พูด ไปจนกระทั่งมีช่วงเวลามากมายที่ยังแกล้งว่าไม่เป็นไรเพื่อที่จะปลอบหลานเสี่ยวถาง แต่ทว่าความรู้สึกแบบนั้น มีเพียงแค่ตัวเองเท่านั้นที่รู้ !
สือจินหว่านรู้สึกได้ถึงพละกำลังที่พ่อส่งมาให้ ค่อยๆรับความรู้สึกนั้น และค่อยๆออกมาจากอ้อมกอดของสือมูเฉิน จากนั้นก็มองไปยังสือจิ่งเหยียนที่อยู่ด้านข้าง
เธอก็ค่อยๆขยับปากและสะกดคำทีละคำ : “ น้อง จิ่ง เหยียน ”
แต่ไหนแต่ไรสือจิ่งเหยียนก็เป็นผู้ชายที่เข้มแข็ง แต่ทว่าในตอนนี้ก็อยู่ในอารมณ์ที่ฮึกเหิม และเขาก็พูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา : “ พี่ ! พี่หวันหว่าน ! พี่ พี่พูดได้แล้ว !”
ใช่ เธอส่งเสียงออกมาได้จริงๆแล้ว และก็สามารถพูดได้จริงๆแล้ว
ในเวลานี้ รู้ตัวอีกทีในก้นบึ้งหัวใจก็พรั่งพรูด้วยความดีอกดีใจ และเมื่อสือจินหว่านเห็นว่าญาติพี่น้องที่อยู่ตรงหน้านั้นต่างก็ตาแดงกันหมด มันทำให้ทนไม่ไหวจนต้องร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจเช่นกัน
ทั้งครอบครัวก็กอดกันร้องไห้อย่างไม่มีเสียง จนกระทั่งผ่านไปสักพัก สือมูเฉินก็ถึงจะปล่อยทุกคน จากนั้นก็ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่อยู่บนแก้มของสือจินหว่านพร้อมกับพูดว่า : “ หวันหว่าน เสียงของลูกเป็นเสียงที่เป็นธรรมชาติที่ดีที่สุดตั้งแต่พ่อเคยได้ยินมา ”
เธอกัดริมฝีปากและมองทุกคนด้วยความอยากถาม
หลานเสี่ยวถางก็พยักหน้าเช่นเดียวกัน : “ หวันหว่าน จริงนะ มันน่าฟังมากๆ ถึงแม้ว่าเสียงในตอนนี้มันจะเบาไปเล็กน้อย แต่พอหลังจากที่ค่อยๆฝึกแล้ว แน่นอนว่าเวลาที่ร้องเพลงมันก็ต้องทำให้รู้สึกซาบซึ้งมากเหมือนกัน ”
สือจิ่งเหยียนตบไปที่หน้าอกและพูดว่า : “ พี่ครับ จริงนะ ! ดีกว่านักร้องสมัยก่อนที่ชื่อว่า Du Lili สักอีก ! หลังจากนี้พี่ก็คือเทพแห่งการร้องเพลง !”
คำพูดของเขา ทันใดนั้นก็ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายและชื่นมื่นขึ้น
สือจินหว่านก็ยิ้ม ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลองเรียกทุกคนอีกครั้งหนึ่ง : “ คุณพ่อ คุณแม่ จิ่งเหยียน ”
พอพูดจบ เธอก็รู้สึกดูเหมือนกับว่าคุ้นชินกับน้ำเสียงนี้มากขึ้นเล็กน้อย ดังนั้น ก็เรียกต่ออีกครั้ง……
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงไม่กี่คำ แต่ถึงอย่างไรเมื่อทุกคนได้ฟังมันก็ไม่ได้ถือว่ามันเป็นการบกวน และทั้งบ้านต่างก็ตาแดงกันหมด แต่อย่างไรบนสีหน้าก็เต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม
เป็นเพราะเพิ่งจะเริ่มจะออกเสียง ก็เลยยังไม่สามารถที่จะพูดได้นานนัก ดังนั้นแล้ว สือมูเฉินก็เลยไม่ให้สือจินหว่านลองออกเสียงต่ออีก
เขาดึงเธอลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมกับพูดว่า : “ ไป พวกเราทั้งครอบครัวออกไปเดินเล่นกันหน่อยดีกว่า ”
ใช่สิ ในเวลาที่มีความสุขแบบนี้ ไม่สามารถที่จะตะโกนร้องออกมาได้ แต่ถึงอย่างไร ทั้งครอบครัวก็สามารถที่จะไปเดินเล่นข้างนอกด้วยความเคลิบเคลิ้มที่นำพามาซึ่งความหวังของแดดที่สาดส่อง
ข่าวแบบนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่หลานเสี่ยวถางจะต้องบอกให้เย่เหลียนอีและหลานเซี่ยวเฉิง เมื่อพ่อกับแม่ได้ยินว่าในที่สุดหลานสาวก็พูดได้แล้ว ก็รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ดังนั้นทุกคนก็เลยนัดกันไปที่เขตทหารด้วยกันพรุ่งนี้
และหลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว สือจินหว่านก็กลับไปที่ห้องและหยิบโทรศัพท์ออกมา
เธอเห็นว่าโอหยางจวิ้นได้ส่งหนึ่งข้อความมาหาเธอแล้ว บอกว่าเขาตื่นแล้ว และวันนี้มีนัดต้องลงนาม ดังนั้นก็เลยตื่นเช้ากว่าปกติและในตอนบ่ายก็อาจจะไม่ว่างคุยกับเธอ
เธอเหลือบไปมองเวลา และเดาว่าเขาน่าจะเพิ่งเก็บของออกไป ดังนั้นก็มาตรงมาบริเวณที่โทรศัพท์ตั้งโต๊ะที่มีอยู่ในบ้าน
โอหยางจวิ้นไม่รู้ว่าเบอร์โทรศัพท์ตั้งโต๊ะของเธอคืออะไร ดังนั้นแล้ว……
เมื่อหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นแล้ว สือจินหว่านก็พบว่าตัวเองนั้นตื่นเต้นจนไม่สามารถจะหายใจได้อยู่แล้ว
เมื่อกี้ตอนที่อยู่ในห้องของตัวเอง เธอก็ได้ฝึกไปหลายรอบแล้ว แต่ในเวลานี้ก็ยังคงพบว่า ตัวเองยังดูพูดไม่เป็นสักไหร่ แม้กระทั่งลิ้นก็แข็งทื่อขึ้นมาแล้วเล็กน้อย
แต่ทว่า สือจินหว่านยังคงต่อสายไปยังโอหยางจวิ้น
ในเวลานี้ โอหยางจวิ้นกำลังอยู่ในระหว่างทางที่ไปบริษัท
ระบบจอควบคุมของรถก็ได้แสดงชุดหมายเลข ซึ่งไม่มีชื่อของผู้โทร และเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากจึงกดรับสาย
เมื่อต่อสายแล้ว โอหยางจวิ้นก็เอ่ยปากพูดว่า : “ ฮัลโหล ?”
เมื่อสือจินหว่านได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย ทันใดนั้น ตัวเองก็รู้สึกว่าหายใจติดๆขัดๆ
เธอขยับรูปปากแต่ยังไม่ได้ออกเสียง
และอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เมื่อโอหยางจวิ้นถามไปแล้ว เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ ดังนั้นก็เลยถามอีกว่า : “ สวัสดีครับ ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่าครับ ?”
เมื่อถามไปแล้ว เขามองไปยังจอโทรทัศน์อีกครั้ง เพิ่งจะเห็นว่าบนนั้นเป็นหมายเลขของต่างประเทศ และดูเหมือนว่าจะโทรมาจากประเทศจีน !
ในสายก็ยังคงเงียบมากๆ และโอหยางจวิ้นก็ได้ปิดหน้าต่างรถ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหายใจที่แผ่วเบา
ดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยมากๆ
ในเวลานี้ หัวใจของเขาก็เต้นช้าลงอย่างมาก : “ หวันหว่าน ? หวันหว่าน ใช่หนูหรือเปล่า ?”
เธอบีบหูโทรศัพท์เอาไว้แน่น แล้วก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆถึงพูดไม่ได้แล้ว
และเมื่อโอหยางจวิ้นเห็นว่าสายอีกด้านหนึ่งนั้นเงียบและไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลย ทันใดนั้นก็รู้สึกกังวลและพูดว่า : “ หวันหว่าน เจอกับอันตรายอะไรอยู่หรือเปล่า ? ถ้าเกิดว่ามีอันตราย หนูเคาะหูโทรศัพท์หนึ่งครั้ง ถ้าเกิดว่าไม่ใช่ เคาะสองครั้ง ”
จากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเคาะหูโทรศัพท์อยู่สองครั้ง
เธอไม่เป็นอะไร……โอหยางจวิ้นก็โล่งใจ : “ หวันหว่าน ทำไมถึงโทรหาฉันละ ?”
เธอพูดไม่ได้ ดังนั้น แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยโทรหากันอยู่แล้ว ทำเพียงแค่ส่งข้อความในวีแชทเท่านั้น
“ ไม่เป็นไร คิดถึงอาจวิ้นใช่หรือเปล่า พวกเราก็คาสายไว้แบบนี้แหละ อาพูด ส่วนหนูฟังก็พอแล้ว……” แต่ทว่าโอหยางจวิ้นยังพูดไม่ทันจบ แต่จู่ๆก็มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นมาแต่ทว่าเสียงนั้นน่าฟัง——
“ อา จวิ้น ”
ชั่วพริบตา โอหยางจวิ้นก็ถึงกับตะลึงและเท้าขวาของเขาก็เหยียบเบรคในทันที
ยางล้อรถของรถเก๋งก็ได้เสียดสีอย่างรุนแรงกับพื้นถนน หลังจากที่เขาไถลไปหกเมตรแล้ว เขาก็หยุดอยู่กับที่
“ หวันหว่าน ?” หัวใจของโอหยางจวิ้นเต้นเร็วมาก : “ หวันหว่าน นี่เป็นเสียงของหนูหรอ ? หนูพูดได้แล้วหรอ ? !”
“ ค่ะ ” ในขณะที่เธอตอบกลับ น้ำตาก็ได้ไหลอาบเต็มใบหน้าแล้ว
โอหยางจวิ้นที่นั่งอยู่บนที่นั่งนั้น ก็ได้ยินเสียงหายใจจากอีกฝั่งก็วุ่นวายเล็กน้อย จู่ๆทันใดนั้นเขาก็อยากจะกอดสาวน้อยของเขา
ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ดังนั้นการพูดคุยในสายส่วนใหญ่จึงเงียบ
ผ่านไปสักพัก โอหยางจวิ้นก็พูดว่า : “ หวันหว่าน พูดอีกรอบได้ไหม ? เมื่อกี้อาได้ยินไม่ชัด ”
สือจินหว่านบีบหูโทรศัพท์เอาไว้แน่น : “ อาจวิ้น อาจวิ้น……”
เมื่อได้ยินหญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่ระมัดระวัง ส่วนโอหยางจวิ้นก็บีบพวงมาลัยรถแน่นมากขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัวจนทำให้ข้อต่อกระดูกขาวเลยทีเดียว
เขาที่กลืนน้ำลายอย่างรุนแรงแล้วก็ฮึบเอาไว้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและกลั้นน้ำตาเอาไว้ : “ หวันหว่าน อาเดาไม่ผิดใช่ไหม เป็นเสียงของหนูใช่ไหม มันเป็นเสียงที่น่าฟังมากที่สุดตั้งแต่ที่อาเคยได้ยินมาเลย……”