บทที่ 432 กลับบ้าน
บทที่ 432 กลับบ้าน
เมื่อหลินซือเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นใบ้ ร่างกายก็ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด สาวน้อยจึงลุกยืนขึ้นและเอ่ยกับไป๋หรูปิง “พี่ไป๋ ทำไมพวกเราไม่ส่งเขาไปที่ศาลาว่าการเล่า”
“ไม่ได้นะ!”
เมื่อเด็กน้อยได้ยินเช่นนั้นก็รีบเข้าไปกอดขาหลินซือไว้แน่น ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย
“เช่นนั้นเจ้าจะทำเช่นไร ไม่อยากกลับบ้านหรืออย่างไร?”
หลินซือลูบศีรษะเด็กน้อย เรือนผมละเอียดอ่อนให้ความรู้สึกที่นุ่มมือ เด็กสาวจึงลูบต่ออีกสักพัก
ทั้งสามคนยืนอยู่ที่หน้าประตูหอหรูอี้ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยินยอมอ่อนข้อให้แก่กัน ยังไม่ทันรอให้หลินซือคิดวิธีการออก ทันใดนั้นก็มีชายรูปร่างสูงใหญ่สองสามคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้คุ้มกันวิ่งออกมา ร้องเรียกเด็กน้อย “คุณชาย คุณชาย รับไปเถอะขอรับ!”
หลินซือดึงเด็กน้อยไปหลบไว้ด้านหลัง แล้วเอ่ยถามขึ้น “พวกเขาคือองค์รักษ์ของเจ้าหรือไม่?”
เด็กน้อยจ้องมองใบหน้าของหลินซือ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงพยักหน้าด้วยความไม่เต็มใจ
หลินซือถอนหายใจยาว หลังจากนั้นจึงส่งตัวเด็กน้อยไป และเอ่ยกำชับสองสามประโยค
องครักษ์ขานรับ หลังจากที่เห็นว่าหลินซือและไป๋หรูปิงได้หันหลังเดินจากไปแล้ว จึงพาเด็กน้อยจากไป
องครักษ์ที่อุ้มเด็กน้อยอยู่เอ่ยขึ้น “องค์รัชทายาท กระหม่อมละเลยหน้าที่ ดูแลฝ่าบาทได้ไม่ดีพอ กระหม่อมสมควรได้รับการลงโทษพ่ะย่ะค่ะ”
เด็กน้อยผู้นี้ก็คือรัชทายาทองค์ปัจจุบัน
องค์รัชทายาทมองหลินซือที่ค่อย ๆ หายลับไป ดวงตาที่ลึกซึ้งช่างดูแตกต่างจากอายุของเขาเป็นอย่างมาก กล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปแล้วข้าจะลงโทษด้วยตัวเอง”
ในด้านของหลินซือยังคงถกเถียงกับไป๋หรูปิงว่าเด็กน้อยผู้นั้นเป็นลูกของตระกูลไหน
ไม่นานหัวข้อนี้ก็โดนขัดจังหวะ เสียงเคาะดังขึ้นที่ประตู
หลินซือเปิดประตูออกมาก็พบกับเด็กรับใช้ที่คุ้นเคยจากจวนท่านแม่ทัพ
ใบหน้าที่แดงก่ำของเด็กหนุ่ม เห็นได้ชัดว่าเขาคงจะวิ่งมาตลอดทั้งทาง เด็กหนุ่มเก็บความรู้สึกเอาไว้ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น “คุณหนู นายท่านและฮูหยิน กลับมาแล้วขอรับ”
สมองของหลินซือขาวโพลนไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “เจ้า เจ้าว่าใครกลับมานะ?”
เด็กหนุ่มรับใช้ปรับเสียงของตัวเองแล้วกล่าวอีกครั้ง เมื่อหลินซือฟังจบก็บีบแขนตัวเองจนแน่น ไม่อยากเชื่อเลยว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
“เอ้อเป่ารีบกลับบ้านเถอะ ท่านลุงกับท่านป้าต้องคิดถึงเจ้าแน่ ๆ”
ไป๋หรูปิงคลี่ยิ้มและค่อย ๆ ลูบแขนของหลินซือ
หลินซือไม่อาจควบคุมตนเองไม่ให้ยิ้มออกมาได้ จึงยิ้มออกมาอย่างอิ่มอกอิ่มใจอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็จับไป๋หรูปิงเอาไว้ “พี่ไป๋ไปกับข้าสิ!”
“ข้าหรือ? ข้าจะไปได้อย่างไร?!”
ไป๋หรูปิงรีบโบกมือขึ้น “ครอบครัวเจ้ากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ข้าเป็นคนนอกจะเข้าไปด้วยได้อย่างไรกัน เอ้อเป่า เจ้ารีบไปเถอะ อย่าปล่อยให้พ่อแม่รอเจ้าเลย!”
“พี่ไป๋จะเป็นคนนอกได้อย่างไรกัน? ”
หลินซือว่าพลางดึงมือไป๋หรูปิงลงไปชั้นล่างพร้อมกับเด็กหนุ่มรับใช้ “ความสัมพันธ์ของเจ้ากับพี่ชายของข้าผู้ใหญ่ต่างก็รู้เห็นเป็นใจ ก็เห็น ๆ อยู่ว่าท่านจะได้เป็นพี่สะใภ้ของข้า จะเป็นคนนอกได้อย่างไร!”
เมื่อเอ่ยถึงหลินจื้อ ไป๋หรูปิงพลันเขินอายพูดอะไรไม่ออก จากนั้นก็ถูกหลินซือจูงขึ้นรถม้าของจวนแม่ทัพไป
รถม้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงประตูทางเข้าของจวนแม่ทัพ ไป๋หรูปิงยังคงปฏิเสธ “เอ้อเป่า ข้ารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง ข้าไม่ควรเข้าไป”
หลินซือจะปล่อยให้ไป๋หรูปิงที่มาถึงหน้าประตูเช่นนี้จากไปได้อย่างไร พี่ชายของนางเองก็เดาใจได้ยาก และถึงแม้ว่าที่พี่สะใภ้จะปฏิบัติต่อพี่ชายของตนอย่างดีเยี่ยม แต่ทว่านางไม่ค่อยพัฒนาความสัมพันธ์กับหลินจื้อเท่าไรนัก
ถ้าไม่ใช่เพราะว่านางเชิญว่าที่พี่สะใภ้ใหญ่มาที่บ้านเป็นพัก ๆ พวกเขาคงไม่ได้เจอกันจนกว่าจะถึงวันแต่งงานเป็นแน่
เมื่อคิดเช่นนี้ หลินซือก็ตระหนักได้ว่าตนเองนั้นแบกรับภาระไว้มากมาย ภาระบนบ่าที่ว่ามากมายแล้ว เหตุผลที่ออกมาปากของนางเองก็มากพอจนทำให้ไป๋หรูปิงกล่าวอะไรไม่ออก
รถม้าค่อย ๆ หยุดลง หลินซือไม่รอให้รถม้าหยุดสนิท นางก็ได้เปิดประตูแล้วลงจากรถม้าอย่างเร่งรีบ
“เอ้อเป่า!”
ไป๋หรูปิงตกใจจนต้องเอามือทาบอก นางตำหนิหลินซือด้วยท่าทีจริงจัง
หลินซือยิ้ม เด็กสาวยื่นมือไปเพื่อช่วยให้ไป๋หรูปิงลงจากรถม้า เดินเข้าจวนพลางเอ่ยถามกับเด็กรับใช้ “บนรถม้านั้นขนอะไรมาหรือ?”
“เป็นสินค้าท้องถิ่นที่นายท่านและฮูหยินนำกลับมาขอรับ” เด็กหนุ่มรับใช้กล่าวตอบ
หลินซือจ้องมองไม่กี่ครั้ง ถ้าหากว่าเป็นวันปกตินางต้องถูกสิ่งของเหล่านั้นดึงดูดความสนใจเป็นแน่แท้ แต่วันนี้นางทิ้งเรื่องพวกนี้เอาไว้ในส่วนลึกของสมอง ก่อนที่จะจูงมือไป๋หรูปิงวิ่งเข้าไปในจวนโดยพลัน
ยังไม่ทันจะเข้าถึงลานบ้าน อาซือก็เห็นท่านพ่อและท่านแม่ของตนมาแต่ไกล ทั้งคู่กำลังยืนสนทนาอะไรบางอย่างกับหลินจื้อ
เป็นเวลาหลายปีที่ไม่ได้พบหน้าท่านทั้งสอง เรื่องราวที่อาซือคิดมาระหว่างทางก็ได้ระเหยไปหมด นางพลันกระโดดโผเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นบิดามารดาทันใด
เหยาซูถูกบุตรสาวโอบไว้ในอ้อมกอด เมื่อได้ยินนางร้องไห้จึงได้ลูบหัวบุตรีอันเป็นที่รักของตน โดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ครั้งนี้หลินจื้อไม่ได้สนใจท่าทางของน้องสาว เพียงแค่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และไปยืนกับไป๋หรูปิงสักครู่
เหยาซูลูบหลังหลินซือแผ่วเบา เหยาซูเองก็มีน้ำเสียงที่สั่นเครือ นางเอ่ยปลอบลูกสาว “เจ้าโตเป็นสาวแล้ว เหตุใดจึงยังร้องไห้เหมือนเด็กน้อยอยู่เล่า”
อาซูสูดหายใจลึก ๆ และเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก “ถ้าพวกท่านยังไม่กลับมาอีก ข้าจะกลายเป็นสาวเฒ่าแล้วนะเจ้าคะ!”
เหยาซูสบตากับหลินเหรา นางรู้ว่าตนเองนั้นหายไปจากช่วงชีวิตของลูก ๆ เป็นเวลานาน จึงเพียงคลี่ยิ้มเท่านั้น
เหยาซูเอ่ยขึ้นเบา ๆ “แม่รู้ว่าแม่ผิดไปแล้ว ครั้งนี้จะอยู่บ้านคอยอยู่กับเอ้อเป่าดีไหม?”
“อยู่นานแค่ไหนเจ้าคะ?” หลินซือถามขึ้นทันที
เหยาซูสบตากับหลินเหรา
หลินเหราตอบคำถามของลูกสาว “รอจนกระทั่งผ่านพ้นพิธีปักปิ่นของเจ้า”
“นั่นมันก็แค่ครึ่งปีเองนะเจ้าคะ”
ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยที่หลินซือจะหยุดน้ำตาของตัวเองลงได้
เหยาซูสบตากับหลินเหราอีกครั้ง เอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล “อย่าฟังพ่อเจ้าพูดเพ้อเจ้อเลย ครั้งนี้พวกเราจะอยู่จนกว่าเอ้อเป่าจะเบื่อ พวกเราถึงจะไป”
“เช่นนั้นพวกท่านไม่มีทางไปแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลินซือขยี้ตาแดง ๆ และบ่นพึมพำ
ช่วงเวลาแสนอบอุ่นที่ครอบครัวได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ อยู่ ๆ เสียง ‘โครก’ ก็ดังขึ้นมา
ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่หลินซือ
อาซือหน้าแดงด้วยความเขินอาย เด็กสาวจึงกล่าวอธิบาย “ข้าเลือกผ้ามาตั้งเเต่เช้า ยังไม่ได้กินข้าวเลยเจ้าค่ะ”
หลินจื้อเอ่ยขึ้น “ห้องครัวเตรียมอาหารเสร็จแล้ว พวกเรารีบไปกันเถิดขอรับ”
ทั้งครอบครัวรับประทานอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ในที่สุดอารมณ์ของหลินซือก็สงบลง เด็กสาวมองดูครอบครัวอย่างมีความสุขก็พลันคิดถึงน้องชายคนเล็กที่ถูกรับไปเลี้ยง
“ตอนบ่ายพ่อของเจ้าจะไปรายงานผลการปฏิบัติงานในวัง จะถือโอกาสไปจวนตระกูลเซี่ย ตอนพวกเราเดินทางกลับมาแต่งกายธรรมดาคนอื่น ๆ จึงดูไม่ออก น้องกับท่านน้าของเจ้าน่าจะยังไม่รู้” เหยาซูกล่าว
ได้ยินเช่นนี้แล้วหลินซือก็สบายใจขึ้น ครึ่งวันนี้เด็กสาวใช้แรงใจและแรงกายจนเหนื่อยล้า เมื่อเห็นอาหารเลิศรสก็เต็มที่กับโต๊ะอาหารจนอิ่มท้อง
เหยาซูหยอกล้อลูกสาว “พวกเราจากไปตั้งนาน เอ้อเป่าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่ดูกินจุมากขึ้นไม่น้อย วันข้างหน้าอย่ากินจนในบ้านไม่เหลืออะไรเชียวเล่า”
“ท่านแม่!” หลินซือหน้าแดง เด็กสาวกำลังจะเอ่ยปากเถียงเหยาซู แต่นางดันเรอออกมาเสียก่อน
ทุกคนก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
……………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อาซือโตขึ้นกลายเป็นสาวแก่นแก้วไม่น้อยเลย
อย่าบอกนะว่าองค์รัชทายาทถูกใจพี่สาวคนนี้
ไหหม่า(海馬)