บทที่ 433 รายงานผลการปฏิบัติงาน

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 433 รายงานผลการปฏิบัติงาน

บทที่ 433 รายงานผลการปฏิบัติงาน

ในตอนบ่ายหลินเหราต้องเข้ารายงานกับต้นสังกัด

หลายปีมานี้ที่หลินเหราออกไปกับภรรยา ไม่ใช่เพื่อท่องโลกเพลิดเพลินใจเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการสังเกตและเรียนรู้ความรู้สึกของประชาชนด้วยตัวเอง

และเวลานี้เขาก็รวบรวมสมุดบันทึกของตนได้เป็นปึกใหญ่ ซึ่งจะทูลถวายให้กับจักรพรรดิเพื่อให้พระองค์ตรวจสอบ

หลินเหรามาถึงหน้าประตูห้องทรงงานของจักรพรรดิ ยังไม่ทันรอให้เขาได้แจ้ง ขันทีตัวน้อยที่รอมาได้ระยะหนึ่งก็พาชายหนุ่มเข้าไป เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงรู้ข่าวคราวของเขาแล้ว

“ฝ่าบาท องค์รัชทายาทนั้นทรงฉลาดหลักแหลม แต่กลับมีนิสัยดื้อรั้นหัวแข็งนักพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากม่านมุกที่กั้นไว้ ทันทีที่ขันทีแหวกม่านมุกขึ้นก็เผยให้เห็นเงาของเซี่ยเชียน

ตอนนี้เขามีตำแหน่งเป็นมหาราชครู และตัวชายหนุ่มเองก็กำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่ององค์รัชทายาท

เมื่อเซี่ยเชียนเห็นหลินเหรากลับมา เขาก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจแต่อย่างใด มีเพียงแค่แววตาที่เปลี่ยนไปเท่านั้น

หลินเหราคำนับต่อจักรพรรดิด้วยความเคารพ และโค้งคำนับให้กับเซี่ยเชียน

“ใต้เท้าหลิน การกลับมาครั้งนี้ของท่านช่างสง่าผ่าเผยยิ่งนัก ราชสำนักไม่มีเจ้าอยู่ ข้าล่ะปวดหัวจริง ๆ” จักรพรรดิหัวเราะขึ้น

“กระหม่อมเป็นเพียงทหารเท่านั้น ตอนนี้ต้าเยี่ยนอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ ทั่วทั้งสี่คาบมหาสมุทรจึงได้สงบสุข ไม่ได้เกี่ยวกับการเกษียณและกลับบ้านเกิดของกระหม่อมแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านใต้เท้าอย่าได้พูดจาขบขันนักเลย ครั้งนี้เป็นเพราะพิธีปักปิ่นของลูกสาวท่าน ท่านจึงได้กลับมา แต่ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็ไม่อาจปล่อยท่านไปได้”

เซี่ยเชียนทนไม่ไหวจึงกระแอมออกมา จักรพรรดิถึงได้จบหัวข้อสนทนาเรื่อยเปื่อย และกลับเข้าสู่พิธีการ

หลินเหราสั่งคนให้ยกสมุดในกล่องขึ้นมา จากนั้นหยิบสมุดหนึ่งเล่มถวายให้กับจักรพรรดิ “นี่คือบันทึกการเดินทางทั้งสิบสามแคว้นของต้าเยี่ยน ทั้งหมดที่กระหม่อมได้ยินและได้เห็นล้วนถูกบันทึกลงในนี้พ่ะย่ะค่ะ ส่วนบันทึกฉบับนี้เกี่ยวกับความรุนแรงของอุทกภัยทางเจียงหนาน ตอนนี้ที่เจียงหนานกำลังจะเข้าสู่ฤดูฝนอีกครั้ง แผนการควบคุมน้ำท่วมจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงเรียนเชิญฝ่าบาทเสด็จไปดูด้วยพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”

สีหน้าของจักรพรรดิแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น หลังจากเปิดสาส์นและอ่านอย่างรวดเร็ว จึงรู้ถึงความสำคัญของสาส์นฉบับนี้

ด้านในแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่ในเจียงหนานที่ประสบอุทกภัย และแนวทางการแก้ไขที่สามารถใช้ได้อย่างละเอียด

“ใต้เท้าหลิน ท่านช่างทุ่มเทยิ่งนัก”

พระองค์ค่อย ๆ ปิดสาส์น แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

หลินเหราโค้งคำนับ “นี่เป็นภาระหน้าที่ของกระหม่อมที่ต้องทำ มิอาจรับเป็นความดีความชอบพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่ออ่านสาส์นฉบับนี้ ก็ไม่มีใจอยากทำสิ่งใด พระองค์ส่งสัญญาณให้เซี่ยเชียนและหลินเหราออกไป แล้วทรงจดจ่อกับสาส์นที่หลินเหราได้นำมา

คาดว่าน้าและหลานทั้งสองคนมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะสนทนากัน

เมื่อทั้งสองออกมาจากห้องทรงงานของจักรพรรดิ หลินเหราและเซี่ยเชียนก็ได้เริ่มสนทนาเกี่ยวกับเรื่องของซานเป่า

องค์รัชทายาทปัจจุบันนั้นไม่ใช่บุตรในสายเลือดของจักรพรรดิ แต่ก็มาจากตระกูลเดียวกัน

“เซินเอ๋อร์เป็นสหายขององค์รัชทายาท เขาเป็นเด็กที่มีความฉลาดหลักแหลมและรู้ความ ไม่ต้องกังวลเรื่องการศึกษาของเขา”

เซี่ยเชียนขมวดคิ้ว “เพียงแค่องค์รัชทายาทมีนิสัยที่ซุกซน เวลาอยู่ต่อหน้าข้าก็จะดีหน่อย ครั้นลับหลังข้า เซินเอ๋อร์และองค์รัชทายาทมักจะทะเลาะกัน”

“ไม่กี่วันก่อนองค์รัชทายาทแอบหนีออกจากวัง เกือบจะทำให้องครักษ์ตกงานกันเสียแล้ว”

เรื่องนี้ทำให้เซี่ยเชียนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ชายหนุ่มจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ต่อจากเรื่องนี้แล้วหลินเหราเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ชายหนุ่มจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อาซูเพิ่งจะกลับมา…”

เซี่ยเชียนขัดจังหวะโดยพลัน “พวกเจ้าเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวง วันพรุ่งข้าจะให้เซี่ยเซินกลับไปค้างกับพวกเจ้าซักวัน ให้ออกไปเที่ยวเล่นบ้าง ดีกว่าให้จมอยู่กับกองหนังสือ”

หลินเหราตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงโค้งคำนับ “ขอบคุณท่านน้ามากขอรับ”

เซี่ยเชียนโบกมือให้หลินเหราขึ้นมา ทั้งสองคนก็สนทนาต่อกันอีกสักพัก จู่ ๆ เซี่ยเชียนก็เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทไม่ได้ยึดติดอยู่กับอำนาจทางทหาร”

ประโยคนี้ไม่มีที่มาที่ไป แต่หลินเหรากลับเข้าใจความหมาย

เซี่ยเชียนกำลังพูดถึงเรื่องที่จักรพรรดิกำลังเฝ้าติดตามเรื่องของเขา บอกกับเขาว่าจักรพรรดิไม่ได้ต้องการจัดการเขา เพียงแต่มีคนมากมายที่กำลังจับตามองตระกูลหลิน พระองค์จึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้

“ข้าทราบขอรับ แต่เรื่องนี้ท่านเองก็รู้ดีว่าไม่ใช่แค่ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร ความสัมพันธ์ในราชสำนักนั้นเกี่ยวพันกันยากที่จะรับมือ บางครั้งพระองค์จำเป็นต้องตัดสินพระทัยทั้งที่ขัดต่อพระราชประสงค์ของพระองค์เอง ดีกว่าที่ข้าจะทูลกล่าวขึ้นเอง ถ้าเกิดถูกคนอื่นจับได้ ผลอาจจะออกมาในทางที่ไม่ดีขอรับ”

หลินเหรากดเสียงลง ชายหนุ่มยิ้มขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

เซี่ยเชียนพยักหน้า “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว อย่ามีความขุ่นเคืองต่อฝ่าบาทเลย มิเช่นนั้นมันจะส่งผลเสียต่อพวกเจ้าและต้าเยี่ยน”

ทั้งสองคนมาถึงทางแยก เซี่ยเชียนต้องการจะไปที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ทั้งสองคนนัดให้เซี่ยเซินไปที่จวนแม่ทัพในวันพรุ่ง แล้วจากนั้นก็แยกกัน

“ท่านคือแม่ทัพหลินใช่หรือไม่?”

ในขณะที่หลินเหรากำลังจะจากไป จู่ ๆ เขาก็ถูกรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

เมื่อชายหนุ่มหันหลังกลับไป ก็พบกับเด็กน้อยที่เขาเองก็ไม่รู้จัก ถึงแม้จะเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย แต่ว่าลวยลายมังกรบนเสื้อนั้นก็ทำให้รู้ว่าเขาคือองค์รัชทายาท

“คารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”

หลินเหราทักทายองค์รัชทายาท ชายหนุ่มสงสัยว่าองค์ราชทายาทมาถึงพระราชวังชั้นนอกได้อย่างไร แล้วเขาก็ถูกขัดจังหวะ

“ท่านแม่ทัพหลินเป็นบิดาของพี่หลินซือใช่หรือไม่?”

“ฝ่าบาทเคยพบนางหรือพ่ะย่ะค่ะ”

หลินเหราไม่เข้าใจว่าบุตรีของตนไปเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทได้อย่างไร

“ครั้งก่อนที่ข้าออกจากวัง ข้าพลัดหลงกับองครักษ์ พี่หลินซือเป็นคนช่วยข้าไว้ ”

ว่าพลางองค์รัชทายาทก็ก้มหน้าลงด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ข้าไปพบกับพี่หลินซือได้หรือไม่? ข้าอยากจะขอบคุณนางต่อหน้า”

ที่กล่าวมาคือต้องการจะออกจากวัง หรือว่าต้องการให้ชายหนุ่มพาตนเองออกจากวังกันแน่

เซี่ยเชียนเพิ่งจะบอกกับหลินเหราว่าองค์รัชทายาทนั้นเป็นคนซุกซนและมากด้วยเล่ห์เหลี่ยม ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่อนุญาตเป็นธรรมดา หลังจากบอกเหตุผลกับองค์รัชทายาทไม่กี่ระโยค ชายหนุ่มจึงรีบขอตัวออกมา

………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พี่เหราไม่ได้ไปเที่ยวเปล่า ๆ แต่ยังจดบันทึกไปด้วย ช่างเอาใจใส่กับหน้าที่จังเลยค่ะ

องค์รัชทายาทคิดจะทำอะไรคะ ติดใจพี่หลินซือเหรอ

ไหหม่า(海馬)