บทที่ 434 ความรักทำให้คนตาบอด

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 434 ความรักทำให้คนตาบอด

บทที่ 434 ความรักทำให้คนตาบอด

องค์รัชทายาทจ้องมองแผ่นหลังของหลินเหราที่ค่อย ๆ ลับสายตาไป จากนั้นก็เตะกำแพงอย่างแรง

ต้องโทษตนเองที่ในตอนนี้ยังมีร่างกายเป็นเด็ก ถึงแม้จะเป็นถึงองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ ก็ไม่สบายเท่าเป็นอ๋องในชาติก่อน ๆ

ในชาติก่อนเขาสิ้นชีพเพราะความกลัดกลุ้ม กลับมาเกิดใหม่ในชาตินี้ก็เผลอคิดไปว่าสวรรค์ให้โอกาสเขาอีกครั้ง

ทว่าชีวิตในชาตินี้ช่างแตกต่างจากชาติที่แล้วนัก

พี่ชายที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กก็สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่วัยเยาว์ มีเพียงตนเองเท่านั้นที่จะได้เป็นองค์จักรพรรดิ ดังนั้นเขาจึงสมควรที่จะได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผู้สืบราชบัลลังก์ไม่มาก ในฐานะที่ตนเป็นองค์รัชทายาทจึงถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาเป็นอย่างดี ในวังฝั่งตะวันออกไม่มีผู้ใดกล้าเป็นศัตรูกับเขา

เดิมทีนี่นับว่าเป็นเรื่องดีมาก แต่องค์รัชทายาทกลับรู้สึกว่าตนเองนั้นกำลังต่อยใยฝ้ายอยู่ ทั้งกายเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อยากจะแก้แค้นแต่กลับไม่มีที่ระบาย จนทำให้ตนนั้นเกือบล้มป่วย

แต่ก็ยังดี ครั้นเมื่อเขาป่วยนอนอยู่บนเตียง จู่ ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ เพื่อจะได้อำนาจเช่นชาติที่แล้วมา เขาต้องวางแผนให้บุตรสาวของแม่ทัพหลินแต่งงานกับตน แต่หลินซือกลับเป็นคนเฉียบขาด ถึงตายก็ไม่ยอมทำตาม วันทั้งวันทำจวนอ๋องวุ่นวายไปหมด อีกทั้งยังต้องการคนมาเป็นพวกกับตน

เนื่องจากชีวิตนี้มีอำนาจอยู่ในครอบครอง จึงปล่อยให้เด็กสาวผู้นี้ยินยอมที่จะรักตนเองด้วยตัวนางเอง ก็นับว่าเป็นวิธีการทำให้ชีวิตของตนไม่น่าเบื่อแล้ว

ครั้นสอบถามเรื่องราวแล้ว องค์รัชทายาทถึงกับตะลึง หลินซือที่อายุน้อยกว่าตนเองหนึ่งปีในชาติที่แล้ว ในชาตินี้นางอายุมากกว่าตนถึงเจ็ดปี เมื่อองค์รัชทายาทได้รับรู้ข่าวก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าที่กลางใจ เมื่อมองร่างเล็ก ๆ ของตนก็คิดไปถึงเรื่องที่หลินซือกำลังจะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว พลันรู้สึกเกลียดร่างกายตนเองขึ้นมาอีกครั้ง

ในชาติที่แล้วเขามีตำแหน่งเป็นท่านอ๋อง ตกหลุมรักอาซือตั้งแต่แรกพบ ความต้องการที่จะเอาชนะก็นับว่ามีไม่น้อย

แต่ว่าองค์รัชทายาทเข้าใจทุกอย่างได้รวดเร็ว เอาแรงกดดันมาเป็นแรงจูงใจ อีกทั้งยังวางแผนหนีออกจากวัง เพื่อมาพบหลินซือที่กำลังซื้อของอยู่

กล่าวตามความเป็นจริง หลินซือที่ไม่จ้องมองตนเองด้วยโทสะก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ถึงแม้ว่าจะโกรธแต่ก็ช่างงดงาม ทว่าก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

เขาได้พบกับสาวงามมากมายในวัง แต่ก็ไม่มีใครงามเทียบเท่าหลินซือผู้นี้ได้เลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ที่ได้พบหลินซือผู้อบอุ่นเช่นนี้ องค์รัชทายาทจึงเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าหลินซือนั้นเป็นสมบัติของตน ดังนั้นต้องจับนางเอาไว้ในมือให้ได้อีกครั้ง

ถ้าหากว่าองค์รัชทายาทรู้ว่าตอนนี้หลินซือกำลังทำอะไรอยู่ เขาเองก็ควรจะดีใจที่ไม่ได้ออกจากวังไป ไม่เช่นนั้นเขาคงจะโดนหลินซือโกรธจนตาย

ณ จวนท่านแม่ทัพ ในสวนจิ้งซือของหลินซือ เด็กสาวได้พุ่งเข้าต่อยหน้าอกเด็กหนุ่มหนึ่งหมัด

“เจี่ยงเถิง ท่านยังรู้ว่าต้องกลับมา! ข้านึกว่าท่านตายอยู่ข้างนอกไปแล้ว!”

เจี่ยงเถิงเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปี มีบุคลิกที่อ่อนโยน ดวงตาล้ำลึกกำลังจ้องมองสาวน้อยที่กำลังต่อยตนอยู่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรักใคร่ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่อารมณ์นิ่งสงบเหมือนไม่มีชีวิตอยู่แม้แต่น้อย

ชายผู้นั้นเซไปสองสามก้าวด้วยหมัดที่ไร้ความปรานีของหลินซือ ทว่ายังยิ้มออกมา ชายหนุ่มลูบหน้าอกแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่เจอกันตั้งหลายเดือนเจ้ายังฉุนเฉียวเช่นนี้ วันข้างหน้าจะยังต้องการแต่งงานอยู่หรือไม่?”

หลินซือเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รีบไปแต่งงานกับสตรีในจวนแม่ทัพที่แถวยาวไปถึงประตูเมืองคนนั้นสิ ท่านจะได้ไม่ต้องลำบาก!”

กล่าวจบ เด็กสาวก็เบือนหน้าหนี

เจี่ยงเถิงอดยิ้มไม่ได้ จงใจกุมหน้าอกแล้วไอขึ้นสองสามครั้ง

อย่างที่คาดไว้ หลินซือที่ดูเย่อหยิ่งพลันรีบก้มหน้าลง ก้าวเข้ามาประคองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด และเอ่ยขึ้นความกังวล “เป็นอย่างไร ข้าทำให้ท่านเจ็บหรือ ข้ายังไม่ได้ออกแรงเลย ต้องให้ข้าเรียกหมอหรือไม่?”

เอ๊ะ แต่พี่เถิงมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรักษาให้ดีขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา หรือว่านางจะใส่แรงมากเกินไป

เมื่อคิดเช่นนี้ เด็กสาวจึงพยุงอีกฝั่งด้วยความระมัดระวัง

“ไม่เป็นไร ให้ข้านั่งพักสักครู่ก็ดีขึ้นแล้ว” เจี่ยงเถิงแสดงท่าทางที่ดูอ่อนแรง เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นโดยไม่มีเจตนา “เพื่อจะรีบกลับมาเมืองหลวง ไม่กี่วันมานี้ข้าไม่ได้พักเลย ร่างกายอาจจะรับไม่ไหว”

เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเด็กหญิงงดงามตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่จิตใจของเขานั้นแน่วแน่

นอกจากนี้ เขายังคิดอีกว่าอาซือนั้นยังเด็กอยู่ เพียงแค่ ‘ผูก’ นางไว้ข้างกายตน ในวันข้างหน้าต้องเป็นภรรยาของเขาแน่ ๆ

หลังจากที่เจี่ยงเถิงตัดสินใจเมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาได้วางแผนที่จะไล่ตามภรรยาของเขา

ปรากฏว่าหลินซือก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เด็กสาวค่อย ๆ เดินประคองเจี่ยงเถิงเข้าไปนั่งในห้อง รินชาร้อนให้กับเด็กหนุ่มหนึ่งแก้วพลางเอ่ยขึ้น “ท่านจะกังวลสิ่งใดกัน ถึงอย่างไร…ถึงอย่างไรท่านก็หายไปเป็นเดือน จะมาใส่ใจอะไรกับสี่ห้าวันนี้กัน”

ท่านป้าเจี่ยงไม่ชอบใจที่พี่เถิงจะเข้ารับตำแหน่ง หลินซือก็เช่นกัน

ราชสำนักมีเรื่องอันตรายมากมาย วันใดเขาถูกลอบสังหารขึ้นมาจะทำเช่นไร

โดยเฉพาะเดือนที่แล้วเจี่ยงเถิงเป็นขุนนางฝ่ายดูแลการค้าเกลือ ถูกส่งให้ไปตรวจสอบดูแลงานทางเหนือ และต้องดำเนินงานอย่างเร่งด่วน เขาเลยไม่มีโอกาสที่จะมาหารือกับหลินซือ อีกทั้งยังไม่ได้บอกนางล่วงหน้า

หลินซือนัดกับเด็กหนุ่มเสียดิบดีว่าจะออกไปเล่นด้วยกัน ตอนนั้นเด็กหญิงถึงได้รู้ว่าเจี่ยงเถิงจะต้องเดินทางขึ้นเหนือ จึงทะเลาะกับเด็กหนุ่มไปรอบหนึ่ง ด้วยอารมณ์ที่โกรธเคืองในตอนนั้น นางจึงไม่ได้ไปส่งเขา

แต่ในตอนสุดท้ายที่เจี่ยงเถิงกำลังจะออกเดินทางนั้น เด็กหนุ่มก็เหลือบไปเห็นหลินซือที่ร้องไห้จนตาแดง

เจี่ยงเถิงไม่อาจตัดใจได้ เขาทำได้แค่เพียงเร่งขั้นตอนเท่านั้น

ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้จะดีกว่า

“ข้ากังวลสิ่งใดกันอย่างนั้นหรือ?” เถิงเอ๋อสบตาหลินซือ จนอีกฝั่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ชายหนุ่มจึงหัวเราะ “แน่นอนว่าข้าเป็นกังวลเพราะใครบางคน ข้าหายไปเป็นเดือนกว่า ก็ไม่รู้จักสหายคนนี้แล้วหรือ?”

“ข้า….นั่นเพราะข้าโกรธจึงพูดเช่นนั้น ” หลินซือเอ่ยอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ

เจี่ยงเถียงถอนหายใจ กล่าวอย่างกังวล “แต่ที่ข้าเร่งรีบจนผิดพลาดและต้องเลยกำหนดไปหนึ่งเดือน ไม่รู้ว่าคุณหนูหลินยังจะจำสหายคนนี้ได้อยู่หรือไม่?”

“แน่นอนข้าจำได้! ที่ข้าพูดไปตอนนั้นเพียงเพราะว่าโกรธ” หลินซืออยากจะต่อยเจี่ยงเถิงที่ไม่รู้เรื่องอีกหมัด แต่พอมองแววตาสีดำนิลของอีกฝ่าย ในที่สุดเด็กสาวก็เพียงแค่ผลักเขาเบา ๆ เท่านั้น “ท่านคือสหายของข้าตลอดไป”

เจี่ยงเถิงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็เงียบลง ตนนั้นไม่ได้ต้องการที่จะเป็นสหายของหลินซือตลอดไป แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ควร

“ข้าหิวข้าวมาก มีอะไรให้ข้ากินบ้างหรือไม่? ” เจี่ยงเถิงเปลี่ยนเป็นหัวข้อสนทนาเรียบง่ายสบาย ๆ

“ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปเอามาให้” หลินซือเขินจนหน้าแดง เด็กสาวถือโอกาสนี้วิ่งออกไปเพื่อระบายความร้อนบนใบหน้าตนเอง

เนื่องจากท่านแม่ทัพกลับมาในวันนี้ ดังนั้นจึงมีการเตรียมอาหารเร็วกว่าปกติ อาซือนำอาหารมาเต็มจาน นางคิดว่าต่อให้มีเจี่ยงเถิงสองคนก็ไม่มีวันที่จะกินได้หมดแน่ ๆ แต่นางก็ไม่ลังเลที่จะวางลง เด็กสาวได้ถือกล่องข้าวกลับมาที่สวนจิ้งซือ

“เข้าทางท่านแล้ว วันนี้อาหารที่ครัวเหลือค่อนข้างเยอะ เอ้า รีบกินเสียสิ” หลินซือวางจานลงบนโต๊ะส่งตะเกียบให้กับเจี่ยงเถิง แล้วกล่าวเร่งอีกฝ่าย

เมื่อมองดูไอร้อน ๆ ของอาหารพูนจานที่ทำอย่างสุดฝีมือ เจี่ยงเถิงไม่ได้แย้งคำพูดของหลินซือ แต่มันเป็นสิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาแล้วว่านี่มิใช่ ‘ของเหลือ’ แต่อย่างใด เด็กหนุ่มจึงเริ่มลงมือรับประทานข้าว

หลินซือที่อยู่อีกฝั่งพลันเอ่ยถามขึ้น “เพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอข้าจะให้พวกเขาเอามาเพิ่มให้ท่าน”

เจี่ยงเถิงได้แต่บ่นอุบในใจว่านี่เขากลายเป็นหมูไปแล้วหรืออย่างไร จะเลี้ยงให้อิ่มแล้วสุดท้ายก็ฆ่าทิ้งเสียอย่างนั้นหรือ

วันนี้เจี่ยงเถิงทำหน้าที่เป็นหมู เขารับประทานอาหารที่หลินซือนำมาให้จนไม่สามารถยัดลงกระเพาะต่อได้จริง ๆ จึงเอ่ยยกย่องอย่างจริงใจ “ในที่สุดข้าก็ได้กินอาหารจนอิ่ม แน่นอนว่าอาหารที่จวนท่านแม่ทัพเลิศรสเหลือเกิน”

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าและกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นับว่าท่านมีความรู้เกี่ยวกับอาหาร”

เจี่ยงเถิงเองก็ยิ้มขึ้นมา ถึงแม้ว่าท้องของเขาจะรับไม่ไหวแล้ว แต่เมื่อมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหลินซือ เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าทั้งหมดนี้มันช่างคุ้มค่าเหลือเกิน ถึงแม้ว่าการไปทางเหนือจะไม่ใช่ภาระงานอย่างเป็นทางการ และต้องเดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อรีบกลับเมืองหลวง แต่เพียงแค่ได้มารับประทานอาหารสองมื้อในคราวเดียวเช่นนี้ก็ล้วนคุ้มค่ามากแล้ว

…………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

บุพเพอาละวาอะไรเช่นนี้ เกิดมาชาตินี้ก็ยังคลาดกันอีก ท่าทางอาซือจะไม่ใช่คู่แท้ขององ์รัชทายาทเสียแล้ว

ไหหม่า(海馬)