บทที่ 423 ย่าปวดใจ

บทที่ 423 ย่าปวดใจ

คุณย่าซูล้มเลิกแผนการอย่างที่คิดไว้ด้วยความรวดเร็ว ถึงแม้ว่าเธอจะอายุมากแล้ว แต่สมองของเธอก็ไม่เลอะเลือนนะ ถ้าทำเรื่องไม่ดีก็มีแต่จะสูญเสียเท่านั้น!

“สองตัวต่อคนค่ะ ที่เหลือหนูให้พี่อี้หยว่นกับปู่ฉือคนละสองตัว แล้วก็ปู่ย่าบุญธรรมคนละสองตัวค่ะ”

เสี่ยวเถียนแจกแจงให้ฟัง

คุณย่าซูได้ฟังก็พลันปวดใจขึ้นมา

เนื้อมีอยู่หน่อยนึง คำเดียวก็หมดแล้ว แถมแพงอีก ราคาตั้งหกหยวน…

ด้วยความไม่เต็มใจ หญิงชราทำอาหารมื้อนี้ด้วยความยากลำบากที่สุดตั้งแต่ที่เคยทำมาเลย

ตอนนี้แม้แต่ราคากุ้งเธอก็ไม่ถามออกไป

ก็เพราะว่าไม่กล้าถามน่ะสิ!

ไม่งั้นก็นอนไม่หลับกันพอดี

และเมื่อยิ่งเห็นปูขนแต่ละตัว ๆ แกก็ยิ่งปวดใจ

แค่ข้าวมื้อเดียวเท่ากับเงินเดือนคนอื่นสามเดือนเลยนะ ยิ่งคิดก็ยิ่งรับไม่ได้

เสี่ยวเถียน ยัยเด็กสุรุ่ยสุร่าย…

ถ้าหลานชายกล้าเอาเงินมาใช้จ่ายแบบนี้ เธอจะเอาไม้นวดแป้งโบกใส่แรง ๆ เลย! ทว่าเสี่ยวเถียนกลับเป็นฝ่ายใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เธอจะทำอย่างไรดี?

คนอื่น ๆ ในบ้านไม่รู้เลยว่าหัวใจคุณย่าหมุนเหวี่ยงขนาดไหน พวกเขาง่วนกับการกินกุ้งและปูอยู่

เพราะมาจากตะวันตกเฉียงเหนือ ของพวกนี้เคยได้ยินมานะ แต่ไม่เคยกินจริง ๆ มาก่อน

พอได้ชิม ต้องบอกเลยว่าปูขนรสชาติดีจริง ๆ

กุ้งอบน้ำมันก็รสชาติไม่เลวเหมือนกัน

ถึงเหลียงซิ่วจะกลัวตอนเห็นปูกับกุ้งครั้งแรก กระทั่งถึงเวลาที่ได้กิน ดวงตาของเธอเป็นประกาย อดคิดไม่ได้ว่ารสชาติมันดีมากจริง ๆ

เสี่ยวเถียนหยิบปูมาแกะเนื้อออกทีละนิด ๆ อย่างงดงาม

เธอไม่ได้กินเองนะ แต่ส่งเนื้อกุ้งที่แกะแล้วและเนื้อปูให้คุณย่าซู

จากนั้นก็แกะให้คุณปู่ซูด้วย

ผู้อาวุโสทั้งสองกินของที่หลานเอามาให้ด้วยความรู้สึกอิ่มเอม

“ย่าไม่ต้องเสียใจไปนะ มีอีกจานเรียกว่าเทียบชั้นปู*[1] ค่ะ มันคืออาหารที่จะเอาไข่มาทำ เดี๋ยวกลับไปค่อยใส่เมนูนี้เพิ่มนะคะ พวกเราจะได้มีเงินกลับคืนมาด้วย!”

ทว่าหญิงชราที่ได้ยินคำว่าปูกลับรีบยกมือทาบอก

“อย่าพูดคำว่าปูอีกนะ ย่าใจจะขาด หายใจไม่ทั่วท้องเลย!”

เด็ก ๆ ได้ยินก็พากันหัวเราะร่วน

แม้บรรยากาศการกินข้าวมื้อนี้จะแปลก ๆ ไปบ้าง แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารสชาติมันดีจริง ๆ ถึงคุณย่าซูจะปวดใจ แต่ก็ยังเห็นด้วยในเรื่องรสชาติ

“หน้าตามันดูน่าเกลียดนะ แต่อร่อยมากเลย”

เสี่ยวเถียนตีเหล็กในตอนที่มันร้อน “ถ้าคุณย่าว่าอร่อย ไว้คราวหลังมากินเยอะ ๆ กันค่ะ!”

แต่อีกฝ่ายโบกปัด “พอแล้ว ๆ แพงขนาดนี้ มีเนื้อหน่อยเดียวไม่คุ้มหรอก สู้เอาเงินไปซื้อหมูซื้อแกะดีกว่าไหม?”

เฮ้อ… เงินตั้งเยอะ เอามาเททิ้งหมดแบบนี้ น่าเสียดาย ๆ!

หลังมื้อเย็น คุณย่าซูเตรียมปูกับกุ้งให้เสี่ยวลิ่วและเสี่ยวชีถือจานเอาไปส่งสองปู่หลานบ้านฉือ

ส่วนอีกจานเป็นเสี่ยวปา เสี่ยวจิ่ว และเสี่ยวเถียนเอาไปส่งบ้านตู้

ผู้อาวุโสบ้านตู้มีธุระที่ต้องจัดการจึงไม่ได้มานอนบ้านซู แต่อยู่บ้านตัวเองแทน

เสี่ยวปาที่กินจนอิ่มเดินกลับบ้านพร้อมน้อง ๆ อย่างมีความสุข

กระทั่งผ่านบ้านตู้ พอเห็นประตูเปิดอยู่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าพวกท่านอยู่บ้าน

พวกเราจึงเดินเข้าไปส่งอาหาร

สองสามีภรรยาตู้เพิ่งถึงบ้านและยังไม่ได้กินข้าวเลย พอเห็นเด็ก ๆ ก็รีบบอกจะไปเตรียมอาหารให้

“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณปู่คุณย่าบุญธรรม พวกเรากินแล้วค่ะ”

เสี่ยวเถียนรีบปฏิเสธ

“พวกเราไม่ได้กินเฉย ๆ แต่เรานำมาให้พวกท่านทั้งสองด้วยนะครับ” เสี่ยวปาว่าแล้ววางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะ

คุณย่าซูไม่ได้ทำมาแค่ปูกับกุ้ง แต่แกยังบรรจุอาหารอื่น ๆ มาให้ด้วย

เพราะย่าบอกว่ามันมีเนื้อน้อย คำเดียวก็หมดแล้ว ถ้าไม่เอาอาหารอื่น ๆ มาให้ จะไม่หิวตายเอาหรือ?

“ไม่ได้เห็นปูดี ๆ แบบนี้มานานหลายปีแล้วล่ะ!”

อวี่รุ่ยหยวนไม่คิดเลยว่าอาหารที่เด็ก ๆ เอามาจะเป็นปูขนคุณภาพดีเยี่ยม

แม้จะตกใจ แต่ก็รู้สึกปกติเช่นกัน

เพราะมีเสี่ยวเถียนอยู่ ไม่ว่าของกินดื่มดี ๆ อะไรก็หามาได้ทั้งนั้น

เรื่องนี้ตอนอยู่หงซินก็รู้อยู่แล้ว

“คุณปู่คุณย่า พวกท่านกินข้าวเย็นก่อนค่ะ เดี๋ยวพวกเราจะกลับแล้ว” เสี่ยวเถียนยิ้ม “ส่วนกล่องข้าวไว้พรุ่งนี้เดียวมาเอาคืนค่ะ”

“เสี่ยวเถียน คืนนี้นอนกับย่าสิ ย่ามีเรื่องจะคุยด้วย” อวี่รุ่ยหยวนรีบเอ่ย

พี่ ๆ ทั้งสองต้องทำการบ้าน เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า

“ผมฝากน้องเล็กไว้กับย่าอวี่นะครับ ผมคิดว่าย่าคงไม่อยากเห็นน้องเท่าไร!” เสี่ยวปารีบเอ่ย

อีกฝ่ายสงสัย “เสี่ยวเถียนทำให้อะไรให้ย่าของหลานโกรธหรือ?”

หาได้ยากมากที่หญิงชราจะโกรธเสี่ยวเถียนน่ะ!

เสี่ยวปาส่ายหัว “เวลาย่าโกรธ ย่าไม่โกรธเสี่ยวเถียนหรอกครับ ผมคิดว่าแกน่าจะเห็นเสี่ยวเถียนแล้วเสียดายเงินน่ะ!”

จากนั้นเด็กชายก็บอกเล่าเรื่องราวในวันนี้

สองสามีภรรยาตู้ต่างหัวเราะลั่น

เสี่ยวเถียนยินดีจ่ายเงินเยอะขนาดนั้นในรวดเดียวจริง ๆ ถึงเธอจะหาเงินได้ แต่จะใช้แบบนี้ไม่ได้นะ

ไม่แปลกใจเลยที่คุณย่าซูจะโกรธ

แต่ก็โชคดีที่อีกฝ่ายรักหลานจริง ๆ ถ้าเป็นคนอื่น หญิงชราคงทุบตีจนตายไปแล้ว

“เสี่ยวเถียน เดี๋ยวพรุ่งนี้มารับแต่เช้านะ!”

พี่ชายทั้งสองโบกมือลาแล้วเดินกลับบ้าน

สองย่าหลานนั่งสนทนากัน

ที่แท้อวี่รุ่ยหยวนก็เจอเรือนสี่ประสานอีกแห่ง แต่ทำเลที่ตั้งไม่ดีเท่ากับบ้านที่หลานอยู่ในตอนนี้ อยู่ไกลนิดหน่อย แต่หลังใหญ่กว่า

แต่เสี่ยวเถียนไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไร เพราะเรือนสี่ประสานในตอนนี้ ทำเลไม่นับว่าดีอยู่แล้ว มันจะย้ายไปไหนได้ล่ะ?

หลายปีที่ผ่านมา เมืองของเราขยายออกเป็นวงกลม และที่ที่เราอยู่มันก็อยู่ใจกลางแล้ว

“เท่าไรคะคุณย่า?” เสี่ยวเถียนสนใจราคามากกว่า

“ย่าไปคุยเรื่องราคามา แต่อีกฝ่ายไม่ยอมลดให้ ยืนกรานขอสองหมื่นอย่างเดียวเลย”

อวี่รุ่ยหยวนรู้สึกว่าราคามันยังสูงไปหน่อย

แต่มันหาได้ยากมากที่เรือนแบบนี้จะสมบูรณ์ ตัวห้องข้างในดี ซื้อแล้วอยู่ได้เลย ไม่ต้องบำรุงรักษามากนัก

“ได้ค่ะ สุดสัปดาห์นี้เราไปดูกันนะ ถ้ามันเหมาะแล้วไม่ติดอะไรก็ซื้อเลย”

เด็กสาวมีความสุขมาก ท่าทางนั้นทำให้ผู้เป็นย่าลังเล

เสี่ยวเถียนมีเงินก็จริง แต่ไม่น่าจะเยอะขนาดนั้นหรือเปล่า?

เพิ่งจะซื้อไปสองหมื่น นี่ซื้ออีกสองหมื่นแล้ว เสี่ยวเถียนใช้เงินมากขนาดนี้ได้อย่างไร?

“เสี่ยวเถียน ไม่พิจารณาหน่อยหรือ?”

“ไม่ต้องคิดหรอกค่ะย่า หนูมองว่าตอนนี้มันราคาเท่านี้ แต่อีกหลายปีข้างหน้าราคาของมันจะขึ้นมากกว่านี้”

ช่างนี้ตู้ถงเหอสังเกตเห็นเหมือนกัน และคิดว่ามันเป็นไปได้

เขาเป็นนักธุรกิจอยู่แล้วเลยรู้ไว แต่เสี่ยวเถียนคาดเดาได้อย่างไรกัน?

“คุณปู่คุณย่า ถ้าบ้านเรามีเงินก็ซื้อเรือนอีกสองแห่งเก็บไว้ก็ได้นะคะ!”

มีเรือนสี่ประสานไว้ จะมีประโยชน์กว่าเก็บเงินอีก

ยังไม่ต้องพูดถึงอีกสิบปีต่อมานะ แต่สามสี่ปีนับจากนี้ราคาก็น่าพึงพอใจแล้ว!

แต่เสี่ยวเถียนตั้งใจไว้ว่าจะซื้อเพิ่มอีกสี่หลัง

ถึงจะรู้ว่ามันทำเงินได้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ไปตลอด มนุษย์เราต้องรู้จักพอ

และสิ่งที่เสี่ยวเถียนเชื่อมาตลอดเลยก็คือ เราต้องเป็นคนมีขอบเขต และไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็เหมือนกัน ก็ต้องมีขอบเขตด้วย!

และถ้าเธอซื้อบ้านได้อีกสี่หลัง เธอจะถือว่าตัวเองชนะแล้ว