บทที่ 424 แขก

บทที่ 424 แขก

ตกดึก สองสามีภรรยาตู้นอนคุยเรื่องนี้อยู่บนเตียง ทั้งยังถอดหายใจไปด้วย

“รุ่ยหยวน บอกฉันซิว่าเสี่ยวเถียนรู้ได้ยังไงว่าในอนาคตราคาบ้านจะเพิ่มมากขึ้น?”

อีกฝ่ายเป็นเด็กสาววัยสิบกว่าปีผู้มาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ว่าเธอจะฉลาดแค่ไหน แต่คงไม่มีทางสังเกตถึงเรื่องบ้านหรอกนะ

“คุณก็สังเกตเห็นด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรือ?” ผู้เป็นภรรยาหัวเราะ

ตู้ถงเหอยิ้ม “แต่ฉันเป็นคนมีประสบการณ์มาหลายสิบปีนะ”

“บางครั้งพรสวรรค์ก็สำคัญกว่าความขยันนะ”

ในที่สุดทั้งสองก็ตัดสินใจที่จะเอาเงินออกมาซื้ออสังหาริมทรัพย์อีกสองแห่ง

ช่วงเลิกเรียนในวันต่อมา

เด็ก ๆ บ้านซูตรงดิ่งกลับบ้านอย่างไม่เถลไถล เมื่อวานพวกเขาคุยกันดิบดีแล้วว่าวันนี้ตอนบ่ายจะปิดร้านให้คุณย่าเตรียมงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับอดีตผู้นำ

กระทั่งเดินมาถึงที่ประตู เสี่ยวเถียนก็เห็นรถจี๊ปจอดอยู่

“รถธรรมดามากเลย ของท่านผู้นำหรือ?” เสี่ยวปาเดินวนรอบรถและมองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

รถคันนี้ดูไม่ต่างจากคันที่อาเขยเคยขับเลย!

“ท่านผู้นำเขาปิดบังตัวตนไง ไม่อยากให้คนอื่นรู้!” เสี่ยวเถียนเอ่ยขึ้น

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่อยู่ดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็อาจถูกคนอื่นรู้ได้

เด็ก ๆ เดินเข้าไปในบ้านก่อนจะได้กลิ่นอาหารหอมฉุย

“ฝีมืย่าดีขึ้นเรื่อย ๆ เลย!” เสี่ยวจิ่วซูดน้ำลายพลางเอ่ยเยินยอ

ท่าทางตะกละของเสี่ยวจิ่วทำให้เหล่าพี่น้องพูดไม่ออก เสี่ยวจิ่วเป็นคนที่รักการกินมาก ขอแค่มีของอร่อยเขาก็จะเป็นคนที่ตื่นเต้นที่สุด

แต่ถ้าของอร่อยมีจำนวนน้อย เขาจะพิจารณาก่อนว่าเสี่ยวเถียนกินแล้วหรือยัง ถ้าหากมันมีน้อยมาก เขาจะก็จะเสียสละและยกมันให้กับเสี่ยวเถียน

“พี่จิ่วอย่าทำตัวไร้ประโยชน์นะ วันนี้ที่บ้านของเรามีแขกนะ!” ซูเสี่ยวเถียนมองไปที่ซูเสี่ยวจิ่วอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อวานพี่ชายคนนี้เพิ่งจะกินไป ทำไมวันนี้ตะกละอยากจะกินอีกแล้ว?

“พี่รู้น่า… ยังไม่ทันเข้าไปเลย แค่พูดล้อเล่นเท่านั้นเอง ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเข้าไปแล้วพี่ไม่พูดอะไรแน่นอน!” เสี่ยวจิ่วให้คำมั่นสัญญา

ถึงเขาจะตะกละ แต่ก็ใช่ว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ วันนี้มีแขกมา ถ้าทำตัวไม่ดีคงทำให้ที่บ้านเสียหน้าแน่

เสี่ยวลิ่วกับเสี่ยวชีก็ห่วงว่าน้องชายจะคุมปากตัวเองไม่ได้ กลัวพบอดีตผู้นำแล้วจะขายหน้าเอา

แต่ตอนนี้กลับรู้สึกสบายใจแล้วเมื่อได้ยินคำสัญญา เสี่ยวจิ่วอาจจะไม่มีจุดแข็งอื่น ๆ แต่เขาเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น

เด็ก ๆ พากันเดินพลางพูดคุยเสียงจอแจเข้าไปในบ้าน พวกเขามีกฎว่าถ้าแขกมาต้องเข้าไปทักทาย พวกเขาเดินเข้าไปในห้องหลัก ก่อนจะเห็นคุณปู่ซูคุยกับชายชราผมสีขาวหน้าตาใจดี

ข้างหลังยังมีชายหนุ่มอีกคน เป็นคนที่มาหาเราเมื่อวานนี้

“เสี่ยวเถียน พวกหลานกลับมาแล้วหรือ รีบมาทักทายแขกหน่อยสิ” คุณปูซูถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นหลาน ๆ เดินเข้ามา

ถึงจะรู้จักกัน แต่ตัวตนต่างกันราวฟ้ากับเหว ยิ่งเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายก็ยิ่งกดดัน

เสี่ยวเถียนจำอดีตผู้นำท่านนี้ได้ ก่อนหน้านี้เคยไปบ้านเขามาแล้ว เลยต้องไม่แนะนำอะไรมาก

“สวัสดีค่ะคุณปู่ต่ง หนูชื่อซูเสี่ยวเถียน ท่านเคยเจอหนูมาก่อนหน้านี้แล้วค่ะ” เสี่ยวเถียนเอ่ยอย่างเป็นกันเอง

ว่าจบก็ไม่ลืมแนะนำพี่ ๆ ให้เขาได้รู้จัก

เด็กหนุ่มไม่ได้เป็นกันเองเท่าเสี่ยวเถียนขนาดนั้น แต่พอน้องสาวแนะนำตัวแทนให้ก็หาเสียงตัวเองเจอแล้วกล่าวบ้าง

“พี่ครับ พี่เป็นคนที่โชคดีจริง ๆ เลย ดูสิ หลานชายหลานสาวโดดเด่นกันทุกคน” ต่งหยวนจงเอ่ยอย่างจริงใจ

คุณปู่ซูถูมือด้วยความลำบากใจ “ผมรับคำพูดท่านไว้ไม่ได้จริง ๆ พวกเขาเป็นแค่เด็กธรรมดา ๆ ส่วนหลานสาวคนนี้เป็นเด็กเรียบร้อยอยู่บ้างครับ!”

ต่งหยวนจงหัวเราะ “พี่จะสุภาพกับผมไปทำไมเนี่ย? คนอื่นไม่รู้ แต่ผมจะไม่รู้ได้หรือ หลานพี่ห้าคนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ สี่คนที่เหลือแล้วก็หลานสาวอีกคนเรียนที่โรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ด แถมได้ยินว่ามีสามคนเรียนห้องพิเศษด้วยใช่ไหม?”

น้ำเสียงของต่งหยวนจงเต็มไปด้วยความจริง ซึ่งทำให้คุณปู่ซูได้แต่พยักหน้า

“ใช่ เด็ก ๆ พวกนี้จะเรียนหนักกว่าคนอื่นหน่อยน่ะ!”

ต่งหยวนจงพยักหน้า “แค่นี้ก็พอแล้วครับ บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรยากถ้าเราตั้งใจ เด็ก ๆ ตั้งใจเรียน อนาคตของพวกเขาจะเป็นผู้มีความสามารถแน่นอน”

“คุณปู่ต่งไม่ต้องห่วงนะคะ หนูกับพี่ ๆ ตั้งใจเรียนมาก และจะเป็นผู้มากความสามารถร่วมสร้างชาติในภายภาคหน้าค่ะ!” เสี่ยวเถียนกล่าวเสียงเข้ม

ตอนเธอพูด น้ำเสียงไม่ได้จริงจังมากเกินไป มันเหมือนกับรายงานต่อหน้าผู้นำมากกว่า

ต่งหยวนจงหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดไร้เดียงสาและท่าทางจริงจังของเธอ

“มีความมุ่งมั่นจังเลย ดีแล้ว ๆ ปู่ต่งจะรอดูความสำเร็จของหนูในสักวันนะ”

ว่าจบเขาก็หันกลับมาคุยกับคุณปู่ซูต่อ “พี่ครับ บอกตามตรงว่าผมเคยต่อต้านเรื่องห้องเรียนพิเศษของโรงเรียนนี้มาก่อนนะ เพราะคิดว่ามันเหมือนกับการดึงต้นอ่อนช่วยให้เติบใหญ่*[1] ไป”

เอ่ยจบก็หันกลับไปมองเสี่ยวเถียนอีกครั้ง “ตอนนี้ผมคิดว่ามันน่าสนใจบ้างแล้วล่ะ”

เขายังห่วงอยู่เลย ถ้าวิธีการเรียนการสอนมันไม่ดีและเร่งมากเกินไปจะทำร้ายเด็กแทนที่จะประสบความสำเร็จ

แต่ตอนนี้ได้เห็นเสี่ยวเถียน เขาคิดว่าเด็ก ๆ อาจจะมีพรสวรรค์กันตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็ได้ ส่วนเด็กสาวตรงหน้า เขาไม่สงสัยสักนิดเพราะเธอจะประสบความสำเร็จในอนาคต

“คุณปู่ต่งคะ คุณย่าฟ่านไม่ได้มาด้วยหรือคะ?” เสี่ยวเถียนไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ

เพราะไม่รู้ว่าอนาคตห้องนี้จะเป็นอย่างไร แต่คิดว่าน่าจะล้มเหลว เพราะชาติก่อนเหมือนจะไม่เคยได้ยินเลยว่ามีห้องเรียนพิเศษแบบนี้อยู่ด้วย ถ้าไปต่อไม่ไหวก็น่าจะล้มเหลวนั่นละ เพราะงั้นเธอเลยเปลี่ยนเรื่องคุยแทน

ต่งหยวนจงหัวเราะ “สาวน้อยจำได้ด้วยหรือ?”

เสี่ยวเถียนพยักหน้าหงึกหงัก

จำได้อยู่แล้วสิ

ฟ่านชูฟางเป็นผู้หญิงฉลาดและมีคุณธรรม แม้แต่ครอบครัวยากจนแบบเธอก็ไม่คิดรังเกียจ มันทำให้เสี่ยวเถียนประทับใจยิ่งนัก

“คุณย่าฟ่านสวยมากค่ะ แถมยังอ่อนโยนด้วย!”

คำพูดเด็ก ๆ ทำให้อีกฝ่ายมีความสุขนัก

“ถ้าย่าเขาได้ยินหนูชมแบบนี้จะต้องยิ้มกว้างแน่นอน!”

ฟ่านชูฟางเป็นคนที่อ่อนไหวมาก เธอยินดีที่จะได้รับคำชมจากผู้อื่น ยิ่งถ้าออกจากปากเสี่ยวเถียนแล้วละก็ จะต้องมีความสุขแน่นอน

“หนูพูดจริงนะคะ!”

“ฮ่า ๆ ไปบอกย่าเขาเองเถอะ เขากำลังทำอาหารกับย่าของหนูอยู่ในครัวนั่นน่ะ ย่าเขาน่าจะอยากเจอหนู คงรอให้ไปชมอยู่น่ะ”

ที่บ้านมีแต่คนชราอยู่กันสองคน บรรยากาศเงียบเหงาอ้างว้าง ปกติไม่ได้คึกคักแบบนี้หรอก

แถมยังใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหลังใหญ่ จะทักทายใครก็ลำบาก คนปกติก็เข้ามาไม่ได้อยู่แล้วด้วย

ยากมากที่จะหาโอกาสออกมาได้ ต้องใช้ความพยายามพอสมควรเลย

ใคร ๆ ก็อยากเป็นข้าราชการทั้งนั้น แต่ใครจะรู้เล่าว่าพอได้เป็นจริง ๆ กลับไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย

ต่งหยวนจงเริ่มคิดแล้วว่าพาเด็ก ๆ บ้านนี้ไปอยู่ที่บ้านดีไหม

เพราะพี่ชายของเขากับพี่สะใภ้ก็ทำธุรกิจอยู่ ไม่มีเวลาดูแลเท่าไร

*[1] ใจร้อนอยากประสบความสำเร็จเร็ว ๆ แต่มันกลับทำให้เสียหายแทน