เมื่อเห็นว่าท่าทีของจิ่งหมิงฮ่องเต้ดูผ่อนปรนลงกว่าเดิม ไท่จื่อก็กระวีกระวาดลงมาคุกเข่า พร้อมกล่าวด้วยท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ “เสด็จพ่อ พระองค์ต้องตัดสินแทนลูกนะพ่ะย่ะค่ะ! ขนาดลูกที่เป็นไท่จื่อ เจ้าเจ็ดยังกล้าทำถึงเพียงนี้ อีกหน่อยคงไม่มีเรื่องใดที่ไม่กล้าทำ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังคำร้องทุกข์ของไท่จื่อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าสายตายามที่หันไปมองอวี้จิ่นกลับเป็นการพินิจคาดเดา
เจียงจั้นไม่อาจนิ่งเงียบได้อีกต่อไป “ฝ่าบาท เรื่องนี้กระหม่อมเป็นต้นเหตุ มิได้ข้องเกี่ยวกับท่านอ๋อง ขอฝ่าบาททรงลงโทษกระหม่อมแต่เพียงผู้เดียวเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เบนสายตาไปหาเจียงจั้นพร้อมมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย
ไอ้คนโง่เง่านี้มาจากไหน ข้ากำลังสั่งสอนลูกของข้า เหตุใดถึงได้ทะเล่อทะล่าเสนอหน้าเช่นนี้
“เจ้าคือพี่ชายของพระชายาเยี่ยนอ๋องงั้นหรือ” น้ำเสียงเจือความสงสัยลอยไปเหนือศีรษะเจียงจั้น
“พ่ะย่ะค่ะ”
ชั่วขณะนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ใคร่รู้ขึ้นมาจึงกล่าวเสียงเข้ม “ไหนเงยหน้าให้ข้าดูซิ”
เจียงจั้นเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตสุกใสสบเข้ากับดวงตาของฮ่องเต้
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวของจิ่งหมิงฮ่องเต้ หนุ่มผู้นี้ช่างรูปงามยิ่งนัก
คิ้วงามรับกับแววตาสุกใสเฉกเช่นแสงของดวงดาว จากที่เห็นดูเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ช่างเป็นบุรุษหนุ่มใสซื่อ ไร้สิ่งเจือปน
“คนหนุ่มน่ะ มิควรระคายเคืองง่ายเกินไป” ยามได้พบคนหน้าตาดี จิ่งหมิงฮ่องเต้จะมีท่าทีอ่อนลง น้ำเสียงจึงอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไท่จื่อซึ่งยืนอยู่ด้านข้างดวงตาเริ่มเรื่อสีแดง
เสด็จพ่อมิเคยกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงเมตตาเช่นนี้เลย ไยพอเป็นไอ้คนนี้ถึงได้ทำเสียงเล็กเสียงน้อย หรือนี่กำลังจะบอกว่าเรื่องที่เขาถูกต่อยวันนี้จะปล่อยเลยตามเลย
ไม่ได้เป็นอันขาด!
ไท่จื่อแอบหยิกต้นขาตัวเองก่อนจะส่งเสียงร้องครวญคราง
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันขวับไปทันใด
ไท่จื่อกล่าวอย่างน่าสังเวช “โดนเจ้าเจ็ดถีบเข้าหลายครา เอวลูกระบมไปหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ว้าวุ่นใจขึ้นมาโดยพลัน
ภายในห้องทรงพระอักษรมีความเงียบคั่นกลางหลายอึดใจ ทั้งคนที่คุกเข่าและคนที่ยืนต่างก็ไม่มีผู้ใดกล้าหายใจเสียงดัง
“เจ้าเจ็ด เรื่องที่เจ้าก่อวันนี้ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังยิ่งนัก”
อวี้จิ่นหลุบตาลงมองต่ำ พื้นมันปลาบสะท้อนสีหน้าอันสงบนิ่งของชายหนุ่ม
“ลูกมีความผิด ขอเสด็จพ่อลงโทษตามสมควรพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งงันไปชั่วขณะ
ยอมรับง่ายๆ อย่างนี้เลยรึ เขาคิดว่าไอ้ลูกคนนี้จะเล่นลิ้นแพรวพราวเสียอีก
การที่อวี้จิ่นยอมรับผิดแต่โดยดีปัดเป่าโทสะของจิ่งหมิงฮ่องเต้ให้หายไปกว่าครึ่ง ฮ่องเต้กล่าวเสียงเรียบ “วันนี้เจ้าไม่ต้องกลับไปที่จวน แต่ให้ไปนั่งสำนึกผิดที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือน และตัดเบี้ยหวัดเป็นเวลาหนึ่งปี”
การตัดสินโทษถูกใจไท่จื่อเป็นที่สุด
เสด็จพ่อมิได้ตรัสว่า ต้องโทษไปถึงเมื่อไหร่ ฉะนั้นพิธีสักการะฟ้าดินในช่วงฤดูหนาว เจ้าเจ็ดก็ชวดน่ะสิ หลังขึ้นปีใหม่ เสด็จพ่อจำต้องสะสางธุระปะปังอีกนับไม่ถ้วน เจ้าเจ็ดคงถูกขังลืมเป็นแน่ เช่นนั้นก็ปล่อยให้เจ้าเจ็ดถูกขังอยู่ในฝ่ายข้าราชการพลเรือนนั่นแหละดีแล้ว
องค์ชายที่ถูกขังอยู่ในฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์คงไม่ต่างอะไรจากขุนนางที่ถูกขังอยู่ในคุกหลวง เมื่อถึงคราวนั้นจวนเยี่ยนอ๋องคงเป็นสถานที่ที่ใครก็ไม่อยากเฉียดกรายเข้าใกล้เป็นแน่
เมื่อคิดถึงอนาคตที่สดใสนั้นแล้ว ไท่จื่อก็ตื่นเต้นดีอกดีใจจนต้องก้มหน้าเพื่อเก็บซ่อนสีหน้าแห่งความปีติเอาไว้
“ส่วนไท่จื่อ…” จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปหาไท่จื่อ
ไท่จื่อประหม่าขึ้นมาโดยพลัน
เขาเป็นคนถูกต่อย ได้รับบาดเจ็บ แล้วนี่ยังถูกเสด็จพ่อต่อว่าอีกงั้นหรือ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “อีกเดี๋ยวให้หมอหลวงไปดูอาการของเจ้าที่ตำหนักบูรพา เจ้าก็รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี เพราะอีกไม่นานเจ้ามีงานที่ต้องออกไปนอกวัง”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงห่วงใยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นสีหน้ายินดีของไท่จื่อแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ถอนหายใจแต่เพียงในใจ
แค่องครักษ์เดินชนด้วยความไม่ตั้งใจ ไท่จื่อยังไม่ปล่อยผ่าน นั่นทำให้เขารู้สึกผิดหวังในตัวไท่จื่อยิ่งนัก
หากผู้ปกครองจุกจิกจู้จี้ ความอดทนต่ำและใจแคบ ราษฎรคงไม่อาจมีชีวิตสุขสงบ…
ความคิดนี้แวบแล่นผ่านเข้ามา ทำให้อารมณ์หมองหม่นของฮ่องเต้จมดิ่งหนักกว่าเก่า
“ทหาร มาพาตัวเยี่ยนอ๋องไปขังที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์…”
ไม่ช้าไม่นาน มีองครักษ์สองนายรี่เข้ามาพร้อมจับแขนซ้ายขวาของอวี้จิ่น
อวี้จิ่นมิได้ขัดขืน เพียงแต่หันไปกล่าวลาฮ่องเต้ “กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันหลังไป ไม่แม้แต่จะหันมามอง จนกระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูถึงได้หันหลังกลับมา
ประตูห้องทรงพระอักษรเปิดอ้า ลมเย็นพัดโชยเข้ามาด้านใน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยืดตัวขึ้นพลางยกมือ “พวกเจ้าก็ออกไปได้แล้ว”
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีความผิด ขอฝ่าบาทลงโทษกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ…” ครั้นเจียงจั้นเห็นอวี้จิ่นถูกพาตัวไปเช่นนั้นจึงรีบก้มศีรษะถึงพื้นทันที
จิ่งหมิงฮ่องเต้นวดบริเวณหว่างคิ้ว พร้อมกล่าวเอ่ยแผ่วเบา “คราวหน้าคราวหลังก็ระวังให้มาก ออกไปเถอะ”
เจียงจั้นยังรอท่าอยากจะพูด เพียงแต่สบสายตาดุดันของพานไห่เสียก่อน จึงได้แต่ถอยออกไปเงียบๆ
พานไห่ลอบถอนหายใจ เจ้าเด็กนี่ช่างโชคดีเหลือเกิน
เพราะเจ้าเด็กนี่ดันไปเดินชนไท่จื่อ และไท่จื่อก็ถือสาเอาความเสียด้วย หากเรื่องนี้มิได้ร้อนถึงฝ่าบาท เด็กนี่คงถูกขับออกจากหน่วยองครักษ์จินอู๋ไปแล้ว ทว่ายามนี้กลับรอดตัวไปได้เสียอย่างนั้น
จุ๊ๆ คนโง่ก็มีพรสำหรับคนโง่ซินะ
เจียงจั้นเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร เบื้องหน้าเป็นภาพที่อวี้จิ่นกำลังถูกนายทหารพาตัวไป
เขาเตรียมจะอ้าปาก แต่ก็เกรงว่าจะสร้างความยุ่งยากให้อวี้จิ่นซ้ำสอง จึงได้แต่ยกมือขึ้นทุบศีรษะตัวเองอย่างรำคาญใจ
หากวันนี้มิใช่เพราะเขา เยี่ยนอ๋องคงมิต้องถูกลงโทษ
คล้ายกับว่าอวี้จิ่นสัมผัสได้ ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าก่อนจะหันกลับไปมอง
ทั้งสองรู้จักกันมานาน ถึงได้เข้าใจในทันที เจียงจั้นรี่เข้าไปหา
องครักษ์นายหนึ่งรีบกล่าวเตือน
“รบกวนท่านทั้งสองครู่หนึ่ง ข้ามีเรื่องจะบอกกับพี่ชายของภรรยาข้านิดหน่อย” อวี้จิ่นกล่าวเสียงเรียบ
องครักษ์ทั้งสองสบตากัน ลังเลชั่วอึดใจก่อนจะหลีกทางให้
องค์ชายที่ทำผิดก็ยังเป็นองค์ชาย แค่ถูกสั่งให้ไปอยู่ที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือน มิได้ทำผิดร้ายแรง
“ท่านอ๋อง เรื่องวันนี้เป็นความผิดของข้าเอง…”
อวี้จิ่นตัดบทเจียงจั้น “เรื่องเกิดไปแล้วคงแก้อะไรไม่ได้ อย่าไปฟื้นฝอยหาตะเข็บเลยจะดีกว่า เพียงแต่เจ้าช่วยไปที่จวนอ๋อง แล้วฝากบอกอาซื่อว่าไม่ต้องเป็นห่วงข้าก็พอ”
“น้องสี่จะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร นางกำลังตั้งครรภ์อยู่แท้ๆ…”
อวี้จิ่นเอื้อมมือไปจับไหล่เจียงจั้น ก่อนจะออกแรงตบสองสามที “แค่เอาเรื่องที่ข้าทำวันนี้ไปเล่าให้นางฟังเท่านั้นพอ”
ครั้นอวี้จิ่นกล่าวเสร็จ นายทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับก่อนจะเข้ามาพาตัวไป
เจียงจั้นระบายลมหายใจยาวพรูออกมา เมื่อพ้นเขตวังหลวงมาแล้วก็มุ่งหน้าไปยังจวนเยี่ยนอ๋องทันที
เมื่อรู้ว่าเจียงจั้นมาหาที่จวน เจียงซื่อก็เปลี่ยนอาภรณ์ และเดินเข้าไปที่ห้องบุปผา
ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้า เจียงจั้นที่ยืนรออยู่ในห้องก็รีบหันมา “น้องสี่ เกิดเรื่องกับท่านอ๋อง”
รอยยิ้มที่มุมปากของเจียงซื่อหายวับไป “เกิดอะไรขึ้นรึ”
เจียงจั้นเล่าที่มาที่ไป
เจียงซื่อฟังเจียงจั้นเล่าจนจบโดยมิได้เอ่ยแทรก นางเอ่ยถามในตอนท้าย “ดังนั้น ตอนนี้ท่านอ๋องถูกส่งตัวไปขังอยู่ที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์งั้นหรือ”
“อื้อ อีกอย่าง ฝ่าบาทมิได้ตรัสว่าจะปล่อยตัวเมื่อใด เลยไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะถูกขังอยู่ที่นั่นถึงเมื่อไหร่ น้องสี่ เจ้ามิต้องเป็นกังวลไป เดี๋ยวเรามาช่วยกันคิด ว่าจะหาใครมาช่วยกราบทูลฝ่าบาท หากฝ่าบาทอารมณ์ดี ท่านอ๋องอาจจะได้รับการปล่อยตัวก็ได้…” เจียงจั้นพยายามเค้นสมอง แต่จู่ๆ เข้าก็ฟาดเข้าที่หน้าผากตนเอง “จริงซิ น้องสี่ เจ้าเคยรักษาพระเนตรขององค์หญิงมิใช่หรือ ไม่ลองไปขอความช่วยเหลือจากฮองเฮาดูไหม…”
เจียงซื่อหัวเราะแผ่วเบา
เจียงจั้นชะงักงันกับปฏิกิริยาของเจียงซื่อ ชายหนุ่มจ้องมองน้องสาวด้วยสายตางุนงง
“มิต้องหรอก จริงอยู่ที่การถูกขังที่นั่นจะขาดอิสระ แต่ใช่ว่าท่านอ๋องจะต้องใช้ชีวิตรันทดที่ไหนกัน ถูกขังเพียงไม่กี่วันคงไม่เป็นไร”
เจียงจั้นคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป เขากลอกตาพลางถาม “น้องสี่ เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ข้าบอกว่าให้ท่านอ๋องอยู่ที่นั่นสักสองสามวัน มิต้องตามใครมาช่วย” เจียงซื่อกล่าวตอบด้วยท่าทีเบาสบาย
เจียงจั้นยกมือขึ้นลูบหน้า “เดี๋ยวนะ!”
ครั้นเห็นผู้เป็นน้องสาวแสดงอาการไม่สะทกสะท้านเช่นนั้น เจียงจั้นจึงหรี่ตามองพลางกระซิบถาม “น้องสี่ หรือว่าท่านอ๋องอาศัยจังหวะที่เจ้าตั้งท้องแอบไปนอนกับสาวใช้ข้างห้อง”
เจียงซื่อขำพรืด “มีสาวใช้ข้างห้องที่ไหนกันเล่า”
“หรือว่าไปนอนกับบ่าวรับใช้?” เจียงจั้นตกตะลึง