เจียงซื่อไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ นางบ่นอุบอิบ “พี่รอง คิดเพ้ออะไรเนี่ย ไม่มีทั้งสาวใช้ข้างห้อง และทั้งบ่าวรับใช้อะไรทั้งนั้น ข้าทั้งสองยังรักกันดี”
เจียงจั้นยิ่งสับสนหนัก เขาเอ่ยแผ่วเบา “ก็ท่านอ๋องถูกจับไปขัง แต่เจ้ากลับไม่ร้อนใจ ข้าก็นึกว่าท่านอ๋องคงทำผิดเรื่องใดมา”
“ระหว่างพ่อลูก มีโกรธข้ามวันที่ไหนกัน ไม่แน่อีกไม่กี่วันฝ่าบาทคงปล่อยตัวเขาออกมา” เจียงซื่อกล่าวลอยๆ ก่อนจะมุ่งเป้ามาที่เจียงจั้น “พี่รอง ไหนให้ข้าดูมือซิ”
เจียงจั้นรีบซ่อนมือไว้ด้านหลังพร้อมปฏิเสธทันควัน “แค่เป็นแผลถลอกนิดหน่อย ไม่มีอะไรน่าดู”
เจียงซื่อคว้าหมับเข้าที่แขนเสื้อของพี่ชาย พร้อมเอ่ยยืนกราน “ให้ข้าดูหน่อย”
เมื่อหมดหนทางหนีรอด เจียงจั้นจึงต้องจำยอมยื่นมือข้างที่เป็นแผลออกมา
มือที่เคยเรียวงาม บัดนี้หลังมือกลับปูดบวม เนื้อหนังที่เปิดเหวอะหวะคล้ำสีม่วงเข้มชวนขนลุก
เจียงซื่อหรี่ตา นางทั้งปวดใจ ทั้งเจ็บแค้นในคราวเดียวกัน
กล้าเหยียบมือพี่รองจนเป็นสภาพนี้เชียวรึ ไท่จื่อช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน!
“น้องสี่ ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด” เจียงจั้นจะดึงมือกลับ ทว่าเจียงซื่อจับไว้แน่น
“ออกจากวังมาแล้วก็ไม่ไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนเล่า” เจียงซื่อบ่นพร้อมหยิบผ้าออกมาก “ข้าจะทำแผลให้”
เดิมทีเจียงจั้นก็อยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นใบหน้าคร่ำเคร่งของเจียงซื่อแล้วจึงบอกเพียงว่า “ให้อาหมานหรืออาเฉี่ยวมาทำแทนก็ได้ น้องสี่ไม่กลัวเลือดก็จริง แต่ถ้าหลานของข้ากลัวเลือดจะทำอย่างไร”
เจียงซื่อหลุดยิ้ม “พี่รองก็ตลก เด็กน้อยยังอยู่ในท้องของข้าจะไปรู้เรื่องได้อย่างไร”
ถึงปากจะบอกเช่นนั้น ทว่าเจียงซื่อก็สั่งให้อาเฉี่ยวมาทำแผลแทน
อาเฉี่ยวนำสุราและยาเข้ามา จากนั้นใช้ผ้าสะอาดชุบสุรามาเช็ดบาดแผล ขณะที่ทำแผล ใบหน้าของนางเริ่มขาดสี
แผลลึกเพียงนี้ คงเจ็บน่าดู
ทว่าเจียงจั้นกลับไร้ปฏิกิริยาโดยสิ้นเชิง ประหนึ่งว่าคนที่เจ็บมิใช่เขา แต่เป็นคนอื่น เขาหันไปกล่าวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “น้องสี่ ข้าว่าจะหาโอกาสไปเข้าร่วมกองทัพ”
“เข้าร่วมกองทัพ?” เจียงซื่อชะงักไป
เจียงจั้นพยักหน้า “อื้ม หนานหลานกับต้าโจวของพวกเราสู้รบตบมือมาอย่างยาวนาน จากที่ข้าได้ยินมา ทางเหนือก็มีเหตุความไม่สงบอยู่เนืองๆ คนเป่ยฉีเข่นฆ่าปล้นสะดมชาวต้าโจวอยู่ร่ำไป ข้าจึงคิดว่าให้ข้าไปอยู่ที่หนานเจียง หรือที่ดินแดนทางเหนือก็ได้ทั้งนั้น เพราะคงมีเรื่องสนุกกว่าการอยู่เบื่อๆ ในเมืองหลวงเป็นไหนๆ”
ในสายตาคนทั่วไปคงเห็นว่า หน่วยองครักษ์จินอู๋ที่รับหน้าที่คุ้มกันพระราชวังเป็นงานที่น่าภาคภูมิใจ เขาเองก็เคยคิดเช่นนั้น
แต่เพราะความอดสูที่ได้รับจากไท่จื่อในวันนี้ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าความน่าภาคภูมิใจที่ว่าเป็นเพียงลมปาก ยามที่หน่วยองครักษ์จินอู๋ต้องอยู่ต่อหน้าเหล่าเจ้านายในพระราชวัง พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรจากมดเรือดเหลือบไร
เขามิใช่ชายหนุ่มตัวคนเดียว ข้างหลังยังมีจวนตงผิงปั๋ว และมีน้องสี่ หากเกิดเร้าโทสะซัดหน้าผู้สูงศักดิ์สักคน คงนำความเดือดร้อนมาสู่คนอีกมาก เหมือนอย่างในวันนี้…
อีกอย่าง เขามิได้มีความอดทนสูง ที่ยอมให้ผู้อื่นกดขี่ข่มเหง หนึ่งครั้งยังทนได้ สองครั้งอาจจะยังทนได้ แต่เขาไม่รู้ว่าความอดทนนี้จะหมดลงที่ครั้งใด
หากต้องเป็นนกขมิ้นกัดกินความขมขื่นในเมืองหลวง สู้ไปเป็นนกอินทรีที่สยายปีกที่ชายแดนยังดีเสียกว่า สุดท้ายแม้ต้องแลกมาด้วยชีวิต แต่อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าเสียสละเพื่อต้าโจว
บุรุษผู้พลีกายเพื่อชาติ ไม่มีเรื่องใดต้องเสียดาย
เมื่อได้ยินเจียงจั้นกล่าวเช่นนั้น ปฏิกิริยาแรกของเจียงซื่อคือคัดค้าน
ในสนามรบมีคมดาบรอบทิศ พลาดเพียงนิดเดียว หนึ่งชีวิตอาจดับสูญ จะมีเรื่องสนุกได้อย่างไรกัน มีแต่เรื่องให้อกสั่นขวัญแขวนน่ะสิไม่ว่า
แต่เมื่อเห็นแววตาประกายสดใสของพี่ชายแล้ว นางก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำคัดค้านได้แม้แต่คำเดียว
นางเป็นห่วงพี่ชาย นางเปลี่ยนชะตาของพี่ชายที่ต้องจบชีวิตก่อนวัยอันควรโดยที่พี่ชายของนางไม่รู้ตัว แต่ถึงกระนั้น ชีวิตของพี่รองก็ยังเป็นของพี่รอง ต่อให้นางทำด้วยความหวังดี แต่อย่างไรก็นางก็ไม่มีสิทธิ์ไปควบคุม
“น้องสี่ เจ้าจะว่าอย่างไร” เจียงจั้นถามพร้อมสายตาแห่งความหวัง
ขณะนั้นอาเฉี่ยวกำลังใช้ผ้าสะอาดชุบสุราเช็ดทำความสะอาดบริเวณปากแผล ความเจ็บแสบทำให้เจียงจั้นหน้านิ่วขมวดคิ้ว
เจียงซื่อถอนหายใจแต่เพียงในใจก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน “หากพี่รองคิดดีแล้วก็ตามแต่พี่รองเถิด”
ดวงตาเจียงจั้นเปล่งประกาย
การอนุญาตจากน้องสี่สำคัญต่อเขาอย่างมิต้องสงสัย
เจียงซื่อกล่าวเสริม “เพียงแต่พี่ต้องระวังตัวให้มาก ไม่ทำให้คนข้างหลังต้องเป็นกังวล”
เจียงจั้นยิ้มกว้าง “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
ท่าทีเริงร่าของเจียงจั้นทำให้เจียงซื่อยิ้มตาหยี จนกระทั่งพี่ชายกลับไปแล้ว นางถึงได้หุบยิ้ม
อวี้ชีถูกขังอยู่ในฝ่ายข้าราชการพลเรือน จะให้บอกว่าไม่เป็นห่วงเลยคงมิได้ แต่หากถามว่าเป็นห่วงมากขนาดนั้นหรือไม่ ก็คงไม่เช่นกัน
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะนางรู้ว่าเรื่องนี้จะส่งผลดีในท้ายที่สุด
อีกไม่นานก็จะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว การปลดไท่จื่อครั้งที่หนึ่งขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ อีกเดี๋ยวโทษจากการทำผิดต่อไท่จื่อก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไปแล้ว
เมื่อหวนคิดถึงสาเหตุที่ไท่จื่อถูกปลด เจียงซื่อก็เลิกคิ้วขึ้น
บางทีฮ่องเต้อาจคิดว่าอาจิ่นช่วยระบายความแค้นแทนเขาล่วงหน้า?
เหมันตฤดูในรัชศกจิ่งหมิงปีที่สิบเก้าที่กำลังจะมาถึงช่างน่าตื่นเต้นเสียนี่กระไร นางหวังเพียงว่าอวี้จิ่นจะหลุดรอดจากเรื่องนี้ไปได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นเมื่อนางได้ฟังสิ่งที่เจียงจั้นเล่า นางก็เข้าใจความหมายของอวี้จิ่นทันที
ทั้งได้ชกไท่จื่อเพื่อระบายความแค้นแทนพี่รอง อีกทั้งยังไม่ต้องไปร่วมงานพิธีในฤดูหนาว ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
“เพียงแต่ บ้าบิ่นไปเสียหน่อย” เจียงซื่อปรารภด้วยความงุ่นง่าน นางสั่งให้อาเฉี่ยวเตรียมของอร่อยไปส่งที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์
เรื่องที่อวี้จิ่นทำร้ายไท่จื่อจนถูกกักบริเวณลือกระฉ่อนไปในเวลาอันรวดเร็ว
ในตอนนั้นเอง ความคิดของเหล่าองค์ชายที่เคยผ่านเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทเมื่อปีก่อนก็จมดิ่งลงทันใด
ขนาดไท่จื่อ เจ้าเจ็ดยังกล้าต่อย เช่นนั้นที่ลงไม้ลงมือกับพวกเขาก็นับว่าเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วน่ะซิ
เรื่องสนุกเช่นนี้พลาดไม่ได้!
ต้องไปเยี่ยมไท่จื่อก่อน ไปดูซิว่าอาการตอนนี้เป็นอย่างไร แล้วค่อยไปดูเจ้าเจ็ด
……
ภายในตำหนักบูรพา วินาทีที่แพทย์หลวงบรรจงถูยาลงไป เสียงโอดครวญของไท่จื่อก็ดังสนั่นหวั่นไหว
ไท่จื่อทั้งครวญครางทั้งก่นด่าออกมาพร้อมๆ กัน “ไอ้เจ้าเจ็ด ไอ้คนชั่ว ถ้าข้าได้ขึ้นเป็นพระราชาเมื่อไหร่ ข้าจะลงทัณฑ์ในฐานทรยศ และจะบั่นคอคนในตระกูลให้หมด!”
“องค์รัชทายาท หลู่อ๋องขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเข้ามารายงาน
ไท่จื่อที่นอนอยู่บนเตียงปั้นหน้าบึ้งตึง “ไม่อนุญาต!”
ขันทีรีบวิ่งออกไป และไม่นานก็กลับเข้ามารายงานอีกครั้ง “องค์รัชทายาท ฉีอ๋องมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ…”
ไท่จื่อกล่าวอย่างเดือดดาล “ไม่ต้องเข้ามารายงานแล้ว ข้าไม่พบผู้ใดทั้งนั้น!”
จะให้ไท่จื่อผู้สง่างามที่หน้าบวมฉึ่งเป็นหัวหมูไปเจอผู้คนได้อย่างไร เห็นชัดๆ ว่าไอ้เด็กเวรพวกนี้จงใจมาหัวเราะเยาะ
ครั้นไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าบวมเป็นหัวหมูของไท่จื่อ เหล่าองค์ชายก็ต้องผิดหวังไปตามๆ กัน พวกเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์
หลู่อ๋องไปถึงเป็นคนแรก เขายัดพวงเงินใส่มือทหารเฝ้าประตูก่อนจะเข้าไปหาอวี้จิ่น
ห้องเปล่าไม่ต่างอะไรจากคุก แต่ถึงกระนั้นก็โล่งโปร่งสบาย ไม่มีแมลงร้ายหรืองูพิษ
อวี้จิ่นนั่งอยู่ริมหน้าต่างพลางเบนสายตามาทางหลู่อ๋อง
“น้องเจ็ด นี่เจ้าต่อยไท่จื่อจริงๆ งั้นรึ”
อวี้จิ่นเลิกคิ้ว
เหตุไฉนเขาถึงเห็นความสะใจในสายตาของเจ้าห้า
“อื้อ” อวี้จิ่นตอบรับเย็นชา
หลู่อ๋องกวาดตาสำรวจรอบห้องเร็วรี่ ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้อวี้จิ่นแบบกระมิดกระเมี้ยน “น้องเจ็ด เจ้านี่มันจริงๆ เลย”
เขาอยากต่อยไท่จื่อมานานแล้ว เป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่ครั้งยังเด็ก เสียดายที่ไม่เคยทำให้ฝันเป็นจริง
เขาตัดสินใจแล้ว ต่อไปนี้เขาจะไม่ถือสาที่เจ้าเจ็ดเคยต่อยเขาอีกแล้ว
อวี้จิ่นดึงมุมปากพลางกล่าวเตือน “พี่ห้าก็ระวังปากไว้หน่อย อย่าได้มาอยู่เป็นเพื่อนข้าในนี้เลย”
หลู่อ๋องหัวเราะคิกคัก “ไม่คิดเลยว่าน้องเจ็ดจะคิดแทนข้า ข้าดูจนพอใจแล้ว พี่ๆ น้องๆ ยังต่อแถวรอพบเจ้าอีกยาวเหยียด ข้าไปก่อนนะ”