คนถัดมาที่มาเยี่ยมคือฉีอ๋อง
ฉีอ๋องเผยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยเหนือคณา “น้องเจ็ด ข้าได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้หมดแล้ว เจ้าหุนหันพลันแล่นเกินไป”
“หึ” หากเทียบกับหลู่อ๋องแล้ว อวี้จิ่นเย็นชากับฉีอ๋องมากกว่า
ฉีอ๋องเก็บงำความไม่พอใจไว้ในส่วนลึก พลางกล่าวเพื่อคลายกังวล “เจ้ามิต้องกังวล รอเสด็จพ่ออารมณ์ดีขึ้นอีกหน่อย ข้าจะลองไปขอร้องดู ไม่แน่เสด็จพ่ออาจจะปล่อยตัวเจ้าก็เป็นได้…”
“คงมิต้องลำบากพี่สี่หรอกกระมัง ข้าว่าอยู่ในนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
มุมปากฉีอ๋องกระตุกวูบเพราะไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไร
ไม่เคยเห็นเจ้าเจ็ดแสดงท่าทีไม่ดื้อด้านพูดไม่ฟังเช่นนี้มาก่อนเลย
ในชั่วอึดใจ ฉีอ๋องพยายามสรรหาคำพูด “น้องเจ็ด อย่างไรเราทั้งคู่ก็เกิดจากท้องมารดาเดียวกัน ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ไม่มีผู้ใดมีสายเลือดใกล้ชิดกว่านี้อีกแล้ว น้องเจ็ดอย่าได้เกรงใจเลย”
อวี้จิ่นหัวเราะแผ่วเบา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พี่สี่ก็มิต้องอ้อมค้อม ได้ยินพี่ห้าบอกว่ายังมีคนต่อแถวรออยู่อีกยาวเหยียด พี่สี่อย่ามัวพิรี้พิไรเสียเวลาอยู่ที่นี่เลยจะดีกว่า”
ทำมาเป็นพูดดีเช่นนี้ หมายจะซื้อใจเขาให้ช่วยสนับสนุนอีกแรงกระมัง เจ้าสี่ช่างหนาหน้าเสียจริง
เหตุใดคนเช่นนี้ถึงได้เป็นพี่น้องแท้ๆ กับเขานะ
อวี้จิ่นครุ่นคิด หลับตาลงคร้านจะใส่ใจฉีอ๋อง
คนมารยาทงามอย่างฉีอ๋องไม่อาจลงจากเวทีในสภาพเช่นนั้นได้ จึงเปลี่ยนเรื่อง “น้องเจ็ด เจ้าเติบโตที่นอกวังหลวง ทั้งยังหนุ่มยังแน่น พี่อยากจะเตือนเจ้าว่า หากเจ้าทำผิดต่อทุกผู้ทุกคนเช่นนี้ เกรงว่าวันข้างหน้าจะไม่เหลือหนทางให้หยั่งเท้า…”
อวี้จิ่นลืมตาพลางส่งยิ้ม “พี่สี่กังวลเกินไป หากไม่เหลือหนทางให้หยั่งเท้า ข้าก็จะอยู่แต่ในจวนอ๋อง ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ฉีอ๋องดึงมุมปากก่อนตัดใจจากไปในที่สุด
ผ่านไปไม่นาน สู่อ๋องก็ปรากฏกายต่อหน้าอวี้จิ่น
“น้องเจ็ดไม่กลัวว่าพระชายาจะเป็นกังวลหรืออย่างไร ว่ากันว่าคนท้องมิควรถูกเรื่องใดกระทบกระเทือน…”
ครั้นเห็นอวี้จิ่นถูกขังอยู่ในห้องโล่งโจ้งเช่นนี้ สู่อ๋องก็ผาสุกอย่างยิ่งยวด
เพราะตั้งแต่ได้ทราบข่าวว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องตั้งครรภ์ ทั้งเขาและพระชายาก็รู้สึกกดดันเป็นเท่าตัว ทุกครั้งที่เสร็จกิจจะพะวงว่าคราวนี้จะติดหรือไม่
ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาเพิ่งอภิเษกเพียงไม่นาน ไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะเจ้าเจ็ดเพียงคนเดียว!
“เรื่องในครอบครัวข้า คงไม่ต้องลำบากพี่หก” อวี้จิ่นเอนตัวพิงกำแพงเย็นเยียบพร้อมอาการปวดหัวหนึบ
ฝ่าบาทมีโอรสเยอะเกินไปแล้ว เขากับอาซื่อมีลูกคนเดียวก็พอ จะได้มิต้องวุ่นวายเพียงนี้
ครั้นไล่เหล่าองค์ชายกลับไปหมดแล้ว ในที่สุดก็มีเรื่องน่ายินดีเสียที มีอาหารมาส่งจากจวนเยี่ยนอ๋อง
อาหมานเป็นคนนำอาหารมาส่งโดยมีหลงต้านเป็นคนพามา
“พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง”
อาหมานรีบตอบ “พระชายาทรงสบายดีเพคะ เหนียงเหนียงให้บ่าวมากราบทูลท่านอ๋องว่ามิต้องเป็นกังวลเรื่องภายในจวนเพคะ…”
อาหมานเปิดสำรับอาหารออกมาทีละชั้นๆ และนำอาหารออกมาวางเรียงราย
สำรับอาหารมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นแรกสุดเป็นประเภทต้มพะโล้ ซึ่งมีขาหมูตุ๋นชิ้นโตที่ถูกฝานเป็นแผ่นบางๆ
ขาหมูตุ๋นหันบางโปร่งแสง สะท้อนเงาวาววับ
ชั้นถัดมามีจานอาหารขนาดเล็กอีกเจ็ดถึงแปดจาน อาหารร้อนได้แก่ เนื้อพิราบผัดเหยียนฮวาและเนื้อกระต่ายป่ากงเป่า แต่ละจานถูกปรุงขึ้นอย่างพิถีพิถัน ขณะที่หยิบออกมาวาง อาหารในจานกำลังร้อนได้ที่
ชั้นที่สามเป็นอาหารหลักจำพวกนึ่ง รวมถึงผลไม้สด
ในชั่วพริบตา บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารมากมายละลานตา
คนเฝ้าประตูได้กลิ่นถึงกับน้ำลายส่อ
คนเหมือนกัน ทว่าชีวิตต่างกันราวฟ้ากับเหว แม้ท่านอ๋องจะถูกขัง แต่ก็ยังสวมอาภรณ์แพรไหม และได้รับการปรนนิบัติพัดวีอย่างดี
อวี้จิ่นยกตะเกียบขึ้นคีบอาหารส่งเข้าปากแม้จะอยู่ต่อหน้าอาหมาน
มิได้เป็นการสวาปามไวว่อง เป็นการกินไล่เลียงไปทีละอย่าง ทว่าไม่ช้าไม่นาน อาหารในจานก็ถูกจัดการจนเกลี้ยงเปล่า
ชายหนุ่มใช้ผ้าเช็ดปากก่อนจะยกชาขึ้นดื่มให้คล่องคอ อวี้จิ่นยิ้มพลางบอก “กลับไปแจ้งพระชายาว่า ข้ากินอิ่มนอนหลับดี ไม่มีปัญหาใดให้นางต้องกังวล บอกให้นางดูแลตัวเองและลูกในท้องให้ดี”
อาหมานตอบรับ ครั้นเก็บกวาดจานชามเรียบร้อยแล้วก็จากไปพร้อมหลงต้าน
ในอวี้เหอย่วน อาหมานสาธยายเรื่องทั้งหมดให้นายหญิงฟัง เจียงซื่อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านอ๋องกินอาหารที่ส่งไปหมดเลยงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ เสวยคนเดียวหมดเลยเจ้าค่ะ พระชายาวางพระทัยได้ จากที่บ่าวเห็น ที่นั่นดูอยู่สบาย ส่วนผ้าห่มก็หนาพอเหมาะดี”
เจียงซื่อซักไซ้รายละเอียดเพิ่มเติมกว่าจะวางใจ
……
พระกายหารกลางวันของจิ่งหมิงฮ่องเต้ถูกจัดไว้ที่พระตำหนักคุนหนิง
ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮารับประทานอาหารจนเสร็จโดยที่ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ย จากนั้นก็ยกชาร้อนขึ้นมาจิบ
“ฝ่าบาท ได้ยินมาว่าเยี่ยนอ๋องทำความผิด เลยถูกส่งเข้าไปที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์…”
เดิมทีฮองเฮาถือว่าเรื่องของเหล่าองค์ชายมิได้เกี่ยวข้องกับตน ทว่าบัดนี้อวี้จิ่นมิได้อยู่ในสถานะเช่นนั้น
เนื่องจากพระชายาเยี่ยนอ๋องได้รักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงจนหายดี อีกทั้งสองสามีภรรยาคู่นี้ยังได้จับได้ว่าเฉินเหม่ยเหรินคิดร้ายกับบุตรีของนางมานานหลายปี นั่นยิ่งทำให้ฮองเฮารู้สึกชื่นชมยิ่งนัก
บุญคุณยากจะทดแทน หากฮองเฮาไม่ออกหน้า นางคงได้กลายเป็นคนไม่เห็นแก่บุญคุณ
ครั้นได้ยินฮองเฮาเอ่ยถึงเรื่องนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็พอใจอย่างยิ่ง
เพราะเขากำลังรอให้ฮองเฮาเปิดประเด็น
ตอนแรกที่ส่งเจ้าเจ็ดเข้าไปขังก็มิได้รู้สึกอะไร แต่ครั้นนึกขึ้นได้ว่าสะใภ้เจ็ดกำลังตั้งครรภ์ จึงรู้สึกผิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
สตรีเพศเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อย หากสภาพจิตใจของสะใภ้เจ็ดได้รับการกระทบกระเทือนขึ้นมา แล้วส่งผลกระทบกับลูกในท้องจะทำอย่างไร
“แม้แต่ไท่จื่อก็ยังกล้าต่อย ไม่ลงโทษคงไม่ได้!”
ฮองเฮาพยักหน้าเชิงเห็นพ้อง “เห็นควรแก่การลงโทษเพคะ เพียงแต่พระชายาเยี่ยนอ๋องกำลังตั้งครรภ์ เกรงว่าเรื่องนี้จะส่งผลกับนางด้วยเพคะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามอย่างใจเย็น “สะใภ้เจ็ดเข้าวังมาขอความช่วยเหลือจากเจ้างั้นหรือ”
“หาไม่เพคะ” ฮองเฮาใคร่ครวญก่อนตอบ “ไม่แน่นางอาจไปขอความช่วยเหลือจากเสียนเฟยเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้กล่าวต่อ แล้วหัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปเป็นเรื่องขององค์หญิงฝูชิง สนทนากันเพียงไม่นาน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ขอตัวไปที่ตำหนักอวี้เฉวียน
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักอวี้เฉวียน เรื่องของเฉินเหม่ยเหรินก็ผุดขึ้นมาในหัว
แม้ว่าในสวนของเฉินเหม่ยเหริน เถาวัลย์ของดอกโกวเหวิ่นจะถูกถอนเผาไฟจนเหี้ยนเตียนแล้ว แต่ความรู้สึกของจิ่งหมิงฮ่องเต้ยังไม่ใคร่ดีนัก
หากไม่มีความจำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่อยากมาเหยียบที่นี่
การมาถึงของจิ่งหมิงฮ่องเต้สร้างความประหลาดใจให้แก่เสียนเฟยอย่างยิ่งยวด
ฝ่าบาทมิได้เสด็จมาที่นี่นานแล้ว…
ใช่แน่ ที่ฝ่าบาทเสด็จมาต้องเป็นเพราะเรื่องเจ้าเจ็ดอย่างแน่นอน
ครั้นคิดถึงอวี้จิ่น เสียนเฟยก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า
เป็นเช่นนี้ร่ำไป ไอ้ลูกบังเกิดเกล้าคนนี้ยามมีเรื่องดี นางเหมือนเป็นคนอื่นคนไกล แต่ครั้นทำผิดมาเมื่อไหร่ นางตกเป็นเป้าให้ฝ่าบาทประณามทุกครั้งไป
ตามระเบียบของวังหลวง ทุกๆ วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของทุกเดือน พระชายาของเหล่าองค์ชายจะต้องเสด็จเข้าวังมาน้อมทักเสด็จแม่ ถึงแม้แต่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ก็มิได้รับการยกเว้น
เมื่อข่าวที่เจียงซื่อตั้งครรภ์กระจายออกไป เสียนเฟยก็กำลังรอให้นางเข้าวังมาน้อมทัก เพราะต้องการเสนอเรื่องการหาอนุภรรยาให้อวี้จิ่น ทว่านางกลับไม่โผล่หน้ามาที่วังเสียอย่างนั้น!
ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้ตรัสให้รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี แล้วนางก็เชื่อตามไปอย่างนั้น เพราะหากเป็นเช่นนั้น ลูกสะใภ้ประเภทนี้จะมีประโยชน์อันใด
เสียนเฟยโกรธขึ้งแต่มิได้แสดงออก นางไม่คิดว่าบุตรชายบังเกิดเกล้าของตัวเองจะก่อเรื่องซ้ำเป็นครั้งที่สอง
“เรื่องของเจ้าเจ็ด เจ้าคงได้ยินมาบ้างแล้ว?”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสถาม เสียนเฟยปั้นหน้าเคร่งขรึมพลางตอบ “เจ้าเจ็ดทำผิดร้ายแรงต่อไท่จื่อ ฝ่าบาทมิต้องสนพระทัยหม่อมฉัน เชิญพระองค์ลงโทษตามสมควรได้เลยเพคะ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มหายใจติดขัดพร้อมกล่าว “ภรรยาเจ้าเจ็ด…”
เสียนเฟยเอ่ยตัดบททันควัน “ต่อให้นางจะมาวิงวอนขอร้องหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะไม่เอนเอียงเด็ดขาดเพคะ ฝ่าบาทโปรดลงโทษอย่างยุติธรรมด้วยเถิดเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ “…”
เขาบอกแล้วว่า นับวันตำหนักอวี้เฉวียนยิ่งแปลกพิลึกเข้าไปทุกที!