บทที่ 467 ในวันเซ่นไหว้

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 467 ในวันเซ่นไหว้

หานแสกล่าวทีละคำ

เรื่องเข้าร่วมการเผาดอกกระดูกขาวที่สวนว่างฮัว เขาใช้ชื่อหานแสในการทำเรื่อง เขารู้ว่าราชครูเทียนเวิงจะต้องสืบมาถึงเรือแห่งความสิ้นหวังได้ไม่ช้าก็เร็ว ปิดได้ช่วงเวลาหนึ่งไม่สามารถปิดได้ตลอดชีวิต

แต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้……

เกินความคาดหมายของเขาไปมาก

“ตายแล้ว เห็นว่าจะไม่ใช่ล่ะมัง? หากว่านางตายแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้? พูด นางอยู่ไหนกันแน่?

ไม่เช่นนั้น ไม่เพียงแค่ชีวิตของเจ้า แม้แต่เรือแห่งความสิ้นหวังนี้ ก็จะต้องโดนทำลายเหมือนกับที่พวกเจ้าทำลายสถานที่เลี้ยงบำรุงดอกกระดูกขาวเช่นนั้น”

“ฝันไปเถอะ!”

เมื่อสองคำที่เย็นชาเปล่งออกมา

สีหน้าราชครูเทียนเวิงเปลี่ยนทันที มือข้างนั้นที่ได้ขับเคลื่อนกำลังภายในไว้นานแล้ว โจมตีไปทางหานแสโดยตรง

แต่หานแสได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว แม้ว่าจะเตรียมตัวหลบไว้ดีแล้ว แต่ความเร็วของราชครูเทียนเวิงชั่งน่าตะลึงจริงๆ พอหลบการโจมตีเมื่อครู่ การโจมตีครั้งที่สองก็ได้โจมตีมาทางเขาแล้ว

ทั้งสองต่อสู้กันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“พู่ว!”

ผ่านไปเพียงแค่เจ็ดแปดกระบวนท่า ฝ่ามือของราชครูเทียนเวิงก็ตีไปบนไหล่ของหานแส เลือดกระอักออกจากปาก พ่นลงเป็นรูปดอกไม้เลือดสั่นไหวบนพื้น

มองดูเลือดสีแดงสด ราชครูเทียนเวิงยิ้มแล้ว

“กินยาถอนพิษดังคาด”

หากว่าในร่างกายของหานแสยังมีพิษกู่จิ้น เลือดจะไม่สามารถเป็นเช่นนี้ได้

แม้เป็นเช่นนี้ หานแสก็จะไม่ปริปากเด็ดขาด เขาขับเคลื่อนกำลังภายในทั้งร่างกาย ต่อสู้กับราชครูเทียนเวิงอีกครั้ง

เดิมทีอยากใช้มือขวาที่สามารถเปลี่ยนเลือดเนื้อของมนุษย์ได้ ต่อกรกับราชครูเทียนเวิง ทำอะไรไม่ได้ราชครูเทียนเวิงรู้ความตั้งใจของเขา ไม่ให้เขามีโอกาสแม้สักนิด แล้วก็ได้โจมตีให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกครั้ง

หานแสงงงัน!

กำลังภายในของราชครูเทียนเวิงได้ถึงขึ้นที่น่ากลัวถึงขีดสุดแล้ว

เขาลุกขึ้นมาอีกครั้ง ขับเคลื่อนกำลังภายในสิบสองส่วน วางแผนเป็นการโจมตีครั้งสุดท้าย หลังจากที่ปล่อยกำลังภายในออกไป เมื่อร่างกายสีม่วงเข้มหมุน หานแสเปลี่ยนเส้นทางในพริบตา ทะลุออกไปจากหน้าต่างโดยตรง มุดลงไปในน้ำทะเล

ราชครูเทียนเวิงแฉลบตัวมาถึงบนระเบียงในพริบตา มองดูน้ำที่สาดกระเซ็นบนผิวทะเลสาบ สีหน้าเย็นชาลงมาก มุมปากกลับเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายขึ้น

“คิดว่ามุดลงในน้ำ ก็จะสามารถหนีพ้นแล้วหรือ?”

เช่นนั้นก็ชั่งดูถูกข้าไปแล้ว

ว่าแล้ว!

จึงเหาะสูงขึ้นไป มุดลงไปในน้ำด้วยความรวดเร็ว ไม่ถึงชั่วพริบตา ชุดสีม่วงก็ได้ผุดขึ้นจากน้ำ พูดให้ถูกคือโดนตรงนั้นตีขึ้นมา จากนั้นก็ตกไปบนดาดฟ้าของเรือแห่งความสิ้นหวัง

“พู่ว!”

กระอักเลือดอีก

เวลานี้ หานแสนอนอยู่บนดาดฟ้าของเรือสะบักสะบอมเป็นที่สุด เขาลองดิ้นรนเพื่อจะลุกขึ้น แต่ทำอะไรไม่ได้เจ็บไม่มีแรงไปทั้งร่าง ลองหลายครั้งแต่ก็ลุกไม่ขึ้น

หลังจากนั้น

“เหอะเหอะเหอะ……”

เขากลับหัวเราะเสียงต่ำขึ้นมา แล้วได้นอนบนพื้นไม่ขยับอีกเลย

“ปึงปึงปึง”

มีคนถูกโยนมาแทบขาเขาอีกสองสามคน เขาลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก นัยน์ตาหรี่ลง จากนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยออกมา ท่าทีราวกับว่าไม่สนใจ

ที่อยู่ข้างเท้าของหานแสคือป่ายเม่ยเซิงพวกเขา แต่ละคนบาดแผลเต็มตัว ทั้งร่างกายเป็นเลือด

ขณะนี้ หนึ่งคนหนึ่งเงาบินตกลงมาอยู่บนราวบันไดดาดฟ้าของเรือ มองดูมนุษย์เลือดสองสามคนบนพื้นอย่างเงียบๆ

เวลานี้!

เงาปีศาจผู้หนึ่งมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว :

“รายงานราชครู คนในเรือแห่งความสิ้นหวัง ที่ควรฆ่าก็ฆ่าแล้ว ที่ควรพามาก็พามาแล้วขอรับ”

“อืม!”

มองดูแสงเพลิงที่หนาแน่นของเรือแห่งความสิ้นหวัง ราชครูเทียนเวิงยิ้มด้วยความพอใจ จากนั้นก็ถาม “ฝั่งของเราตายไปเท่าไหร่?”

ในน้ำเสียงราวกับแฝงความโอ้อวด และเหมือนกับดูหมิ่นว่าคนของเรือแห่งความสิ้นหวังอ่อนด้อยขนาดไหน

“นักฆ่าเงาปีศาจตาย ตายแล้วห้าสิบกว่าคน บาดเจ็บแล้วสามสิบกว่าคน ทำลายศัตรูเกือบสี่ร้อยคนขอรับ”

“อะไร”

ได้ยินตัวเลขนี้ แววตาของราชครูเทียนเวิงเปลี่ยนไปทันที ฝ่ามือหนึ่งตีผู้ที่มารายงานตายไปที่พื้นโดยตรง เพื่อระบายความคับแค้นในใจ

เรือแห่งความสิ้นหวังที่จิ๊บจ๊อย สามารถสังหารนักฆ่าที่เขาภาคภูมิใจที่สุดไปกว่าห้าสิบคนอย่างเกินคาด นี่ยังเป็นสถานการณ์การภายใต้การซุ่มสังหารนักฆ่าที่ดำน้ำอยู่ใต้น้ำของเรือแห่งความสิ้นหวังอีกด้วย

ดูท่า

เขาดูถูกเรือแห่งความสิ้นหวังแล้ว

ไม่เช่นนั้น…….

เงาปีศาจเหล่านั้นยังต้องตายมากขึ้น

เป็นดังคาด!

ไม่ว่าจะฝึกฝนเช่นไรพวกเขาก็ต้องตาย หากว่าเอาเงาปีศาจเหล่านี้ฉีดพิษกู่จิ้นเข้าไป ใช้วิชาการควบคุมพิษกู่เพิ่มเติม ต่อกรกับเรือแห่งความสิ้นหวังที่จิ๊บจ๊อย เดิมทีก็ไม่ต้องเปลืองแรง

น่าเสียดาย……

สามปีก่อนประสบกับผลสะท้อนกลับของวิชาการควบคุมพิษกู่ ร่างกายได้รับความเสียหาย กำลังภายในยังไม่ได้ฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์ บวกกับอายุขนาดนี้แล้ว ไม่มีสิบปีแปดปีเดิมทีก็ไม่มีทางฟื้นฟูได้ทั้งหมด

ใช้วิชาการควบคุมพิษกู่อย่างบุ่มบ่าม เกรงว่าชีวิตแก่นี้จะเป็นอันตราย!

“ข้าควรเรียกเจ้าว่าท่านชายหยิ่ง? หรือว่าเจ้าเรียกว่าหานแสล่ะ?”

หานแสไม่ตอบ ขมวดคิ้วแน่น มุมปากกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแห่งความชั่วร้าย เลือดสดไหลออกมาจากรอยยิ้มมุมปาก หยดหนึ่ง “ติ้งติ้ง” ย้อยลงพื้น

เห็นดังนั้น!

ราชครูเทียนเวิงก็ไม่กลุ้มใจ

“คิดว่าไม่พูด ข้าก็ไม่รู้ว่าตอนนี้นางเป็นใครและตอนนี้อยู่ที่ไหนหรือ?” เขาควรจะคิดได้ตั้งนานแล้ว น่าเสียดายตอนนี้ทักษะการหลอกคนของคนหนุ่มสาวชั่งสูงนัก คิดไม่ถึงว่าจะถูกพวกเขาหลอกลวงมาตั้งนาน “เทพธิดา ยังเป็นบุคคลที่เก่งกาจผู้หนึ่งจริงๆนะ! ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร”

เมื่อคำพูดนี้ออกไป

รอยยิ้มของหานแสก็แข็งทื่อ หรี่ตาลง มองไปที่ราชครูเทียนเวิงในพริบตา และราชครูเทียนเวิงเวลานี้ก็ได้จับจ้องเขาติดๆ ใบหน้าเผยถึงรอยยิ้มที่แปลกประหลาด

พิธีเซ่นไหว้ใหญ่จัดขึ้นที่บวงสรวงเทพแห่งสวรรค์ของเชื้อพระวงศ์

วันนี้ยิ่งใหญ่เป็นทางการและศักดิ์สิทธิ์ และอันตรายหนักหน่วงเช่นกัน เป็นวันหนึ่งที่มีแต่แผนการร้าย

ก่อนวันเซ่นไหว้จะมาถึง ฮ่องเต้ได้สั่งการให้คนดำเนินการจัดเตรียมงานขนาดใหญ่ ใช้ทรัพยากรคนและวัสดุเป็นจำนวนมาก สำหรับสิ่งก่อสร้างรวมทั้งเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆในการบวงสรวงเทพแห่งสวรรค์ ดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งหมด ซ่อมแซมถนนแต่ละสายที่ต้องผ่านจากพระราชวังของเมืองหลวงไปถึงวันเซ่นไหว้ สามารถอธิบายได้ว่าเป็นการเผยโฉมใหม่หมด

ไม่มีการสร้างบ้านบนแท่นเซ่นไหว้ที่กว้างใหญ่ แต่มีการก่อสร้างศาลเจ้าชั่วคราว แท่นบูชาเซ่นไหว้เทพเจ้าหลายองค์ หน้าแท่นบูชาวางหยก ผ้าแพรรวมทั้งวัวทั้งตัว แกะทั้งตัวและเหล้า ผลไม้ อาหารคาวและเครื่องเซ่นต่างๆจำนวนมาก

เพียงแค่ภาชนะใส่เครื่องเซ่นไหว้และเครื่องใช้ในพิธีแต่ละชนิดทุกอย่าง ก็มากกว่าหนึ่งร้อยชิ้น

แต่ฮ่องเต้ต้องการขึ้นไปถึงบนหอสักการะฟ้า ต้องผ่านบันไดสามชั้น บันไดแต่ละชั้นมีบันไดสองข้าง ล้วนมีองครักษ์วังหลวงที่กำยำและเคร่งขรึม ถือมีดคอยเฝ้ารักษา

ด้านล่างที่บวงสรวงเทพแห่งสวรรค์ เป็นพื้นที่ราบกว้างโล่ง ที่นี่เป็นสถานที่เซ่นไหว้ทหารขุนนางโดยเฉพาะ รอบข้างพื้นที่กว้างโล่งนี้ ก็เฝ้ารักษาโดยองครักษ์วังหลวงถือมีด

การเซ่นไหว้วันนี้สำคัญเป็นอย่างมาก

และยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ราชสำนักเซ่นไหว้ ดังนั้นจำนวนขององครักษ์วังหลวงเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนมากเป็นสองเท่า

เมื่อถึงเวลา

ทันใดนั้นแตรสัญญาณที่ยาวเหยียดและทุ่มต่ำก็ดังขึ้น เข้าไปในบวงสรวงเทพแห่งสวรรค์ ลำดับแรกต้องผ่านประตูใหญ่ที่สูงและกว้างใหญ่ชั้นแรก

ด้านบนประตูใหญ่เป็นรูปแบบมังกรสีดำบินขึ้นฟ้า แม้เสาสองข้าง ก็แกะสลักเป็นรูปแบบมังกรสีดำพันล้อม

ประตูใหญ่สีแดงสด “แอ๊ด” เปิดออกแล้วเสียงหนึ่ง……

สีหน้าเคร่งขรึม อารมณ์ท่าทางสงบของฮ่องเต้ นำทหารขุนนางก้าวเข้าประตูใหญ่ เดินตรงดิ่งมา

วันนี้คือการเซ่นไหว้

ไม่เหมาะจะสวมชุดคลุมที่สีสันสดใส แม้ฮ่องเต้วันนี้ก็สวมเพียงชุดคลุมฮ่องเต้สีเรียบๆ การแต่งการของเหล่าทหารขุนนางยิ่งธรรมดา

หลานเยาเยาที่เดิมทีแต่งการเรียบๆแต่ดูงาม กลับยังคงเหมือนปกติ สวมชุดสีแดงเลือดเดินอยู่ด้านข้าง

ฮ่องเต้นำบรรดาฝูงชน เดินผ่านพื้นที่โล่งกว้างแล้ว เหล่าทหารขุนนางก็ล้วนหยุดอยู่ตรงนี้ หลานเยาเยาก็ไม่ได้ตามเข้าไป ยืนอยู่ด้านข้างเฉยๆ ก็ยืนอยู่ห่างจากด้านข้างขององค์ชายรัชทายาทเย่หลีเฉิน

แต่ฮ่องเต้เดินไปบนบันไดชั้นที่หนึ่งผู้เดียว จากนั้นเป็นชั้นที่สองชั้นที่สาม แล้วหลังจากนั้นก็เดินไปถึงบนแท่นบูชา ถือธูปที่ยาวและหนาใหญ่ หลังจากคุกเข่าสามครั้งกราบไหว้เก้าครั้งต่อเทพเจ้าแล้ว จึงได้ปักธูปยาวลงในกระถางธูปที่ใหญ่ดั่งเช่นกระถางสำลิดสามขา

มองดูกระถางธูปนั้น หลานเยาเยาปริรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้งขึ้น…