บทที่ 475 กำจัดจุดอ่อน

เมืองหลวง

ห้องหนังสือของต้วนโส่วฝู่

ที่ด้านนอกประตูมีผู้คนยืนรออยู่ สองคนเป็นขุนนาง ส่วนอีกสองคนเป็นลูกศิษย์ของเขา ทั้งสี่คนนี้ล้วนเป็นขุนนางของราชสำนัก

วันนี้ต้วนโส่วฝู่เรียกพวกเขามาเพื่อปรึกษาหารือเรื่องการควบคุมอุทกภัยและโครงการการขุดคลองในอี้โจว พวกเขาได้อ่านแผนที่ว่านี้แล้ว

ต้วนโส่วฝู่ได้หมกมุ่นอยู่กับการพิจารณาโครงการนี้อยู่ครึ่งวัน

พวกเขาทั้งสี่คนมีข้อสรุปอยู่ในใจของตนเอง

ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก ผู้ที่เปิดออกมาเป็นชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพ สง่างาม เขาคือต้วนโส่วฝู่

ต้วนโส่วฝู่เป็นชายสูงอายุประมาณสี่สิบปี สวมชุดสีขาวเกล้าผม ไว้หนวดเครา เขามีทีท่าเหมือนผู้คงแก่เรียน ดวงตาราวกับแอ่งน้ำลึก มองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง

หลังจากที่ต้วนโส่วฝู่เปิดประตูออกมาทั้งสี่คนก็คำนับเขาอย่างนอบน้อม

“เข้ามา” ต้วนโส่วฝู่กล่าว

ทั้งสี่คนก้าวเข้าไปยังด้านใน

“พวกเจ้านั่งลง”

พวกเขานั่งลงอย่างเชื่อฟัง บ่าวรับใช้ยกน้ำชามาให้แล้วจึงปิดประตูลง

“พวกเจ้าได้อ่านแผนการขุดสร้างคลองหรือยัง?” ต้วนโส่วฝู่ถาม ทั้งสี่คนพยักหน้ารับ

“มีความคิดเห็นเป็นอย่างไร?”

“ท่านอาจารย์ ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ การขุดสร้างคลองเช่นนี้เป็นโครงการที่ใหญ่โตทั้งเสียเงินและทรัพยากรมาก มันจะปลุกระดมความโกรธชังของราษฎร”

“ใช่แล้ว ตอนนี้ท้องพระคลังว่างเปล่า หากต้องขุดคลองจะต้องเก็บภาษีเพิ่ม ราษฎรย่อมไม่พอใจ”

“ถึงคลองนี้จะได้ประโยชน์ในภายหน้า แต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องรีบร้อนควรต้องค่อยๆ ทำไป”

“แต่ข้าคิดว่ามันเป็นไปได้ มาตรการป้องกันน้ำท่วมในตอนนี้ สามารถบรรเทาได้อย่างผิวเผิน ไม่รู้ว่าจะป้องกันอี้โจวได้อีกกี่ปี สิบปี สิบห้า หรือยี่สิบปี? ถึงตอนนั้นอี้โจวก็จะเกิดน้ำท่วมขึ้นอีก ราษฎรจะตกระกำลำบาก การขุดสร้างคลองจะแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์”

“พี่จื่อเยว่ พวกเราทุกคนเข้าใจที่ท่านพูด การสร้างคลองเป็นเรื่องที่ดีก็จริงแต่มันต้องใช้เงินและคนมหาศาล”

“ใช่แล้ว โครงการใหญ่ขนาดนี้หากไม่สำเร็จล่ะก็อาจจะเกิดหายนะขึ้นมาได้! ราชวงศ์ก่อนสร้างวัดสิ้นเปลืองเงินไปมากมาย ประชาชนไม่พอใจสุดท้ายจบลงด้วยความขัดแย้ง”

“พี่เฉิน ขอโทษที่ข้าไม่เห็นด้วยกับท่าน แต่วัดกับคลองจะเทียบกันได้หรือ?”

“ตอนนี้น้ำท่วมอี้โจวได้รับการแก้ปัญหาหมดแล้ว ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ดี”

“ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น เราควรใช้โอกาสนี้จัดการปัญหาให้จบสิ้น ไม่เช่นนั้นแล้วอีกยี่สิบปีต่อมา ใครจะเป็นหัวหน้างานในการขุดสร้างคลองได้อีก ยากกว่าการแก้น้ำท่วมมาก เขาจะทำได้ไหม?”

“ถ้าเขาทำไม่ได้แล้วใครจะทำ”

ความคิดของพวกเขาไม่ตรงกัน มีสามคนที่คัดค้านการก่อสร้างและมีผู้เห็นด้วยเพียงคนเดียว เสียงแตกกันอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาทั้งสี่คนต่างโต้เถียงกันจนหน้าแดงจึงไม่สามารถช่วยให้ต้วนโส่วฝู่ได้ข้อสรุป

“ใต้เท้าต้วนท่านคิดอย่างไรขอรับ?”

ต้วนโส่วฝู่ครุ่นคิดเป็นเวลานาน เขามีข้อสรุปอยู่ในใจแล้ว

“ข้าสนับสนุนเรื่องนี้” ต้วนโส่วฝู่กล่าวอย่างเด็ดขาด

“ท่านอาจารย์ศิษย์ไม่คิดเช่นนั้น”

“ใช่ ท่านต้องคิดให้ถี่ถ้วน” ต้วนโส่วฝู่ยื่นมือออกไปเป็นสัญญาณให้พวกเขาเงียบลง

เมื่อเงียบเสียงกันหมดแล้ว เขายกชาขึ้นจิบแล้ววางถ้วยชาลง ก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างไม่รีบร้อน

“ไม่กี่ปีที่ผ่านมาข้าได้ไปเยือนอี้โจว เหลียงโจวและฉิงโจว”

“จากอี้โจวผ่านไปยังเหลียงโจวแล้วค่อยไปฉิงโจว ข้าเห็นว่าอี้โจวมีอุทกภัย ทุ่งนาที่เคยอุดมสมบูรณ์มีน้ำท่วม ผู้คนต้องทนกับความหนาวเหน็บและอดอยาก แต่เมื่อมาถึงฉิงโจว ผืนดินกลับแห้งแล้งแตกระแหงไม่สามารถเพาะปลูกได้เลย ผู้คนทั้งผอมทั้งหิวโหย”

“ในอี้โจวคนส่วนใหญ่ทำงานหนักมาครึ่งปีเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว กำลังจะเก็บผลผลิตได้ น้ำก็ท่วมกลืนกินทุกอย่างที่พวกเขาลงแรงไปจนหมดสิ้น”

“ฉิงโจวมีภัยแล้งที่รุนแรงมาก พวกเขาต้องยอมขายลูกๆ เพื่อแลกกับอาหาร นี่เป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้”

“ตอนนั้นในใจของข้าเฝ้าแต่คิดว่า จะแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนทั้งสองแห่งนี้ได้อย่างไร ผ่านมาหลายปีก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่เมื่อมาเห็นแผนการขุดสร้างคลองวันนี้แล้วข้าทั้งรู้สึกตกใจและยินดี”

“นี่คือวิธีที่ดีที่สุด ไม่เพียงแต่จะกำจัดปัญหาน้ำท่วมในอี้โจวได้เท่านั้น แต่ยังแก้ปัญหาภัยแล้งในฉิงโจวได้ด้วย! ถ้าสร้างคลองเสร็จ ปัญหาน้ำท่วมจะได้รับการแก้ไข ผู้คนทั้งสองมณฑลจะไม่ลำบากอีกต่อไป!”

“แน่นอนว่าข้าเข้าใจถึงความยากลำบากในการก่อสร้างที่ต้องใช้เม็ดเงินและผู้คนเป็นจำนวนมาก หากทำไม่สำเร็จ จะสูญเสียไปอย่างไร้ประโยชน์ ทั้งยังเป็นความอัปยศอีกยาวนาน”

“เพื่อเห็นแก่ผู้คนทั้งอี้โจวและฉิงโจวข้ายินดีที่จะลองดูสักครั้ง หากล้มเหลวข้าจะยอมแบกรับความอัปยศในครั้งนี้เอง!”

ต้วนโส่วฝู่พูดเสียงดังฟังชัด ทั้งสี่คนได้ยินก็รู้สึกประทับใจกับสิ่งที่เขาพูดมาก! พวกเขาไม่เคยไปที่มณฑลทั้งสองแห่งจึงไม่รู้ถึงความยากลำบากของประชาชนในพื้นที่แต่บัดนี้พวกเขาเข้าใจแล้ว

แม้ว่าในตอนแรกพวกเขาต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่เมื่อต้วนโส่วฝู่พูดแบบนี้พวกเขาก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร พวกเขาเต็มใจที่จะลองดูสักครั้งและถ้าล้มเหลวก็ยินดีที่จะแบ่งความอัปยศนั้นด้วย!

“พวกเราจะกราบทูลเรื่องนี้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้”

….

วันถัดมา

ฮ่องเต้ได้รับฎีกาเรื่องการขุดสร้างคลองแล้วเรื่องนี้จึงถูกยกขึ้นมาในการหารือและถกเถียงกันในสภาขุนนาง

ในหมู่ขุนนางมีผู้คนพากันโต้แย้งไปมามากมาย ฝ่ายที่ต่อต้านอย่างที่สุดคือจ้าวชู

พวกเขาคิดว่าเป็นการเสียเงินและกำลังคนอย่างเปล่าประโยชน์ เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะยอมรับได้!

กลุ่มขุนนางที่นำโดยต้วนโส่วฝู่เห็นด้วยกับโครงการนี้เป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนในท้องพระโรง ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำ

หลังจากผ่านไปหนึ่งวันแล้วก็ยังหาคำตอบไม่ได้ จนวันถัดไปก็ยังคงโต้เถียงเรื่องนี้อยู่ ในที่สุดต้วนโส่วฝู่ก็เป็นฝ่ายชนะ

ฮ่องเต้เห็นด้วยกับต้วนโส่วฝู่และตกลงที่จะสร้างคลอง!

เมื่อวาระประชุมสิ้นสุดลงจ้าวชูยังมีท่าทีอ่อนโยนเช่นเคย แต่เมื่อกลับไปยังจวนรุ่ยอ๋อง ทันทีที่เขาเขาไปยังห้องทำงานของตน ปิดประตูลงสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป

เขากวาดตำราทุกเล่มและจดหมายทุกฉบับลงจากโต๊ะ แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าไม่เพียงพอต่อการระบายความโกรธของเขา

เขาจึงขว้างถ้วยชาลงบนพื้นอย่างรุนแรง!

หน้าอกของเขากระเพื่อมถี่ ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ!

ในตอนแรกเขาจงใจผลักปัญหาน้ำท่วมของอี้โจวให้แก่คนแซ่อู่เพราะต้องการให้เขาตายในเหตุการณ์น้ำท่วม หรือแม้ว่าต่อให้ไม่ตายก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงเพราะไม่สามารถควบคุมอุทกภัยนี้ได้!

ใครจะรู้ว่าจะกลับตาลปัตรเช่นนี้!

คนแซ่อู่นั้นควบคุมอุทกภัยที่เกิดขึ้นได้เขาจะได้รับการตกรางวัล เมื่อวันที่กลับมายังเมืองหลวง

แต่เดิมใต้เท้าหลู่เป็นคนของเขาแต่ตอนนี้ตำแหน่งของเจ้าคณะมณฑลก็ถูกปลดลง เมื่อสองเดือนก่อนเขาไม่เคยคิดเลยว่าแผนการของเขาจะนำไปสู่ผลลัพธ์เช่นนี้

วันนี้เขาสูญเสียทั้งฮูหยินและกองทัพ!

ตอนนี้คนผู้นั้นกำลังเสนอโครงการขุดสร้างคลอง ต้วนโส่วฝู่ยังสนับสนุนเขา แม้แต่เสด็จพ่อก็ยังเห็นด้วย! หมากตานี้เขาแพ้แล้ว!

จ้าวชูตบโต๊ะอย่างรุนแรง ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“องค์ชาย หม่อมฉันเองเพคะ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น เขาหลับตาลงก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งโทสะที่ปั่นป่วนก่อนหน้าก็สงบลง

จ้าวชูผลักประตูออกไปเห็นหญิงสาวงดงามยืนอยู่ด้านนอก เขายิ้มให้นาง

“เหตุใดพระชายาจึงเสด็จมาที่นี่เล่า”

หญิงสาวที่อยู่หน้าประตูคือจินเซ่อ นางเป็นพระธิดาขององค์หญิงใหญ่และเป็นบุตรสาวที่องค์หญิงใหญ่รักมากที่สุด

พวกเขาแต่งงานกันเมื่อครึ่งเดือนก่อน ตอนนี้นางเป็นพระชายาในรุ่ยอ๋อง

“หม่อมฉันเห็นท่านอ๋องทรงงานหนักเลยทำน้ำแกงไก่มาให้เพคะ” จินเซ่อเอ่ยออกมา จ้าวชูหยิบชามน้ำแกงไก่จากมือของนาง

“ขอบคุณพระชายา” นางมองในห้องที่มีสภาพยุ่งเหยิง

“ท่านอ๋องอารมณ์ไม่ดีหรือเพคะ?”

ดวงตาของจ้าวชูเป็นประกายเมื่อเขาคิดถึงเรื่องบางอย่างได้ เขาจึงแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา

“ข้าหงุดหงิด”

“ให้หม่อมฉันเข้าไปทำความสะอาดให้นะเพคะ”

“ให้บ่าวรับใช้ทำเถอะ”

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันแต่งงานกับท่านแล้ว สามีและภรรยาล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน หม่อมฉันยินดีจะแบ่งปันความกังวลของพระองค์เพคะ”

ดวงตาของจ้าวชูเป็นประกาย เขาถอยหลังไปสองก้าว ให้นางเข้าไปในห้อง

จินเซ่อก้มลงเก็บตำราที่อยู่กระจัดกระจายบนพื้นแล้วจัดให้เป็นระเบียบ

จากนั้นจึงเก็บเศษถ้วยชาที่แตก จ้าวชูมองแผ่นหลังของนางด้วยสีหน้าครุ่นคิด เหตุผลที่เขาแต่งงานกับนางเป็นเพราะนางคือบุตรสาวบุญธรรมที่องค์หญิงใหญ่รักมากที่สุด

หลังจากแต่งงานกับนาง เขาก็ได้รับการสนับสนุนจากองค์หญิงใหญ่ทันที ทำให้มีอำนาจอย่างท่วมท้น อีกทั้งจินเซ่อยังเป็นศิษย์ของหมอเทวดาที่อยู่ในวังหลวง เสด็จพ่อไว้ใจหมอเทวดาผู้นี้มาก…

การแต่งงานกับนางเหมือนได้อำนาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

การแต่งงานที่ต้องพึ่งพากันนำมาซึ่งความเจริญและหายนะได้เช่นกัน

พระชายาของเขาเป็นหญิงที่ฉลาด เรื่องนี้จ้าวชูรู้ดี

จินเซ่อเก็บข้าวของต่างๆ ในขณะที่จ้าวชูได้ดื่มน้ำแกงจนหมด

“ให้หม่อมฉันนวดไหล่ไหมเพคะ” จ้าวชูพยักหน้า นางค่อยๆ นวดไหล่ให้เขา จนทำให้จ้าวชูอารมณ์ดีขึ้น

“ท่านอ๋องกำลังกังวลอยู่หรือเพคะ” นางถามเบาๆ

จ้าวชูเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้นางฟัง หลังจากฟังจบแล้ว จินเซ่อคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน

“พระชายาขบขันข้าหรือ?”

“ท่านอ๋องเป็นผู้สูงส่ง ส่วนใต้เท้าอู่เป็นเพียงขุนนางตัวเล็กๆ ท่านไม่ควรใส่ใจเขาเลยเพคะ การกระทำของท่านเป็นการให้ความสำคัญแก่คนที่ไม่คู่ควรเพคะ”

คำพูดของจินเซ่อทำให้จ้าวชูรู้สึกสบายใจมากขึ้น ความหงุดหงิดในใจของเขาก็ลดลง ใช่แล้วคนแซ่อู่ ! เขาไม่สมควรที่จะเป็นกังวลกับคนเช่นนี้ ที่เขาต้องการคือตำแหน่งสูงสุดนั่น เหตุใดจะต้องมากังวลกับคนตัวเล็กๆ ด้วยเล่า!

“อย่างไรก็ตามตั๊กแตนและแมลงหวี่บินไปมาช่างน่ารำคาญยิ่งนัก” จ้าวชูกล่าว

“ถ้าเช่นนั้นก็ฟาดให้ตายสิเพคะ?” จินเซ่อพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าที่นางอ่อนโยนขัดกับคำพูดที่โหดร้าย

“อย่างไร” จ้าวชูถาม

“ระยะทางจากอี้โจวมาถึงเมืองหลวงนั้นห่างไกลมากอาจจะเจอกับโจรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…” นางกล่าว

ส่งคนไปลอบสังหารหรือ?

แผนแบบนี้มันได้ผลและตรงประเด็นที่สุด

“มันจะไม่ล้มเหลวหรือ?” จ้าวชูถาม

“ตีงูต้องตีที่เจ็ดชุ่น[1]” จินเซ่อกล่าว

ดวงตาของจ้าวชูส่อประกายความสนใจมากยิ่งขึ้น

“พระชายาคิดว่าตำแหน่งเจ็ดชุ่นของงูอยู่ที่ไหนหรือ?”

“ลูกทั้งสี่ของเขายังเล็ก”

“เด็กๆ ย่อมถูกล่อลวงได้ง่าย” จ้าวชูเข้าใจในสิ่งที่นางพูด เด็กย่อมรังแกได้ง่ายทำได้แต่เพียงเอะอะโวยวายเท่านั้น

จินเซ่อยิ้มและไม่พูดอะไรอีก

ยิ่งจ้าวชูฟังมากเท่าไหร่เขาก็มีความสุขมากขึ้นเท่านั้น เมฆหมอกในใจของเขาสลายไปจนหมดสิ้น เขาคิดว่าตนเองเดินเข้าสู่ทางตันทั้งยังยกย่องให้คนแซ่อู่เป็นศัตรู ที่ไหนได้ คนผู้นั้นช่างไม่คู่ควร!

เขามีจุดอ่อน

พระชายาของเขาฉลาด!

จ้าวชูจับมือของนางก่อนจะดึงนางมาในอ้อมแขนโอบเอวคอดของนาง พร้อมกับจุมพิต

ในดวงตาของจินเซ่อสะท้อนเหมือนระลอกน้ำ นางอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของเขา

[1] ตีงูต้องตีให้แม่นในตำแหน่งที่หลังหัว 7 นิ้วจีน งูถึงจะสยบทันที