ตอนที่ 443 เสี่ยวเว่ยมีเทพเจ้าแห่งขุนเขาคอยอวยพร

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 443 เสี่ยวเว่ยมีเทพเจ้าแห่งขุนเขาคอยอวยพร

คนอย่างเจียงโม่หานที่สอบได้ตำแหน่งอั้นโฉ่วตั้งแต่อายุยังน้อย อนาคตในวันข้างหน้าจะต้องสดใสแน่นอน หากไม่ผูกมิตรไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ รอให้เขาทะยานสู่ฟ้า แล้วตระกูลเซวียค่อยคิดจะผูกมิตร ยังจะมีโอกาสอยู่หรือเปล่า ?

หนอนไหมช่วงวัยที่สอง ตัวแล้วตัวเล่าถูกปล่อยสู่ต้นโอ๊ก ส่วนใหญ่จะสามารถปรับตัวได้ จึงเริ่มกัดกินใบโอ๊กอย่างเอร็ดอร่อย พี่สาวคนโตเฝ้ามองด้วยความวิตกกังวล “น้องรอง ศัตรูตามธรรมชาติของหนอนไหมมีเยอะขนาดนั้น เจ้าคิดว่าหนอนไหมเหล่านี้จะสร้างรังไหมได้เท่าไหร่กัน ? ”

หลินเว่ยเว่ยตบบ่านาง “ไม่ต้องกังวล พวกเราไม่ได้มีอินทรีทองอยู่หรือ ? อย่างน้อยศัตรูอย่างเช่นพวกนกก็จะไม่กล้ามากินหนอนไหมของบ้านเราแน่นอน ส่วนทางฝั่งสกุลเซวียก็เพาะพันธุ์หนอนไหมได้ดีทุกปี พวกเรามีแต่จะได้เยอะกว่าพวกเขาอีก ไม่มีทางน้อยกว่าแน่ ! นี่เป็นการทดลองครั้งแรกของพวกเรา ต่อไปก็มีประสบการณ์แล้ว ! ”

ต้นโอ๊กที่บ้านสกุลหลินย้ายมาปลูกก็ถูกตัดแต่งไว้แล้ว ลำต้นไม่สูงมาก แต่ผลิใบเขียวชอุ่ม ตอนถึงเวลาเก็บรังไหมก็ไม่ถึงขั้นต้องปีนขึ้นไปขนาดนั้น

ขณะมองหนอนไหมบนต้นโอ๊ก ผู้ใหญ่บ้านก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นางหนูรอง เลี้ยงเจ้านี่แล้วมันจะพ่นใยไหมออกมาได้จริง ทอออกมาแล้วจะเป็นผ้าไหมงาม ๆ ได้หรือ ? ”

หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “บ้านเราก็เพิ่งเลี้ยงเป็นครั้งแรก รอให้ผ่านไปอีกสักหน่อย แล้วทุกคนค่อยมาดูผลลัพธ์แล้วกัน อย่างไรก็ไม่ได้ลงทุนอยู่แล้ว แม้จะไม่สำเร็จก็ไม่ได้เสียหาย…”

“ถุยถุย ! รีบถุยทิ้งเดี๋ยวนี้ ! ” พี่สาวคนโตไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที ความใฝ่ฝันของนางเพิ่งเริ่มต้น จะปล่อยให้มีสิ่งใดมาทำลายไม่ได้เด็ดขาด! ขอให้คำอัปมงคลปลิวหายไปตามสายลม…เทพเจ้าแห่งสรวงสวรรค์และพื้นพิภพ สิ่งไม่ดีจงออกไป สิ่งดี ๆ จงเข้ามา…

หลินเว่ยเว่ยถุยออกมาสองครั้งอย่างให้ความร่วมมือ แล้วรีบปลอบพี่สาวที่กำลังวิตก “ไม่ต้องกังวล เจ้าไม่เห็นหรือว่าบ้านเราอยากทำอะไรก็ออกมาราบรื่นทุกอย่าง ? เลี้ยงหนอนไหมก็ต้องเหมือนกันสิ ! ”

ป้ากุ้ยฮวาพยักหน้า “ใช่ ! เสี่ยวเว่ยมีเทพเจ้าแห่งขุนเขาคอยอวยพร นางบอกว่าได้ก็ต้องได้ ! ”

เนื่องจากย้ายหนอนไหมออกไปอยู่ที่ต้นโอ๊กข้างนอกแล้ว ในแต่ละวันพี่สาวคนโตจะไปเดินอยู่ที่ป่าต้นโอ๊กหลายต่อหลายรอบ เพราะนางรู้เรื่องศัตรูตามธรรมชาติของหนอนไหมจากหลินเว่ยเว่ย ศัตรูโดยหลักจะมีเต่าแมลงสาบ (ถู่เปี๋ยฉง) ตั๊กแตนตำข้าว งูและนก ตอนนี้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกนกเพราะมีอินทรีทองคอยเฝ้าระวัง หมู่บ้านฉือหลี่โกวก็แทบเป็นเขตแดนต้องห้ามของพวกนกไปแล้ว

พี่สาวคนโตคิดว่ามาเดินดูหลายรอบหน่อยและถ้าเจอพวกศัตรูก็จะได้กำจัดทิ้งตอนนั้นเลย เพื่อความฝันแล้ว เด็กสาวที่หวาดกลัวงูและแมลงมาก ถึงขั้นกลายเป็นหญิงแกร่งที่กล้าจับงูด้วยมือเปล่าและบี้เต่าแมลงสาบตายด้วยนิ้วเดียว !

ฤดูใบไม้ผลิแห่งความวุ่นวายกำลังค่อย ๆ ผ่านพ้นไป ชาวบ้านฉือหลี่โกวเริ่มดูแลพืชผลในแปลงนากันอย่างกระตือรือร้น ปีนี้ทางราชสำนักยกเว้นภาษีที่ดินให้เมืองทางเหนือซึ่งประสบภัยพิบัติอย่างหนัก ไม่ว่าจะเก็บเกี่ยวได้เท่าไรก็เป็นของตัวเองทั้งหมด

ครอบครัวที่แลกเมล็ดข้าวสาลีและข้าวโพดมาจากบ้านสกุลหลินก็หุบยิ้มไม่ได้เลยสักคน พืชสองชนิดนี้เติบโตได้ดีมาก โดยเฉพาะข้าวสาลีที่เมื่อเทียบกับเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีทั่วไปแล้วไม่ได้มีการดูแลที่แตกต่างกันมาก ใส่ปุ๋ยคอกเหมือนกัน รดน้ำเหมือนกัน แต่เมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีของตระกูลหลินกลับให้ผลผลิตในปริมาณสูงและยังดูแข็งแรงกว่าพวกข้าวสาลีพันธุ์ทั่วไปด้วย

แน่นอนว่าพืชเติบโตได้ดีที่สุดยังเป็นที่นาสามหมู่ของบ้านสกุลหลิน หลินเว่ยเว่ยใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีในมิติน้ำพุวิญญาณ เวลารดน้ำก็ยังแอบนำน้ำพุวิญญาณมาผสมด้วย หากมันยังงอกเงยได้ไม่ดีก็คงประหลาดแล้วล่ะ

ตระกูลหลินยังเปิดที่ดินรกร้างบนเขาอีกสองสามหมู่ พืชที่ปลูกคือข้าวโพด ปุ๋ยคอกมีให้ใส่ในปริมาณที่เพียงพอ แม้จะยังมีพวกรากหญ้าหรือหัววัชพืชภูเขาผสมอยู่ แต่ข้าวโพดก็เติบโตได้ดีพอ ๆ กับพื้นราบ

ชาวบ้านที่คว้าเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีและข้าวโพดเหล่านั้นไม่ทันก็รีบไปจับจองกับบ้านสกุลหลินไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะพวกตนลงมือช้าไป ผลผลิตของปีนี้จึงไม่มากเท่ากับคนที่ได้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นไปแน่นอน แต่ปีหน้าพวกตนจะรั้งท้ายไม่ได้อีกแล้ว

ตอนที่ชาวฉือหลี่โกวพรวนดิน กำจัดวัชพืชและใส่ปุ๋ยคอกเสร็จเรียบร้อยก็เข้าสู่ช่วงต้นฤดูร้อน เนินเขาหลังบ้านสกุลหลินก็ถูกมุงดูอีกรอบ…เพราะหนอนไหมชุดแรกสร้างรังไหมแล้ว !

รังไหมสีขาวนวลแขวนอยู่ตามกิ่งก้านต้นโอ๊กราวกับผลไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ทำให้คนที่เห็นมีความสุขสุด ๆ มีหนอนบางตัวเพิ่งเริ่มพ่นใย ในใยโปร่งแสงเห็นหนอนไหมตัวอวบอ้วนกำลังทำงานหนักเพื่อสร้าง ‘คฤหาสน์’ ของมัน มีบางตัวทำเสร็จแล้ว รังไหมสีขาวนวลมีความยาวถึง 5 หลีหมี่ ( เซนติเมตร ) เหมือนกับไข่นกกลม ๆ ฟองหนึ่ง ขนาดใหญ่ยิ่งกว่ารังไหมของทางภาคใต้เสียอีก !

“ต่อจากนี้อีก 4 วัน ดักแด้ข้างในก็จะกลายเป็นตัวอ่อนหนอนผีเสื้อ รังไหมที่นอกเหนือจากเก็บไว้เพาะพันธุ์หนอนไหมแล้วที่เหลือก็เก็บเอาไปปั่นไหม…อ้อ จริงสิ ดักแด้ข้างในรังไหมเป็นของอร่อยที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ บนโต๊ะอาหารของบ้านเราได้มีของอร่อยเพิ่มอีกอย่างแล้ว ! ”

ในความเป็นจริงแล้ว หลินเว่ยเว่ยไม่ค่อยกล้ากินดักแด้ทอดสักเท่าไร นางเคยได้ยินสหายร่วมภาควิชาชาวตงเป่ยบอกว่ามันเป็นอาหารอันโอชะ…แต่อาหารโอชะที่แปลกประหลาดนี้ก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับของทุกคน !

พี่สาวตนโตทำหน้ารังเกียจเล็กน้อย “พอนึกถึงหนอนตัวอวบอ้วน อี๋ ใครจะกินลง ! ”

“ฤดูร้อนปีก่อน ตอนพวกเราจับจักจั่นจากบนเขาลงมา พอเจ้าเห็นก็พูดแบบนี้เหมือนกัน แต่พอเอาไปทอดแล้วก็กินอย่างเอร็ดอร่อยไม่ใช่หรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยบ่น

พี่สาวคนโตกลอกตาใส่ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป นางจะกลับไปที่ห้องทอผ้าเพื่อเตรียมอุปกรณ์ปั่นไหมและทอผ้า…กว่าจะได้มีอุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมสรรพ นางไม่เพียงใช้เงินเก็บที่ได้จากการทอผ้า แต่ยังติดหนี้เงินส่วนกลางของครอบครัวอีกหลายตำลึง !

ทว่าพอกิจการทอผ้าไหมของนางเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด ต่อไปนางก็จะไม่ใช่คนที่ไม่ได้เรื่องที่สุดในครอบครัวแล้ว !

ขณะมองท่าทางที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์ของพี่สาวคนโต หลินจื่อเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจขณะนั่งกินข้าว “ดูท่าทางแล้วในบ้านหลังนี้ คนไม่ได้เรื่องที่สุดจะเป็นข้า…”

พี่รองยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหรอก นางคือมือรับทรัพย์ดี ๆ นี่เอง แค่กะพริบตาไม่กี่ทีเงินก็ลอยมาแล้ว เด็กน้อยอายุ 7 ขวบอย่างน้องสี่ก็มีรายได้มหาศาลต่อปีจากการเลี้ยงกระต่าย ตอนนี้แม้แต่พี่สาวคนโตก็มีกิจการทอผ้าเป็นชิ้นเป็นอัน มีเพียงเขาคนเดียว…บัณฑิตไร้ประโยชน์ !

“นายท่านซิ่วไฉของข้า ความจริงแล้วเจ้าได้เรื่องได้ราวที่สุดในบ้าน ! เจ้าคิดสิ หลังสอบได้ซิ่วไฉแล้ว บ้านเราก็ไม่ต้องจ่ายภาษีที่ดินอีก หากต่อไปเจอที่ดินทำเลทองก็ซื้อเก็บไว้ ปีหนึ่งก็ประหยัดเงินได้ตั้งเยอะ ! ในอนาคตพอสอบติดจู่เหรินและจิ้นซื่อ บ้านเราก็จะมีฐานะเป็นครอบครัวขุนนาง ! นายท่านซิ่วไฉ เจ้าอย่าดูถูกตัวเองไปเลย ! ” หลินเว่ยเว่ยคิดว่าเด็กหนุ่มที่เพียรพยายามและรู้จักประมาณตน จำเป็นต้องได้รับกำลังใจบ้าง

เจียงโม่หานกล่าวว่า “พูดถึงเรื่องที่ดิน ภัยแล้งเกิดขึ้นติดต่อกันแบบนี้ คงมีคนยอมขายที่ดินไม่น้อยเลย ข้าคิดว่าจะถือโอกาสนี้ซื้อไว้สักหน่อย พอภัยพิบัติค่อยบรรเทาลงแล้วก็จะไม่ลงมือปลูกผลผลิตเอง ทว่าปล่อยให้คนอื่นเช่าก็ยังมีรายได้เข้ามา”

ภาพวาดบนพัดของเจียงโม่หานเป็นที่นิยมในเขตเริ่นอัน แม้แต่คนในตัวอำเภอหรือตัวเมืองจงโจวยังเดินทางมาซื้อจนทำให้สินค้าขาดตลาด ด้วยเหตุนี้ในมือของเขาจึงมีเงินอยู่ไม่น้อย เงินที่อยู่ในมือจะไม่งอกเงย แต่ถ้านำไปลงทุนก็จะได้กำไรกลับมามากกว่าเดิม

หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “ได้ คราวหน้าตอนเข้าเขตเริ่นอันก็ค่อยไปสอบถามตรงที่ว่าการเขต ดีที่สุดควรเป็นที่ดินเชื่อมติดกัน เราสองบ้านจะได้ซื้อร่วมกัน พอถึงเวลานั้นจะดูแลได้ง่ายหน่อย ! ”