ตอนที่ 444 อนุญาตให้ข้าปากว่ามือถึงกับเจ้าได้คนเดียว

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 444 อนุญาตให้ข้าปากว่ามือถึงกับเจ้าได้คนเดียว

เจียงโม่หานพยักหน้ารับเบาๆ “เรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่ข้าเอง…เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น ? ”

หลินเว่ยเว่ยเอียงคอพลางมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หลังได้ยินแบบนั้นนางก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดภาพไม่ออกว่าท่าทางการต่อราคาของเจ้าจะเป็นอย่างไร”

เจียงโม่หานยักคิ้วเล็กน้อย “ด้วยฐานะในตอนนี้ของข้ายังจำเป็นต้องต่อราคาด้วยหรือ ? ”

จริง ! เจียงอั้นโฉ่วกลายเป็นฝันร้ายของบัณฑิตทั้งเขตเริ่นอัน ชื่อของเขามักลอยออกจากปากของบัณฑิตเหล่านี้ เจียงโม่หานจึงกลายเป็นบุคคลที่ไม่สามารถเอื้อมถึงและยังทำให้พาลเกรงกลัวศักยภาพของเด็กชนบทคนอื่นด้วย !

อายุน้อยขนาดนี้ก็สอบได้อั้นโฉ่วแล้ว วันหน้าจะต้องมีอนาคตสดใสรออยู่แน่นอน แม้จะไม่ใช่ผู้ปกครองของบัณฑิตหรือคนที่มีฐานะในเขตเริ่นอัน ใครก็อยากหาทางมาผูกสัมพันธ์กับเขา แม้แต่คนของทางการก็ต้องพยายามเช่นกัน ถ้าเขาซื้อที่ดินผ่านการแนะนำของเจ้าหน้าที่คนใด เจ้าหน้าที่คนนั้นก็จะสามารถเอาไปป่าวประกาศได้ จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่เรียกราคาแพง !

บอกจะทำก็ทำเลย เพราะวันรุ่งขึ้นเจียงโม่หานนั่งรถม้าเข้าไปที่เขตเริ่นอัน ตกเย็นก็ถือโอกาสไปรับเจ้าหนูน้อยและวังตงเฉียงกลับมาด้วย ในมือของเขาถือโฉนดที่ดิน 100 หมู่เอาไว้ ซิ่วไฉในยุคสมัยนี้สามารถได้รับการยกเว้นภาษี 50 หมู่ ทั้งสองบ้านมีซิ่วไฉ 2 คน ร่วมกันได้ 100 หมู่พอดี

หลินเว่ยเว่ยกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะพุ่งเข้าไปถามเจียงโม่หานว่า “หาซื้อได้เร็วขนาดนี้เลยหรือ ? บัณฑิตน้อย เจ้าเก่งจริง ๆ ทำงานได้ยอดเยี่ยมมาก ! ”

เจียงโม่หานใช้นิ้วจิ้มหน้าผากนางเพื่อให้ออกไปห่าง ๆ ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ปีก่อนมีภัยแล้งรุนแรงจึงเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ ตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิปีนี้ก็ไม่มีฝนตกแม้แต่หยดเดียว เพื่อหาทางรอดแล้ว ชาวบ้านจำนวนมากต้องขายที่ดิน ขายลูกขายหลาน…”

หลินเว่ยเว่ยเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ฟ้าดินไร้เมตตา ปฏิบัติต่อสรรพสิ่งเหมือนหุ่นฟาง…ไม่ว่าจะยุคสมัยใด คนที่ต้องทนทุกข์ที่สุดก็ยังเป็นราษฎร ! ”

หลินจื่อเหยียนเห็นต่าง “ทว่า…หากเจอขุนนางดี ชีวิตของราษฎรก็จะดีขึ้น เหมือนเจ้าเมืองคนก่อนที่เพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนก็สามารถมองข้ามความเป็นความตายของราษฎรเมืองจงโจว ทำให้ราษฎรที่ประสบภัยแล้งอย่างรุนแรงต้องอดตาย ซากศพเกลื่อนกลาดนับพันลี้ ล้มตายกันไม่เว้นวัน แต่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนั้นนายอำเภอเป่าชิงกลับเปิดคลังแจกจ่ายอาหารบรรเทาทุกข์ สร้างทางอยู่รอดให้ราษฎร…”

เจียงโม่หานส่ายหน้าเบา ๆ “ที่นายอำเภอเป่าชิงกล้าเปิดคลังแจกอาหารบรรเทาทุกข์ก่อนจะมีราชโองการลงมาก็เพราะได้การรับรองจากองค์ชายเจ็ดและหมินอ๋องซื่อจื่อ หากไม่มีคำสั่งจากราชสำนักแล้วเปิดคลังตามอำเภอใจ โทษสถานเบาคือโดนปลดออกจากตำแหน่ง โทษสถานหนักคือประหาร…”

หลินเว่ยเว่ยรับโฉนดมาดูแล้วพูดกับซิ่วไฉทั้งสองซึ่งมี ‘ความเกลียดชังและขมขื่น’ ว่า “นายท่านซิ่วไฉที่รักและห่วงใยแผ่นดินทั้งสอง ตอนนี้เลิกถกเถียงกันก่อนเถิด หน้าที่ของพวกเจ้าคือตั้งใจศึกษาเล่าเรียน สอบเพื่อช่วงชิงชื่อเสียงมาให้ได้และกลายเป็นขุนนางตงฉินที่สร้างประโยชน์ให้แก่ราษฎร…บัณฑิตน้อย เจ้าว่าเราซื้อที่ดินตอนนี้จะเป็นการปล้นชิงตามไฟ1หรือเปล่า ? ”

เจียงโม่หานเคาะศีรษะนางเบา ๆ “พวกเราไม่ได้กดราคาจนน่าเกลียดแล้วจะเรียกว่าปล้นชิงตามไฟได้อย่างไร ? เจ้าลองคิดดูสิ คนขายที่ดินให้เราก็อาจกำลังรอเงินจากพวกเราเพื่อนำไปซื้อข้าวปลาอาหาร…อย่างเราเรียกว่าช่วยเหลือผู้ยากไร้ ช่วยเหลือคนที่หาทางออกไม่ได้ต่างหาก ! ”

หลินเว่ยเว่ยลูบศีรษะตัวเอง “เหตุใดจึงบังเอิญซื้อที่ดินติดกันได้ขนาดนี้ ? ”

เจียงโม่หานพูด “เดิมทีตรงกลางจะมีที่ดินซึ่งไม่ขายขวางกั้นอยู่ ข้าให้เจ้าหน้าที่ทางการไปถามเจ้าของที่ดิน แต่ละบ้านตกลงแลกที่ดินตรงกลางกับที่ดินซึ่งขนาบข้าง ใครครอบครองเท่าไหร่ก็ตัดแบ่งกันไปเท่านั้น เรื่องเอกสารก็ให้เจ้าหน้าที่จัดการโดยไม่มีตกหล่น”

“แต่ว่า…บ้านเรายังมีที่นาอยู่อีก 3 หมู่และยังมีที่ดินเพิ่งบุกเบิกอีก จำนวนที่เหล่านี้เกินกว่าสิทธิ์ที่พวกเจ้าได้รับยกเว้นภาษีเอาไว้ ! ”

หลินจื่อเหยียนชิงพูดขึ้นมาก่อน “พี่รอง ท่านโง่หรือไร ? ปีนี้ราชสำนักยกเว้นให้พวกเราไปแล้วไม่ใช่หรือ ? ส่วนของปีหน้าก็รอให้ภัยแล้งเบาบางลงก่อน ราชสำนักจึงประกาศออกมาอีกครั้ง ตอนนั้นพี่เขยรองก็เป็นจู่เหรินแล้ว แค่เขาคนเดียวก็ได้ยกเว้นเป็นร้อยกว่าหมู่ ! ”

หลินเว่ยเว่ยถลึงตาใส่เขา “เจ้าว่าใครโง่ ? หมดเวลาเก็บภาษีของปีหน้าก็เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ในเวลานั้นบัณฑิตน้อยสอบเสร็จและได้เป็นจิ้นซื่อต่างหาก ไม่แน่อาจได้เป็นจอหงวน ( หนึ่งใน 3 ของผู้ที่ครองตำแหน่งจิ้นซื่อชั้นหนึ่ง ) และได้ยกเว้นเยอะกว่าเดิมอีก ! ”

เจียงโม่หานหัวเราะเบา ๆ แล้วเอื้อมมือไปดึงหางเปียน้อย ๆ ของเด็กสาว “ขอให้เป็นอย่างที่เจ้าพูด ! ”

ดวงตากลมโตของหลินเว่ยเว่ยกลายเป็นเสี้ยวพระจันทร์พร้อมฉีกยิ้มจนเห็นเขี้ยวเสือน้อย ๆ ของนาง “อย่าปากว่ามือถึง คนมองอยู่ตั้งเยอะ ! ”

เจียงโม่หานยักคิ้วและพูดเบา ๆ ว่า “ทำไมหรือ ? มีแต่ขุนนางอย่างเจ้าวางเพลิงได้ แต่กลับไม่อนุญาตให้ราษฎรอย่างข้าจุดไฟ ? ”

หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยความมั่นใจ “ใช่ ! อนุญาตให้ข้าปากว่ามือถึงกับเจ้าได้คนเดียว เจ้าเองก็ไม่ได้เสียเปรียบสักหน่อย ! ”

เจียงโม่หานกางวงแขนทั้งสองข้างเพื่อแสดงท่าทางว่ายอมให้ใครหน้าไหนก็ได้เล่นงาน “ได้ ได้ ได้ ! เข้ามาสิ ! ”

หลินเว่ยเว่ยบีบใบหน้าหล่อเหลาของเขา “บัณฑิตน้อย รู้ตัวหรือเปล่าว่าเจ้าเริ่มหน้าหนามากขึ้นทุกวัน ! ”

“ปกติ เรื่องปกติ คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ2 ! ” เจียงโม่หานวางมาดราวกับมีเทพเจ้าลงประทับร่าง

“สำเร็จแล้ว ! ข้าปั่นไหมออกมาได้แล้ว ! ” พี่สาวคนโตพุ่งออกจากห้อง ผมเผ้ายุ่งเหยิงและร้องตะโกนด้วยความดีใจ…สภาพแบบนั้นเหมือนคนเสียสติจริง ๆ !

ภายในห้องปั่นไหม ปรากฏกระทะร้อนระอุ มีระวิงปั่นไหมอยู่ด้านบนและถัดลงมาคือแฉกไม้ไผ่…อุปกรณ์พวกนี้ดูธรรมดามาก แต่ก็เป็นอุปกรณ์ผลิตเส้นไหมที่ใช้กันทั่วไปในยุคนี้

ปีนี้อากาศแห้งแล้ง ส่งผลกระทบต่อโรงเลี้ยงหนอนไหมของสกุลเซวีย ระวิงปั่นไหมของพวกเขาจึงว่างงานจำนวนหลายเครื่อง ระวิงปั่นไหมอันนี้จึงเป็นของขวัญที่ได้มาจากนายท่านเซวีย

พี่สาวคนโตเช็ดเหงื่อบนใบหน้า การอยู่หน้าเตากับน้ำเดือดๆ ในฤดูร้อนถือเป็นงานที่ไม่ค่อยสบายนัก ทว่าขณะมองเส้นไหมเปล่งประกายถูกตักออกจากกระทะ แม้จะต้องลำบากมากเพียงใด นางก็รู้สึกดี

พี่สาวเห็นคนทั้งบ้านเข้ามาดูจึงรีบแสดงวิธีการสาวไหมด้วยความภาคภูมิใจ ขั้นตอนแรกคือการนำรังไหมจำนวนหนึ่งลงไปต้มในน้ำร้อนแล้วคนด้วยไม้พายให้สม่ำเสมอกัน ต่อจากนั้นไม่นานส่วนบนของรังไหมก็จะคลายตัวออก แล้วเริ่มดึงเส้นใยไหมผ่านแฉกไม้ไผ่เพื่อให้เรียงตัวไปยังระวิงปั่นไหมตัวเล็กและเข้าสู่ระวิงตัวใหญ่บนพื้นห้อง หลังจากเส้นไหมคลายตัวออกจากรังไหมหมดแล้วก็จะเผยให้เห็นดักแด้ที่ตกอยู่ก้นกระทะ…

หลังแสดงฝีมือไปได้สักพักหนึ่ง พี่สาวคนโตก็ค่อยๆ เงียบและเริ่มกลับมาวิตกกังวลอีกครั้ง “รังไหมเหล่านี้ต้องรีบดึงไหมออกมา หากดักแด้ที่อยู่ข้างในทำลายรังไหมก็จะเสียของแน่นอน ดังนั้นต้องดึงไหมออกจากรังภายใน 2-3 วันนี้…”

นางหวงรีบพูด “ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวแม่ช่วยเจ้าเอง…”

นางเฝิงก็แสดงท่าทางว่าช่วยได้เหมือนกัน แต่หลินเว่ยเว่ยกลอกตาใส่พี่สาว “เจ้าโง่หรือ ? จ้างคนไม่เป็นหรือไร ? เงินค่าจ้างวันละ 30 อีแปะ เจ้าก็จ่ายไหวไม่ใช่หรือ ท่านแม่กับน้าเฝิงสุขภาพไม่แข็งแรง ทำงานกับเจ้ามากเกินไป แล้วถ้าล้มป่วยขึ้นมาจะได้ไม่คุ้มเสีย ! ”

พี่สาวคนโตคิดตกขึ้นมาทันที “จริงด้วย ! จ้างคนมาช่วยก็ได้แล้ว ! แต่ว่า…อุปกรณ์สาวไหมมีแค่ชุดเดียว…”

แม่ซัวถัวที่เข้ามาดูก็พูดต่อทันที “อุปกรณ์พวกนี้ดูไม่ยุ่งยากอะไร ข้าจะไปตามสามีกับซัวถัวมาดูว่าจะสร้างได้อีกสักชุดหรือเปล่า…”

ผ่านไปไม่นาน พ่อซัวถัวก็พาซัวถัวตามมาติด ๆ หลังมองระวิงปั่นไหมตัวใหญ่และตัวเล็กแล้วเขาก็พูดด้วยความมั่นใจ “เรื่องนี้ง่ายมาก ข้ากับซัวถัวทำคืนเดียวก็ได้สองชุดแล้ว ! ”

[i]
1 ปล้นชิงตามไฟ หมายถึง การถือโอกาสซ้ำเติมคนที่กำลังประสบเคราะห์ร้าย

2 คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ หมายความว่า คนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหนหรือใกล้คนประเภทใดก็จะติดนิสัยหรือสิ่งนั้นมาด้วย