ตอนที่ 321 ผีน้อยที่ยากจะรับมือ (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 321 ผีน้อยที่ยากจะรับมือ (1)

หลี่ฉางโซ่วอดรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้เมื่อเห็นแดนยมโลกเป็นครั้งแรก สถานที่นี้กับสถานที่ในจินตนาการของเขานั้น แตกต่างกันมากเกินไป

ที่ขอบแดนยมโลก สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ ความรกร้างและไร้ระเบียบ มีผีร้ายบางตนเร่ร่อนอยู่โดยรอบ และยังพบร่องรอยของสัตว์ร้ายมากมาย

ซึ่งไม่แตกต่างไปจากดินแดนรกร้างแห่งทะเลเลือดที่บันทึกไว้ในตำราโบราณมากนัก

เขาบินผ่านแดนยมโลกตะวันออก และบินต่อไปข้างหน้าในขณะที่ยิ่งบินต่อไป ปริมาณหมอกสีเทาก็ยิ่งลดน้อยลง ทำให้เขามองเห็นได้กว้างไกลขึ้น

น่าเสียดายที่เขามองไม่เห็นแม่น้ำลืมเลือนที่เต็มไปด้วยวิญญาณอาฆาต และไม่เห็นแม่น้ำซันตู๋หรือแม่น้ำสามแยก[1]ที่แบ่งระหว่างความเป็นและความตาย

เขาไม่พบประตูนรกที่มักปรากฏเป็นเรื่องเล่าขานกล่าวถึงกันเสมอ และไม่พบฉากที่น่าตื่นเต้นของวิญญาณนับไม่ถ้วนบนเส้นทางน้ำพุเหลืองที่มุ่งไปสู่การกลับชาติไปเกิดใหม่…

เหนือศีรษะและรอบๆ ของพวกเขา มีแสงบางเบาลอยอยู่ในทิศทางเดียวกับพวกเขาตลอดเวลา

นั่นคือ วิญญาณแท้ของสิ่งมีชีวิตที่ถูกดึงไปยังศูนย์กลางของแดนยมโลกเมื่อตายไปแล้ว มีสมบัติบุญแห่งเต๋าสวรรค์ อยู่ที่นั่น และแผ่นสังสารวัฏหกวิถีที่ต้าเต๋อโฮ่วถู่ได้สร้างขึ้น

หลังจากที่จี้อู๋โหย่วพาพวกเขาบินไปชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุด หลี่ฉางโซ่วก็เข้าใจ… บัดนี้ พวกเขาอยู่บนเส้นทาง น้ำพุเหลือง ทว่าไม่มีการพัวพันในวิญญาณแท้ของชีวิต

“ท้องฟ้า” แห่งแดนยมโลกนั้นต่ำเล็กน้อย จนพวกเขาอดจะรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออกไม่ได้ในขณะที่มีลมพัดมาจากทั่วทุกทิศทาง ส่งเสียงหวีดหวิวแผ่วเบาและโหยหวนอย่างน่าหดหู่ใจ

สิ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับประเพณี

บางที นั่นอาจเกี่ยวข้องกับประเพณี “การเต้นรำสุสาน[2]”ที่ยังไม่เกิดขึ้นในโลกบรรพกาล

หลี่ฉางโซ่วไม่เข้าใจบรรยากาศที่นี่อย่างถี่ถ้วนและไม่ได้ฉวยโอกาสนี้เพื่อใช้สถานที่นี้เพิ่มประสิทธิภาพ “บริการจัดงานศพแบบครบวงจร” ของเขา

เขารู้สึกหนักอึ้งในใจ…

เพราะในท้ายที่สุด เมื่อพวกเขาอยู่ในสถานที่เช่นนี้แล้ว ย่อมไม่ควรจะทำร่าเริงเกินไป

แค่กๆ กลับไปที่เรื่องหลักเถิด

หลี่ฉางโซ่วคิดอยู่ตลอดว่าเขาควรชี้แจงกับท่านอาจารย์อย่างไร หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับอาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่ แล้วท่านอาจารย์จะเป็นอย่างไร

ท้ายที่สุดแล้ว ก็ยากจะอธิบายเรื่องนี้ ทว่าเขาก็ไม่อาจปิดบังท่านอาจารย์ได้ไว้ตลอดไป

แม้ท่านอาจารย์ของเขาจะเป็นเซียนจั๋ว แต่ก็เป็นเหมือนปลาเค็มมากเกินไป จึงไม่ควรต้องต่อสู้ดิ้นรนอะไรอีกต่อไป

หลี่ฉางโซ่วอยากให้อาจารย์มีความสุข มีกำลังใจ ร่าเริง และสนุกกับชีวิตที่เหลือของเขาอยู่เสมอแทนที่จะจมอยู่กับความเสียใจและความรู้สึกผิด

ดังนั้นเขาจึงหวังอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเหตุไม่คาดฝันใดเกิดขึ้นกับอาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่…

ระหว่างทางไปเมืองเฟิงตู จี้อู๋โหย่วได้เริ่มแผ่พลังสะกดข่มแห่งเซียนจินของเขาออกไป และในชั่วเวลานั้น ผีร้ายก็คลานหนีและเหล่าปีศาจก็เลี่ยงหลบไป

เมื่อเข้าสู่แดนยมโลกจากชายแดนบูรพาแล้วบินต่อไปกว่าหมื่นลี้ ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบเมืองแรกในแดนยมโลก

เมืองนี้ไม่มีชื่อ เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่สามารถมองเห็นแดนยมโลกได้ทุกที่ มันเต็มไปด้วยผู้ฝึกบำเพ็ญผี ผู้ฝึกบำเพ็ญหยิน[3] และผู้ฝึกบำเพ็ญปีศาจ

ในที่สุด หลี่ฉางโซ่วก็เห็นพบผู้ดำรงอยู่ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของแดนยมโลกที่ทำให้เขารู้สึกสนใจมากขึ้น

พวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีกากี ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญผี ซึ่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกบำเพ็ญขอบเขตคืนกลับอนัตตา และคืนกลับเต๋าวิถี พวกเขากลัวเพลิงแท้และพลังเวทหยางบริสุทธิ์

พวกเขาส่วนใหญ่จะเฉื่อยชาโดยจะคอยตรวจตราทั้งภายนอกและในเมือง ทั้งยังรังแกผู้ฝึกบำเพ็ญหยินในเมืองเพื่อขจัดความเบื่อหน่าย

มีพวกเขาน้อยคนนักที่มีจิตใจดี ซึ่งยังพูดคุยและหัวเราะไม่หยุดอย่างไร้ระเบียบวินัยใดๆ

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจเบาๆ…

การฝึกฝนโดยได้มาเรียนรู้และประจักษ์ด้วยตัวของเขาเองจริง ๆ ย่อมดีกว่าการอยู่ในสำนักตู้เซียน และจินตนาการถึงมันหลายเท่า

จริงๆ แล้ว แดนยมโลกนี้… เต็มไปด้วยบุญแห่งเต๋าสวรรค์ที่ถูกโยนทิ้งไว้ตามริมทางทุกที่!

แม้จะมีสังสารวัฏเกิดขึ้น แต่ระบบระเบียบก็ยังไม่ได้บังคับใช้อย่างสมบูรณ์ และยังมีบุญให้เก็บได้อีกมากมาย!

ทว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นแต้มบุญที่สามารถคำนวณได้เมื่อเขาตั้งหลักได้มั่นคงในศาลสวรรค์แล้วเท่านั้น

แต่คราวนี้เขามาที่นี่เพื่อเรื่องการกำเนิดใหม่ของอาจารย์ป้า จึงไม่ควรใช้เวลามาตรวจสอบเรื่องนี้

ยิ่งเมื่อเข้าใกล้ศูนย์กลางของแดนยมโลกมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งเห็นเมืองต่างๆ มากขึ้นและทีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น

มีบางเมืองที่คึกคักพอๆ กับเมืองในดินแดนเทวะทักษิณ และเต็มไปด้วย “สิ่ง” พิลึกพิลั่น… ซึ่งส่วนใหญ่จะแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตทั่วไป

จี้อู๋โหย่วมีประสบการณ์และเป็นผู้รอบรู้จริงๆ ในระหว่างทาง เขาได้อธิบายให้ทั้งสี่คนฟังถึงต้นกำเนิดของผู้ฝึกบำเพ็ญผีทั่วไปในแดนยมโลก ตลอดจนอธิบายถึงเมืองสำคัญต่างๆ ในแดนยมโลกที่มีเหล่าปรมาจารย์ประจำการอยู่

ในชั่วพริบตา พวกเขาก็เดินทางมาได้มากกว่าหมื่นลี้ แล้วจู่ๆ ก็มีภูเขาสีดำสนิทสองลูกขวางกั้นทางอยู่

จี้อู๋โหย่วไม่ได้อ้อมทางไปด้านใดด้านหนึ่ง แต่พาพวกเขาทั้งสี่ไปยังช่องทางแคบ ๆ ระหว่างภูเขาทั้งสองแทน “นี่คือ สถานที่ที่เราต้องผ่านเข้าไปเพื่อเข้าสู่เมืองเฟิงตู” จี้อู๋โหย่วยิ้มและกล่าว “มีทหารรักษาการณ์สถานที่แห่งนี้อยู่อย่างแน่นหนา หลังจากนี้ ห้ามประมาท…”

ทว่าก่อนที่จี้อู๋โหย่วจะทันได้กล่าวจบ ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากทางด้านล่าง “พวกที่บินอยู่ข้างบนนั่น ลงมาเดี๋ยวนี้!” “ที่นี่มีกฎห้าม ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นหรือไม่ตายก็ไม่สำคัญ แต่ห้ามละเมิด!”

จี้อู๋โหย่วแย้มยิ้ม แน่นอนว่า เขาย่อมเข้าใจกฎเกณฑ์ที่นี่ จึงพาพวกเขาทั้งสี่ลงมาอย่างรวดเร็ว

หลี่ฉางโซ่วแอบสังเกตอยู่พักหนึ่ง

เมื่อพบว่ามีอักขระเต๋าลึกลับและคลุมเครือเล็กน้อยอยู่ระหว่างภูเขาสูงตระหง่านทั้งสองลูกนี้ ความคิดที่จะบังคับจิตให้ฝ่าด่านไปได้จึงเกิดขึ้น และปราณสัมผัสของเขาก็พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง

การจัดการที่นี่ไม่ธรรมดาเลย!

เมื่อไปถึงก้นหุบเขา พวกเขาก็เห็นร่างแข็งแกร่งหลายร้อยที่มีลมปราณรุนแรง พวกเขาสวมชุดเกราะรบสีเหลืองเข้ม ถือง่ามเหล็กและโซ่ขณะยืนอยู่หน้า “ท้องฟ้าหนึ่งเส้น[4]” ด้วยลักษณะที่น่าเกรงขาม ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเซียนเสิ่น

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกฉงนเล็กน้อยในใจ

โลกของสิ่งมีชีวิตกับแดนยมโลกนั้น แตกต่างกันมากเกินไป

ในขณะนั้น ก็มีคนสามคนบังเอิญผ่านมาที่นี่ก่อนหน้าคนจากสำนักตู้เซียนทั้งห้า แล้วพวกเขาก็เห็นทั้งสามคนนั้นกำลังค่อยๆ บินไปช้าๆ ระหว่างสองภูเขาใหญ่นั้น

ดูเหมือนว่า จะมีกฎห้ามอยู่ด้านหน้า จึงทำให้พวกเขาไม่อาจบินได้เร็วเกินไป

จี้อู๋โหย่วยืนเอามือไพล่หลังเอาไว้ในขณะที่ขับเคลื่อนเมฆมาหยุดอยู่เหนือพื้นดินสามฉื่อ และพาพวกเขาทั้งสี่ตรงไปยังสี่แยกที่ผู้คุ้มกันแดนยมโลกกำลังเฝ้าอยู่ ปรมาจารย์หว่างฉิงผุ้สูงส่งและโหย่วฉินเสวียนหย่า ล้วนจดจ่ออยู่กับการเตรียมรับมือพวกเขาอย่างเต็มที่ในขณะที่เจียงหลินเอ๋อร์ซึ่งเคยมาที่นี่สองสามครั้ง รู้สึกกังวลเล็กน้อย

ส่วนหลี่ฉางโซ่วนั้น เขามองไปที่เจ้าหน้าที่แดนยมโลกเหล่านี้ด้วยความสนใจอย่างยิ่งและคาดเดาคร่าวๆ ในใจ

เขาคิดว่าพวกเขาเหล่านี้ น่าจะเป็นพวกจอมเวทที่ไล่ตามโฮ่วถู่เหนียงเหนียง[5]ในตอนนั้น

โฮ่วถู่เหนียงเหนียงได้เปลี่ยนเป็นสังสารวัฏหกวิถีในช่วงระหว่างสงครามจอมเวท-ปีศาจครั้งที่สอง

เดิมทีโฮ่วถู่เหนียงเหนียงเป็นหนึ่งในสิบสองบรรพชนเผ่าเวท และมีชนเผ่าของนางเอง นางแปรเป็นแผ่นสังสารวัฏหกวิถีเพื่อกำราบแดนยมโลกตลอดไป นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเผ่าเวทกลุ่มหนึ่งจากเผ่าของนางที่เลือกจะติดตามนาง

เมื่อปรมาจารย์เหล่านี้เข้าสู่แดนยมโลก พวกเขาก็ตัดสัมพันธ์กับเผ่าเวทแล้ว และยังได้รับตำแหน่งนักบวชแห่งเต๋าสวรรค์อีกด้วย

ข้ามั่นใจว่าเจ้าหน้าที่แห่งแดนยมโลกเหล่านี้เป็นเผ่าเวทในชีวิตหลังความตาย

ทันใดนั้น แม่ทัพที่สวมชุดเกราะรบและถือค้อนคู่หนึ่งก็ก้าวออกไปข้างหน้า เมื่อพิจารณาจากกลิ่นอายของอีกฝ่ายแล้ว เขาน่าจะครองฐานพลังอยู่ที่เซียนเทียนขั้นกลาง

แม่ทัพคนนี้มีใบหน้าซีด ดวงตาปิดลงครึ่งหนึ่ง ดูราวกับว่าเขากำลังทำหน้าที่ของเขาตามปกติ

“พวกเจ้ามาจากที่ใด?” เขาถามเบาๆ ด้วยท่าทางเกียจคร้าน เฉื่อยชา

จี้อู๋โหย่วกล่าวอย่างสงบว่า “พวกเรามาจากสำนักเซียนในดินแดนเทวะบูรพา”

“อืม แล้วพวกเจ้ากำลังจะไปที่ใด?”

………………………………………………………………..

[1] เชื่อกันว่าจะมีแม่น้ำสามแยก ซึ่งบางทีเรียกว่าแม่น้ำซันซี หรือแม่น้ำยมโลก ว่ากันว่า เป็นจุดแบ่งกั้นโลกมนุษย์ (คนเป็น) และวิญญาณ (คนตาย) เป็นแม่น้ำ ซึ่งคนที่เสียชีวิตไปแล้ว จะต้องข้ามแม่น้ำนี้ ในวันที่เจ็ด และกระแสน้ำจะพัดพาไปยังสถานที่สามแห่งตามกรรมชั่วของคนผู้นั้น

[2] ในยุคทองแห่งราชวงศ์ถังได้พบว่ามีการเล่นดนตรีและการร่ายรำในงานพิธีศพ ยังไม่ทราบประสงค์แน่ชัด บ้างก็ว่าเพื่อเตือนใจผู้ยังอยู่รู้ว่าชีวิตเป็นของไม่แน่นอนและเกียรติยศต่างๆ ล้วนเป็นเพียงของนอกกาย บ้างก็ว่าเป็นการสาปแช่ง

[3] ผู้ฝึกบำเพ็ญหยินในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเกี่ยวข้องกับสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน แต่เกี่ยวข้องกับแดนยมโลก

[4] เปรียบว่าเป็นแนวแคบชัน มาจากการเรียกช่องผาที่แคบและชันมากๆ ซึ่งหากเราอยู่ในช่องนั้น เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไป ก็จะเห็นท้องฟ้าเป็นเส้นเดียว

[5] อีกพระนามหนึ่งของต้าเต๋อโฮ่วถู่ ราชินีแห่งแผ่นดินหรือเทพมารดาแห่งแผ่นดิน