บทที่ 468 จู่โจมอย่างกะทันหัน
บทที่ 468 จู่โจมอย่างกะทันหัน
เปาโหย่วหลู่ซึ่งเป็นหมอประจำตระกูลฉู่รีบวิ่งเข้ามา ฉินหว่านหรูหยุดเขาไว้ที่หน้าประตู
“นายหญิง ทำไมทำแบบนี้? คุณหนูใหญ่กำลังป่วยหนักไม่ใช่เหรอ?” เปาโหย่วหลูถามด้วยความงุนงง
ฉินหว่านหรูหน้าแดง “อืม…ตอนนี้มีคนอยู่ข้างใน ยังไม่เหมาะที่ท่านจะเข้าไปตอนนี้”
“อะไรนะ? หมอเทวะจี้มาถึงแล้วเหรอ?” เปาโหย่วหลูลูบเคราสีขาวของตัวเองโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นใบหน้าที่เอียงอายของฉินหว่านหรู น่าทึ่งจริง ๆ ถ้าข้าอายุน้อยกว่านี้สักยี่สิบปีคงใจสั่นไปแล้ว
ถึงนางจะดุร้ายไปหน่อย แต่ท่านอ๋องก็คงมีความสุขมาก
เฮ้อ…โชคชะตาเล่นตลกกับคนจริง ๆ
“ไม่ใช่ แต่เป็นคนอื่น” ฉินหว่านหรูอธิบาย “ข้าคงต้องขอรบกวนให้หมอเปารอสักครู่”
“โอ้?” เปาโหย่วหลูมองไปที่ประตูด้วยความอยากรู้ “มีหมอเก่ง ๆ คนอื่นในเมืองจันทร์กระจ่างอีกงั้นเหรอ? ถ้างั้นหลังจากนี้ ชายชราผู้นี้คงจะต้องขอคำชี้แนะจากเขาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ของตัวเองสักหน่อยแล้ว”
ฉินหว่านหรูตกอยู่ในความเงียบ นางไม่รู้ว่านางจะอธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร!
ฉู่จงเทียนเดินไปมาอย่างประหม่า ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถระงับความกังวลใจได้ ก่อนจะดึงภรรยาออกมาแล้วถามว่า “ที่รัก อาซูเชื่อถือได้จริงเหรอ? เราควรให้หมอเปาเข้าไปดูอาการก่อนหรือเชิญหมอเทวะจี้มาแทนไม่ดีกว่าหรือไง?”
เขาลดเสียงลงในขณะที่พูดชื่อของจี้เติ้งถู โดยคำนึงถึงความภาคภูมิใจของเปาโหย่วหลู
ฉินหว่านหรูก็ไม่มั่นใจเช่นกัน “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าชูเหยียนจะเชื่อใจเขามาก เขาน่าจะไว้ใจได้”
ฉู่ฮวนเจาเสริมอย่างฉุนเฉียว “ข้าก็เชื่อใจพี่เขยของข้าด้วย! เขารักษาพี่ใหญ่ได้แน่ ๆ!”
ฉินหว่านหรูตีหน้าผากลูกสาวของนาง “เด็กดื้ออย่างเจ้าจะรู้อะไร” นางพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
ฉู่จงเทียนมีท่าทางมึนงง “เจ้าปล่อยให้เขารักษานางทั้ง ๆ ที่เจ้าไม่แน่ใจเนี่ยนะ?”
“พอได้แล้ว พอ!” ฉินหว่านหรูรู้สึกวิตกกังวล “ว่าแต่ท่านส่งนังจิ้งจอกนั่นไปที่ไหน?”
“นังจิ้งจอก?” ฉู่ฮวนเจามองดูพวกเขาสองคนด้วยความสับสน
ฉู่จงเทียนรีบพูดทันที “ฮวนเจายังเด็ก! เจ้าระวังคำพูดหน่อย!”
ฉินหว่านหรูทำท่าเหยียดหยาม “ข้าผิดเหรอ? ชูเหยียนจะโกรธจนป่วยขนาดนี้ไหมถ้าไม่ใช่เพราะนังจิ้งจอกนั่นมาที่นี่?”
“อันที่จริงจะไปกล่าวโทษนางแบบนี้ก็ไม่ถูกซะทีเดียว” ฉู่จงเทียนพูดอย่างช่วยไม่ได้ “นางไม่รู้ว่าชูเหยียนบาดเจ็บอยู่ ท้ายที่สุดนี่ก็เป็นเพราะอาซูที่ผ่อนปรนกับทุกฝ่ายมากเกินไป”
“นี่ท่าน!?” ฉินหว่านหรูระเบิดด้วยความโกรธ “นางยังไม่ได้เข้าร่วมครอบครัวเราด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ท่านกลับพูดแทนนางแล้วงั้นเหรอ? ผู้ชายนี่มันเป็นเหมือนกันหมดหรือไง เห็นคนสวยเป็นไม่ได้!”
“อ…เอ่อ ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย…?” ฉู่จงเทียนฝืนยิ้ม
ฉู่ฮวนเจางงงวย “ท่านพ่อจะรับอนุภรรยา?”
ลุงทั้งหลายในตระกูลฉู่ของนางต่างก็มีอนุภรรยามากมาย แต่พ่อของนางที่มีสถานะสูงที่สุดในตระกูลกลับไม่มีอนุภรรยาสักคน
นางรู้สึกสงสารพ่อของนางเล็กน้อยที่เป็นเช่นนี้
นางคิดเสมอว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้สูงศักดิ์ที่จะมีอนุภรรยาหลายคน และยิ่งโดยเฉพาะที่แม่ของนางเป็นคนที่เข้มงวดเสมอมา ในขณะที่พ่อของนางดูใจดีมากกว่า ดังนั้นนางจึงมักจะเอนเอียงเข้าข้างพ่อเป็นปกติ
แน่นอน ถ้าฉินหว่านหรูรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ นางคงจะได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดอย่างแน่นอน!
ใบหน้าของฉู่จงเทียนแดงขึ้น “ไร้สาระ! พ่อไม่มีความคิดแบบนั้นสักหน่อย! เป็นสามีของพี่สาวเจ้าต่างหาก!”
“พี่เขย!?” ฉู่ฮวนเจาที่ตอนแรกทำตัวเป็นผู้ชมอยู่ข้างสนาม รู้สึกตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เกิดอะไรขึ้น?
“พี่เขยจะรับอนุภรรยา?” ฉู่ฮวนเจากะพริบตาอย่างรวดเร็ว นางแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง!
“ฮึ่ม! ตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้าไม่เคยได้ยินที่ไหนเลยว่าลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านภรรยากล้าทำตัวอุกอาจเช่นนี้!” ฉินหว่านหรูแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
“นางเป็นใคร?” ฉู่ฮวนเจารู้สึกว่าจิตใจว่างเปล่า ความตื่นเต้นในตอนแรกที่คิดว่าพ่อของนางรับอนุภรรยาหายไปในที่สุด
“เป็นเด็กสาวบางคนจากหอสุขนิรันดร์! นังจิ้งจอกนั่นไม่สนใจเลยว่าตระกูลฉู่จะเสื่อมเสียขนาดไหน!”
ฉินหว่านหรูจ้องสามีของนางและเตือนเขาด้วยสายตาอย่างชัดเจนว่าอย่าพูดถึงตัวตนของบุคคลนี้
“ใช่ชิวฮัวเล่ยหรือเปล่า?” เสียงของฉู่ฮวนเจาดังกว่าปกติ
“เจ้ารู้ได้ยังไง?” ฉู่จงเทียนประหลาดใจ ลูกสาวของเขารู้เกี่ยวกับเรื่องหอสุขนิรันดร์ได้อย่างไร?
“ฮึ่ม! ข้าจะไม่รู้ได้ยังไงพี่เขยเคยไปก่อเรื่องครั้งใหญ่ไว้ที่นั่น! เขากล้าดียังไงถึงพานังจิ้งจอกนั่นมาที่นี่!” ฉู่ฮวนเจาที่กำลังโกรธเกรี้ยวมองฉู่จงเทียน “ท่านพ่อส่งนังจิ้งจอกนั่นไปที่ไหน?”
“น่าจะเป็นห้องพักแขก…น่าจะนะ…” ฉู่จงเทียนตอบอย่างไม่มั่นใจ
ทำไมลูกสาวคนรองของข้าถึงดูโกรธมากกว่าลูกสาวคนโตซะอีก?
ฉู่ฮวนเจาหมุนตัวกลับ และวิ่งมุ่งหน้าไปทางห้องรับรองแขกทันทีด้วยความโกรธโดยไม่รอให้พ่อของนางพูดจบ
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วขณะนี้ ชิวฮัวเล่ยไม่ได้อยู่ในห้องพักแขก แต่นางอยู่ที่ห้องของซูอันต่างหาก
“นี่คือห้องนายน้อยของเจ้างั้นเหรอ?” มุมริมฝีปากของชิวฮัวเล่ยยกขึ้น เมื่อเห็นที่พักอาศัยของซูอัน
“แท้จริงแล้วนายน้อยอาศัยอยู่ที่นี่ เขาไม่ได้พักอยู่ห้องเดียวกับคุณหนูใหญ่” คนรับใช้พูดอย่างประจบสอพลอ ผู้หญิงคนนี้สวยอย่างเหลือเชื่ออีกทั้งร่างกายของนางก็มีกลิ่นที่หอมหวาน
“ขอบคุณ! ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร?” ชิวฮัวเล่ยยิ้มหวาน
“ผู้น้อยคนนี้คือจิ่นจู!”
“จิ่นจู?” ชิวฮัวเล่ยหัวเราะคิกคัก “เป็นชื่อที่พิเศษทีเดียว”
ร่างกายของผู้รับใช้นั้นชาไปทั้งตัว นางยิ้มให้ข้า! นางยิ้มให้ข้า!
“แม่นางอยากได้อะไรก็บอกข้าได้เลย!” จิ่นจูขันอาสา
“ขอบคุณพี่จิ่น” ชิวฮัวเล่ยปฏิเสธเขาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นนางก็ตรวจดูห้องของซูอันด้วยความอยากรู้อย่างยิ่ง
ชิวฮัวเล่ยแสดงออกถึงความอยากรู้อยากเห็น ข้าสงสัยว่าเขาซ่อนอะไรไว้ในที่พักอาศัยของตนเองหรือไม่? นางผลักประตูเข้าไป นางต้องการค้นหาว่าซูอันเปลี่ยนไปอย่างมากจากตัวตนก่อนหน้านี้ได้อย่างไร
แต่เมื่อเข้าไปในห้อง สีหน้าของนางกลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นางหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้นลมกระโชกแรงพัดผ่านตรงที่นางเพิ่งยืนอยู่เมื่อครู่อย่างฉับพลัน
“หืม?” เห็นได้ชัดว่าผู้โจมตีไม่คิดว่านางจะสามารถหลีกเลี่ยงการจู่โจมที่รวดเร็วและรุนแรงนี้ได้
ชิวฮัวเล่ยตื่นตระหนก จังหวะของผู้โจมตีนั้นยอดเยี่ยมมาก และยากต่อการสกัดกั้น การหลบหลีกของนางเมื่อครู่นี้จริง ๆ แล้วเกินขีดจำกัดความสามารถตามปกติของนาง ดังนั้นจึงไม่มั่นใจที่จะหลบเลี่ยงการโจมตีครั้งที่สองได้
ผู้หญิง?
เสียงประหลาดใจของผู้โจมตีดังขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ก็ยังไม่พ้นหูของนาง
นี่คือใคร?
เพราะทั้งคู่ไม่มีโอกาสจุดตะเกียง ห้องจึงมืด ต่างฝ่ายต่างแลกหมัดกันอย่างบ้าคลั่ง
เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า คุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ดูเหมือนจะได้รับพรจากตระกูลฉู่ไปจนหมด ส่วนน้องสาวของนางนอกจากสืบทอดความงามจากมารดาแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีเทียบเท่าฉู่ชูเหยียนได้เลย
หรือว่าหญิงสาวคนนี้คือน้องสาวของฉู่ชูเหยียน? ว่าแต่ทำไมนางถึงมาอยู่ในห้องของซูอัน? ชิวฮัวเล่ยงงงวย แต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
นางตัดสินใจว่าจะจับเป็นผู้หญิงคนนี้ นางรู้สึกว่ากำลังจะค้นพบความลับที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลฉู่
น่าเสียดายที่ระดับการบ่มเพาะของผู้หญิงคนนี้สูงกว่าที่คิดไว้ แม้ว่าชิวฮัวเล่ยจะไม่ออมมือเลย แต่อีกฝ่ายกลับสกัดกั้นการเคลื่อนไหวทั้งหมดของนางได้อย่างง่ายดาย และเกือบจะกลายเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอยู่หลายครั้ง
ด้วยความกลัวว่าตระกูลฉู่จะรู้ตัว ชิวฮัวเล่ยจึงไม่กล้าใช้พลังธาตุของนาง คนทั้งสองยังคงแลกเปลี่ยนการโจมตีทางกายภาพกันอย่างดุเดือด
อย่างไรก็ตาม ยิ่งการต่อสู้ดำเนินไปนานเท่าไหร่ นางก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น!