บทที่ 439 ความสัมพันธ์ซับซ้อน
บทที่ 439 ความสัมพันธ์ซับซ้อน
ครั้นหลินซือจามออกมาเป็นครั้งที่สอง นางจึงโดนสาวใช้ดึงกลับเข้าไปในลานบ้าน ม้านั่งยังไม่ทันจะอุ่น ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากประตูลานบ้าน
หลินซือเกียจคร้านเกินกว่าที่จะลุกขึ้น นางจึงขอให้หูเซียงไปเปิดประตู และเอ่ยขึ้น “มาเร็วอยู่นะ”
ประตูเปิดออก ทำให้หูเซียงตกใจเป็นอย่างมาก “คุณชายสาม?”
หลินซือเองก็ตะลึงงัน นางได้สติผุดลุกขึ้นยืน รุดหน้าไปทางประตู “ซานเป่าเจ้ามาได้อย่างไร?”
“หึ!” เซี่ยเซินกวาดสายตามองรอบ ๆ ราวกับเป็นโจรขโมย เมื่อพบว่าไม่มีคน เขาจึงก้าวเข้าไปข้างในและปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว
“พี่หญิง วันนี้ข้าแอบมา”
เซี่ยเซินอยู่ที่บ้านแล้วยังทำตัวเหมือนหัวขโมย เด็กชายลูบศีรษะตัวเองอย่างเก้อเขิน หลังจากนั้นก็ขยับเพื่อให้คนด้านหลังออกมา “ฝ่าบาทอยากพบท่าน”
หลินซือเพิ่งจะสังเกตเห็นเด็กรับใช้ที่อยู่ด้านหลังของเซี่ยเซิน เมื่อได้ยินคำว่า ‘ฝ่าบาท’ เด็กสาวก็คิดขึ้นมาได้ว่าคือองค์รัชทายาทที่ชนตนเองในวันนั้น
“คารวะองค์รัชทายาทเพคะ!”
หลินซือรีบดึงหูเซียงที่ไม่ได้มีการตอบสนองอะไรให้รีบทำความเคารพ
องค์รัชทายาทรีบรุดขึ้นมาหยุดเด็กสาวไว้ “ไม่ต้องพิธีรีตองให้มากมาย วันนี้ข้ามาเพื่อขอบคุณ มีเหตุผลใดบ้างที่แม่นางหลินจะรับของขวัญไว้ได้”
“ฝ่าบาทโปรดอย่าเอ่ยวาจาขบขันเลยเพคะ เป็นความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
หลินซือคาดไม่ถึงว่าจู่ ๆ เขาจะมาขอบคุณตน จึงมีความรู้สึกว่าเหมือนถูกประจบประแจง
องค์รัชทายาทเกิดมามีผิวพรรณดี ทั้งยังอยู่ในร่างของเด็ก ถึงแม้หลินซือจะได้รับคำตักเตือนจากหลินเหรา มันก็ยากที่จะระมัดระวังตลอดเวลา
องค์รัชทายาทเป็นคนช่างสังเกตและหลินซือก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ในตอนที่เจี่ยงเถิงมาถึง องค์รัชทายาทในตอนนี้ก็ดูเหมือนกับเป็นน้องชายคนใหม่ของหลินซือ ส่วนฝั่งของเซี่ยเซินนั้นในบางเวลาเด็กชายก็พูดอะไรไม่ออก
เซี่ยเซินหมดอาลัยตายอยาก เมื่อเด็กชายได้พบกับเจี่ยงเถิงตรงหน้าประตู แววตาของเด็กชายก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เด็กน้อยก็รีบตรงเข้าไปแล้วกระซิบกับอาเถิง “พี่เถิง ท่านรีบพาพี่สาวข้าไปที ไม่เช่นนั้นองค์รัชทายาทคงจะไม่ยอมกลับเป็นแน่แท้”
เซี่ยเซินอธิบายด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ เจี่ยงเถิงก็เข้าใจทันที เด็กหนุ่มจึงพยักหน้าให้กับเซี่ยเซินและยื่นมือไปเคาะประตูเบา ๆ
“พี่อาเถิง!” หลินซือคลี่ยิ้มกว้าง และโบกมือให้เด็กหนุ่มรีบนั่งลง
เจี่ยงเถิงปิดประตู หลินซือกล่าวแนะนำองค์รัชทายาทด้วยความเคารพ “นี่คือองค์รัชทายาท ก่อนหน้านี้ที่ข้าเคยเล่าให้ฟังว่าเคยพบที่ร้านอาหารหรูอี้”
เจี่ยงเถิงพยักหน้า และโค้งคำนับองค์รัชทายาทด้วยความเคารพ
ครั้งนี้องค์รัชทายาทโค้งรับอย่างเป็นกลาง เจี่ยงเถิงไม่รอให้หลินซือแนะนำตนเอง เด็กหนุ่มก็แนะนำชื่อเสียงเรียงนามให้กับองค์รัชทายาท
“ข้าเคยได้ยินเรื่องของเจ้า เรื่องของเมืองย่านฮุ่ย เจ้าจัดการได้ดีมาก”
“ทั้งหมดล้วนเป็นคุณงามความดีของใต้เท้าหลี่ กระหม่อมเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เจี่ยงเถิงตอบกลับอย่างเป็นทางการ
องค์รัชทายาทมุ่ยปากและไม่ได้กล่าวอะไร ทรงครุ่นคิดภายในใจถึงเมื่อครู่ที่หลินซือตะโกนว่า ‘พี่อาเถิง’
องค์รัชทายาทมองว่าหลินซือเป็นสมบัติของตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงมีความรู้สึกว่าคำเรียกขานนั้นดูสนิทชิดเชื้อเกินไป ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด
องค์รัชทายาทยังไม่ได้กล่าวอะไรออกมา หลินซือก็คิดว่าเขาต้องการจะพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับงานราชการ เด็กสาวจึงรอต่อไป
บรรยากาศในบริเวณลานบ้านเงียบสงัดลงเรื่อย ๆ หลินซือจึงฉุกคิดได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติ
“องค์รัชทายาททรงเยาว์วัยเช่นนี้ แต่ทรงรับรู้เรื่องงานราชการแล้ว”
หลินซือกล่าวขึ้นมาหนึ่งประโยค
“ข้าเป็นองค์รัชทายาทนะพี่อาซือ ในฐานะองค์รัชทายาท เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ข้าสมควรจะทำ”
องค์รัชทายาททรงเปลี่ยนบริบทการสนทนาให้ดูเป็นกันเองมากขึ้น “ในทุก ๆ วันพระราชครูเซี่ยจะมอบหมายการบ้านมากมาย พอเลิกเรียนก็ต้องไปห้องหนังสือเพื่อให้องค์จักรพรรดิทรงทดสอบ วันนั้นข้ารู้สึกว่ารับไม่ไหวจริง ๆ จึงอยากจะออกจากวังมาเปลี่ยนบรรยากาศ”
ถึงแม้ว่าหลินซือจะไม่ได้ตระหนักถึงจุดนี้ แต่พี่ชายของนางเคยบอกให้นางรับรู้แล้ว ว่าการเป็นองค์รัชทายาทนั้นต้องอยู่ภายใต้แรงกดดันที่มากมาย เด็กสาวเอ่ยปลอบอย่างนุ่มนวล “ตอนนี้องค์จักรพรรดิยังมีอายุไม่มากนัก ฝ่าบาทไม่ต้องรีบร้อนอะไร ค่อยเป็นค่อยไปก็ย่อมได้เพคะ”
“พี่อาซือช่างแสนดีเสียจริง เสด็จแม่มักจะบอกให้ข้าเชื่อฟังคำพูดของเสด็จพ่อ ไม่เคยสนใจความรู้สึกของข้ามาแต่ไหนแต่ไร”
ดวงตากลมโตขององค์รัชทายาทเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา เข้าไปกอดหลินซือด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
หลินซือที่ไม่มีความรู้สึกใดเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเด็กสาวเพียงแค่ปลอบน้องชายเท่านั้น แต่ในฝั่งของเจี่ยงเถิงนั้น เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนกับโดนทิ่มแทงดวงตา จึงได้กระแอมออกมา
“อะแฮ่ม อาซือ ได้สถานที่ที่จะดูดวงจันทร์แล้ว” เจี่ยงเถิงกล่าวเตือน
“จริงด้วย! ถ้าท่านไม่พูดมาข้าคงลืมไปแล้ว” หลินซือลูบตัวเอง และหันไปยิ้มกับองค์รัชทายาทด้วยความเกรงใจ “ฝ่าบาท เย็นวันนี้ข้ามีนัด ท่านรีบกลับไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคนในวังจะเป็นกังวลได้เพคะ”
“ข้าไปด้วยไม่ได้หรือ?” องค์รัชทายาทจับมือหลินซือไว้แน่น วอนขอด้วยแววตาเป็นประกาย
“เกรงว่าคงจะไม่ได้เพคะ หอไจซิงมีคนเยอะมาก หากเกิดเรื่องผิดพลาด พวกเราจะกลายเป็นคนบาปของต้าเยี่ยน”
หลินซือสบตาเจี่ยงเถิง และเด็กหนุ่มก็พยักหน้าให้กับนาง
“ดังนั้นฝ่าบาทรีบกลับไปเถอะเพคะ” หลินซือลูบศีรษะองค์รัชทายาทแผ่วเบา “เมื่อครู่ท่านเพิ่งกล่าวไม่ใช่หรือว่าต้องมีความอดทน เช่นนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือปกป้องตัวเอง วันหลังอย่าได้แอบออกวังมาอีก เข้าใจหรือไม่เพคะ?”
“แต่ว่าพี่อาซือ ข้าอยากอยู่กับเจ้า”
องค์รัชทายาทไม่ยอมปล่อยมือหลินซือ “เจ้าเข้าวังไปกับข้าได้หรือไม่ วันข้างหน้าพวกเราจะได้อยู่ในวังด้วยกัน ในวังก็ชมพระจันทร์ได้”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ จะสามารถไปอยู่ในราชวังได้อย่างไรเพคะ” หลินซืออดยิ้มไม่ได้
“ได้สิ ได้สิ พี่อาซือเป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาทได้หรือไม่ จะได้อยู่กับข้าตลอดไป!” ฝ่าบาทจ้องมองหลินซือด้วยแววตาแห่งความหวัง จับมือของนางไว้ “จะได้ไหม”
หลินซือไม่ได้กล่าวอะไร แต่เจี่ยงเถิงนั้นหน้าดำหน้าแดงอย่างถึงที่สุด
เป็นตามที่คาดเอาไว้ไม่ผิด องค์รัชทายาทผู้นี้แก่แดดยิ่งนัก เขาต้องการตัวหลินซือจริง ๆ
เจี่ยงเถิงพยายามควบคุมโทสะ เด็กหนุ่มขยิบตาให้กับเซี่ยเซิน
เมื่อหายจากอาการตกตะลึงแล้ว เซี่ยเซินก็พลันได้สติกลับมา จึงรีบไปโน้มน้าวใจองค์รัชทายาท “ฝ่าบาท พระองค์ไม่สามารถพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ได้”
“ถูกต้อง ฝ่าบาทไม่ควรพูดจาล้อเล่นเพคะ” หลินซือมีปฏิกิริยาตอบกลับ ถอนมือขององค์รัชทายาทออก “ฝ่าบาทรีบกลับไปได้แล้วเพคะ หม่อมฉันกับเจี่ยงเถิงมีนัดกัน จะไม่ทำให้พระองค์เสียเวลาไปมากกว่านี้แล้วเพคะ”
เจี่ยงเถิงที่อยู่ด้านหลังของเด็กสาวเงียบ ๆ ก็ยกมือโอบไหล่หลินซือ ก่อนกล่าวลาองค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทจ้องมองแผ่นหลังของทั้งคู่ คนหนึ่งร่างสูงใหญ่ คนหนึ่งร่างเล็ก คนร่างเล็กตัวติดกับคนด้านข้างอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อมองดูก็รับรู้ได้ว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง อีกนิดเดียวก็คงจะเขียนแสดงความเป็นเจ้าของบนใบหน้าแล้ว
“เจี่ยงเถิงผู้นั้น รู้จักกับพี่สาวเจ้าหรือ?” ระหว่างเดินทางกลับที่เงียบสงัด จู่ ๆ องค์รัชายาทก็เอ่ยถามกับเซี่ยเซิน
“พวกเขาโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเยาว์” เซี่ยเซินลูบคางของตนครุ่นคิดเรื่องราวในอดีต “น่าจะตั้งแต่ข้าจำความได้ พี่เถิงก็อยู่กับพี่สาวข้ามาโดยตลอด ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมานานหลายปี ตอนนี้พี่สาวข้าก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว พี่เถิงเองก็ทำงานในราชสำนักได้ดียิ่ง อีกไม่เท่าไรก็น่าจะหมั้นหมายกันแล้ว”
“ต้องไม่เป็นเช่นนี้” พระองค์กล่าวเสียงขรึม
“หืม?” เซี่ยเซินตกตะลึงไปสักพัก เด็กชายกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ฝ่าบาท พระองค์คงจะไม่ได้อยากจะได้พี่สาวข้ามาเป็นพระชายาจริง ๆ ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ! นี่มันเป็นไปไม่ได้ พวกท่านอายุต่างกันมากเกินไป อีกทั้งพวกเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จะเป็นไปได้อย่างไร”
“เช่นนั้นหรือ? เช่นนั้นทำไมข้าไม่เคยได้ยินพี่สาวเจ้าพูดว่ารู้สึกเช่นไรกับเจี่ยงเถิงเล่า” องค์รัชทายาทถามกลับ
เซี่ยเซินที่โดนถามขึ้นมาเช่นนี้ชะงักไป เด็กชายคิดอยู่สักพักดูเหมือนว่าจะคิดอะไรไม่ออกจริง ๆ
“เรื่องมันจะเป็นเช่นไรมันก็อยู่ที่คนจะกำหนด” องค์รัชทายาทถอนหายใจและเอนตัวลงเบาะและหลับตาลงไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ถึงแม้ว่าเซี่ยเซินจะไม่เข้าใจว่าองค์รัชทายาทต้องการจะทำสิ่งใด แต่เด็กชายคิดว่าพี่สาวของตนต้องอยู่กับเจี่ยงเถิงอย่างแน่แท้ องค์รัชทายาทยังเยาว์วัยนัก และความรักที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกับอายุของเขา จะสามารถเลือกภรรยาได้อย่างไร?
ไม่นานเซี่ยเซินก็ทิ้งเรื่องนี้ไป ตอนนี้คิดเพียงแต่ว่าจะส่งฝ่าบาทกลับวังโดยเร็ว
………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่เถิงหวงหน้าดำหน้าแดงขนาดนั้นน่าจะรู้ตัวได้แล้วนะอาซือว่ากำลังโดนสองหนุ่มจีบอยู่
ไหหม่า(海馬)