บทที่ 440 สับสน

บทที่ 440 สับสน

“วันนั้นท่านพ่อบอกกับข้าแล้ว ข้าเองก็ยังไม่ปักใจเชื่อ ไม่คิดเลยว่าฝ่าบาทจะมาจริง ๆ”

ระหว่างทางไปหอไจซิง หลินซือกำลังเล่าเรื่องราวขององค์รัชทายาทให้เจี่ยงเถิงฟังอย่างกระตือรือร้น

“เพียงแต่ท่านพ่อบอกว่าองค์รัชทายาทมีเล่ห์เหลี่ยมและแผนการมากมาย ข้ากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นคนมีแผนการ แต่นั่นก็เพราะเขาเป็นเด็กที่เติบโตในพระราชวัง คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเติบโตมาเป็นกระดาษขาวสะอาด”

“อาซือ”

เจี่ยงเถิงทนไม่ไหวจึงเอ่ยขัดจังหวะของหลินซือ “เจ้าพูดออกมาเช่นนี้แล้ว ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าจะไปเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทจริง ๆ”

“พูดจาอะไรของท่านกัน” หลินซือใช้สายตาที่โง่เขลาจ้องมองเจี่ยงเถิง “องค์รัชทายาทอายุเพียงเท่านี้ องค์จักรพรรดิจะทรงยินยอมให้คนที่อายุมากกว่าเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทได้เช่นไร?”

“หากองค์จักรพรรดิยินยอมก็สามารถเป็นได้หรือ?” เจี่ยงเถิงรีบเอ่ยถาม

“ไม่ได้แน่นอน ท่านพ่อท่านแม่ข้าไม่มีวันยินยอม ท่านพ่อยังให้ข้าอยู่ห่างจากฝ่าบาท แสดงว่าพวกท่านต่างก็เห็นด้วยแล้วว่าข้าก็ไม่ชอบองค์รัชทายาท”

หลินซือรู้สึกว่าเจี่ยงเถิงวันนี้ดูพูดจาหุนหันพลันแล่นแปลก ๆ ดังนั้นเด็กสาวจึงไม่พูดจาขบขันและถามระมัดระวัง “พี่อาเถิง ท่านเป็นอะไรไป อารมณ์ไม่ดีหรือ?”

วันนี้เป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำ ดวงจันทร์ดูกลมโตสุกสว่างคล้ายกับชามเงินใบโตบนท้องนภา แสงสีนวลที่สาดส่องลงมา เพิ่มความนุ่มนวลในแววตาของอาซือยิ่งขึ้น

หลินซือจ้องไปที่เจี่ยงเถิงอย่างตั้งใจ ดวงตาสุกใสของนางปรากฏภาพสะท้อนของเจี่ยงเถิงผู้เดียวเท่านั้น

เมื่อถูกจ้องมองเช่นนี้ เจี่ยงเถิงก็เกือบจะเอ่ยออกมาทันที “เป็นอะไรไปน่ะหรือ ข้าชอบเจ้า ข้าชอบเจ้าอย่างไรเล่า เพียงแต่ข้าไม่กล้าบอกออกไป!”

ท้ายที่สุดริมฝีปากของเจี่ยงเถิงก็ขยับขึ้น ชายหนุ่มเอ่ยเพียงแค่ว่า “เจ้าเองก็รู้ องค์รัชทายาทเติบโตขึ้นจากในวัง ดังนั้นเขาควรที่จะรู้เรื่องราวได้แล้ว เรื่องพระชายาก็ไม่สมควรเอ่ยล้อเล่น วันข้างหน้าเจ้าก็ติดต่อกับองค์รัชทายาทให้น้อยลงก็แล้วกัน”

เมื่อเห็นว่าท่าทางของเจี่ยงเถิงกลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว หลินซือก็ถอนหายใจออกมา เด็กสาวจับแขนของเจี่ยงเถิงแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้แล้วน่า เพียงแต่องค์รัชทายาทอยู่ในวัง พวกเราก็ไม่ค่อยจะมีโอกาสพบกับเขา เด็กเล็กมักจะขี้ลืม ไม่แน่ว่าถ้าพบกันครั้งหน้าเขาก็อาจจะลืมไปแล้ว”

ทั้งสองคนสนทนากัน ไม่นานก็ได้เดินทางมาถึงหอไจซิงแล้ว

วันนี้ไม่ใช่เทศกาลสำคัญอะไร เพียงแค่หลังจากวันนั้นหลินซือได้ฟังเรื่องราวนอกเมืองหลวงของเจี่ยงเถิง จึงอยากดูทิวทัศน์ของเมืองหลวงจากที่ไกล ๆ บ้าง

เจี่ยงเถิงที่ไม่มีเวลาในตอนกลางวัน จึงต้องเปลี่ยนเป็นมาชมดวงจันทร์ในเวลาค่ำแทน

ทั้งสองคนค่อย ๆ เดินคนละก้าวสองก้าวไปบนชั้นที่สูงที่สุดของหอไจซิง ถึงแม้ว่าจะเดินไปไม่ถึง ‘ชั้นเก็บดาว’ แต่ดูเหมือนว่าห้วงนภาจะเต็มไปด้วยดวงดาราสุกสกาว แม้แต่แสงจันทร์เองก็ส่องสว่างเป็นอย่างมาก

“ว้าว!” ก่อนหน้านี้หลินซือคร้านที่จะปีนขึ้นบันได นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาที่นี่ ทันทีที่ขึ้นมาถึงก็ต้องตกตะลึงกับทิวทัศน์ตระการตา เด็กสาววิ่งไปทั่วดาดฟ้าก่อนที่กลับมาหาเจี่ยงเถิงด้วยสภาพหายใจหอบ

เจี่ยงเฉิงยืนอย่างสงบอยู่ที่ช่องระบายอากาศเพื่อบังลมให้กับเด็กสาว ชายหนุ่มใช้ผ้าเช็ดหน้าคอยซับเหงื่อให้กับหลินซืออย่างทะนุถนอม “ข้าไม่ได้โกหกเจ้า ทิวทัศน์ตอนค่ำสวยงามไม่ต่างจากตอนกลางวันเลย”

หลินซือพยักหน้าและเงยหน้ามองดูดวงดาวบนท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต

ทันใดนั้นหลินซือก็ชี้นิ้วไปที่จุดที่มืดที่สุดบนท้องฟ้า เอ่ยกับเจี่ยงเถิง “พี่อาเถิง นั่นคือผาสี่พยัคฆ์ที่ท่านไปพบโจรภูเขาเข้าใช่หรือไม่?”

เจี่ยงเถิงพยักหน้า หลินซือจ้องมองไปบริเวณนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ว่าแสงจันทร์จะสว่างแค่ไหน บริเวณนั้นก็ยังคงเป็นเงาดำที่มืดสนิท

“อ้อ ข้าเองก็ยังอยากจะออกไปดูทางทิศเหนือและใต้ของแม่น้ำด้วย”

จู่ ๆ ความรู้สึกตื่นเต้นของหลินซือก็พลันลดลง เด็กสาวใช้นิ้วสัมผัสกับราวบันไดเบา ๆ “ท่านพ่อและท่านแม่ทัศนาจรไปทั่วทุกทิศมาโดยตลอด ไม่ง่ายเลยที่จะกลับมาเมืองหลวงสักครั้ง พี่ใหญ่ก็เข้าไปในราชสำนักแล้ว อีกสองปีก็จะแต่งงานกับพี่ไป๋ ก็จะไม่มีเวลาให้ข้าแล้ว เมื่อก่อนยังมีท่านคอยเล่นกับข้า แต่ตอนนี้แม้กระทั่งท่านเองก็ไม่มีเวลา”

เจี่ยงเถิงอยากจะเอ่ยคำว่า ‘ข้าจะอยู่กับเจ้า’ แต่เด็กหนุ่มเองก็รู้อยู่แก่ใจ ตอนนี้เขายังไม่สามารถทำให้นางได้ เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเอ่ยว่าเขาจะอยู่กับหลินซือตลอดไป

ในตอนนี้เองที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์นวลผ่อง เด็กหนุ่มเองก็ดูเหมือนมีความกล้าขึ้นมาเช่นกัน เจี่ยงเถิงมองเม็ดเหงื่อบาง ๆ บนปลายจมูกของหลินซือ และกล่าวขึ้นเบา ๆ “อาซือ วันข้างหน้าเจ้าอยากจะทำอะไร?”

อาซือครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ข้าเองก็อยากออกไปดูโลกข้างนอกเฉกเช่นพวกท่าน เพียงแต่ตัวข้าเองต้องดูแลตัวเองไม่ได้แน่ ๆ ตอนนี้ข้าอยากเป็นเหมือนท่านแม่ อยากจะทำกิจการหาเงิน ข้าเองก็ชอบเงินนะ แต่ว่าพี่ไป๋ก็มีความคิดเช่นนี้ หลังนางแต่งงานเข้ามาเป็นครอบครัวเรา ในวันข้างหน้าคงจะเปิดร้านค้าต่าง ๆ ก่อนจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกโดยไม่ต้องเป็นกังวลใจ”

เมื่อฟังหลินซือพรรณนาถึงอนาคตที่สวยงาม เจี่ยงเถิงเคลื่อนไหวร่างกายช้า ๆ แล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “นอกจากหาเงินเล่า? อาซือก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ยังไม่มีคนที่ชอบหรือ?”

“คนที่ชอบหรือ? ” หลินซือตกตะลึง นางคิดอย่างถี่ถ้วนแต่กลับคิดไม่ออก

ดูเหมือนว่านางจะอยู่กับเจี่ยงเถิงตลอด เมื่อมองดูบุรุษคนอื่นแล้วเปรียบเทียบกับเจี่ยงเถิงก็รู้สึกว่าตรงนี้ไม่ได้ ตรงนั้นก็ยังไม่ดี จนถึงตอนนี้เด็กสาวก็ยังไม่รู้จักบุรุษหนุ่มในเมืองหลวงที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับตนเลย

ทันใดนั้นหลินซือก็นึกคำถามมาได้หนึ่งคำถาม ทำไมตนเองไม่เอาบุรุษเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับเจี่ยงเถิงเล่า? แล้วถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้วเหตุใดเจี่ยงเถิงจึงไม่มาเป็นสามีของตนเสีย

“พี่อาเถิง!” หลินซือจู่ ๆ ก็ตะโกนออกมา

“อะไรหรือ!” เจี่ยงเถิงตกใจและรีบเอ่ยถามขึ้น

“ตรงนี้ลมพัดแรงมาก พวกเรารีบกลับกันเถอะ ” หลังจากพูดจบ นางก็ดึงแขนเสื้อของเจี่ยงเถิงแล้วลากเขากลับมา

เจี่ยงเถิงถูกลากออกมาจากหอไจซิงด้วยความงุนงง เมื่อมาถึงถนนก็พบว่าหลินซือนั้นหน้าแดงก่ำและกำลังหลบสายตาตนอยู่

“อาซือ หรือว่าเจ้าหนาวหรือ?” เจี่ยงเถิงยืนมือไปแตะหน้าผากเด็กสาววัดอุณหภูมิ

หลินซือยืนนิ่งและปล่อยให้เด็กหนุ่มตรวจสอบร่างกายตน สุดท้ายก็ไม่พบอะไร

หลินซือเพียงแค่อยากกลับบ้านให้เร็วที่สุด เจี่ยงเถิงทำให้เพียงแค่ส่งนางกลับโดยเร็ว

ตกกลางดึกหลินซือยังคงครุ่นคิดคำถามนั้นซ้ำไปมาบนเตียงของนาง

ทำไมตนจึงรู้สึกว่าเจี่ยงเถิงควรคู่ที่จะเป็นสามีของตน ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเขาเป็นดั่งพี่ชายของตัวเอง

แต่ว่าเป็นพี่ชายจริง ๆ หรือ หลินซือลองเปรียบเทียบหลินจื้อกับเจี่ยงเถิง แล้วเด็กสาวก็กลับมาสงสัยอีกครั้ง

…………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

แบบนี้เขาไม่เรียกว่าพี่ชายค่ะอาซือ เขาเรียกว่าพี่ชายที่รักแล้วค่ะ

ไหหม่า(海馬)