บทที่ 356 รักของพ่อยิ่งใหญ่ดุจภูผา

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 356 รักของพ่อยิ่งใหญ่ดุจภูผา

เอ๊ะ…ดินปืนที่ตกน้ำแล้วยังใช้การได้อยู่หรือไม่

นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่ว่าเขาไม่มีเวลาจะงมขึ้นมาแล้วต่างหาก ชายชุดดำทั้งสองถือกระบี่พุ่งมาทางเขาแล้ว รังสีอาฆาตอันแรงกล้าแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกระบี่ ราวกับคมมีดนั้นทั้งเร็วทั้งแรงจนบั่นอากาศเป็นชิ้นๆ ได้!

เพลงดาบไม้ตายนี้ ยอดฝีมือทั่วไปไม่มีทางหลบพ้นแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนขาเป๋อย่างเซียวลิ่วหลัง

เขาได้แต่มองดาบของอีกฝ่ายพุ่งตรงมาที่เขาตาปริบๆ ก่อนจะหลับตาลง

กระบี่ทั้งสองเล่มหมายจะบั่นคอเขาพร้อมๆ กัน ทว่าสุดท้ายกลับไม่ลงดาบ แต่วินาทีที่คมมีดห่างกับลำคอเขาเพียงแค่คืบ ทั้งสองคนก็หยุดลงในทันใด

เซียวลิ่วหลับลืมตาพรึบ

ทั้งสองร่างกายแข็งทื่อก่อนจะล้มตึงลงกับพื้น แม้แต่สองตายังไม่ทันได้ปิดลง

ด้านหลังของสองคนนั้น คือฉังจิ่งที่กำลังเก็บกระบี่อย่างคล่องแคล่ว!

จากนั้นฉังจิ่งก็ลงน้ำลงไปงมลูกแก้วสีดำนั้นขึ้นมาจากน้ำ

เขาเก็บลูกแก้วดำนั้นขึ้นมาได้ ดูเหมือนจะสนอกสนใจไม่น้อย พอเขาออกแรงบีบ เสียงตูมก็ดังขึ้น

เขาถูกแรงระเบิดจนหน้าดำเป็นก้นหม้อ

เซวียนผิงโหวเดินทอดน่องขึ้นมาจากหลังเนินเขาอย่างไม่ช้าไม่เร็วนัก เขาสวมชุดผ้าไหมสีม่วงเข้ม แต่ละย่างก้าวดูแสนเอ้อระเหย ท่าทางเกียจคร้าน

เขาก็เป็นเสียแบบนี้ แม้จะเป็นหนทางคับแคบในป่าเขา ก็เขากลับเยื้องย่างราวกับเทพเซียนบนสรวงสวรรค์

เซียวลิ่วหลังเห็นเขา แต่สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด ยังคงเย็นชาดังเดิม

ยังดีที่เซวียนผิงโหวนั้นชินเสียแล้ว เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวลิ่วหลัง มองอีกฝ่ายหัวจรดเท้า ราวกับกำลังดูว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่

เมื่อมั่นใจแล้วว่าลูกชายตัวเองไม่ได้เลือดตกยางออก เขาถึงได้เหลียวไปมองฉังจิ่งที่ถูกแรงระเบิดจนนั่งสติเลื่อนลอยอยู่บนพื้น เขาใช้ปลายเท้าสะกิดบั้นท้ายของฉังจิ่ง “ใครใช้ให้เจ้าฆ่าเจ้าพวกนั้นกัน บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้เหลือไว้เป็นเชลย เหลือไว้เป็นเชลยอย่างไรเล่า!”

ฉังจิ่งไม่สนใจเขา ลุกยืนขึ้นด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาหนีไป

เหอะ โกรธแล้วสินะ

เซวียนผิงโหวทอดสายตามองไปยังทางที่ฉังจิ่งหนีไป ก่อนจะเอ่ยกับเซียวลิ่วหลัง “ฉังจิ่งยังเด็ก เจ้าอย่าได้โกรธเคืองเขาเลย”

เซียวลิ่วหลังใบหน้าไร้อารมณ์ มองเซวียนผิงด้วยหางตา ใครกันแน่ที่โดนฉังจิ่งโกรธ

เซวียนผิงโหวไม่สนใจสายตาดูแคลนของเซียวลิ่วหลัง แต่กลับสะบัดแขนเสื้อด้วยท่วงท่าอันสง่างาม “เจ้าไปล่วงเกินใครเข้าล่ะ ถึงได้มีคนมาตามสังหารเจ้า”

เซียวลิ่วหลังเองก็ไม่แยแสเขา คว้าไม้เท้าที่อยู่ริมฝั่งแล้วเดินผ่านเขาไป มุ่งตรงไปข้างหน้า

ถึงจะเรียกว่าไม้เท้า แต่ความจริงแล้วคือไม้ตะพดแสนประณีต กู้เจียวทำเองกับมือ หลังจากที่ขาของเขาไม่ได้เจ็บมากแล้ว ก็ไม่ได้เดินเหินลำบากเหมือนแต่ก่อน

แม้เซวียนผิงโหวจะถูกเพิกเฉย แต่เขากลับไม่รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด เขานั้นมีเมตตามากพอ ไม่ถือสาอะไรกับคนหนุ่ม

เขาเดินตามไปอย่างหน้าไม่อาย

คนเราเกิดมาหล่อ จะหน้าด้านหน้าทนอย่างไรก็เป็นที่สะดุดตา ภูผาเขียวขจี วารีใสสะอาด แสงสีชาดตามอาทิตย์อัสดง ก็ยังงามไม่ได้เสี้ยวของเขา

แต่น่าเสียดายที่ต่อให้เขารูปงามกว่านี้ก็ไร้ค่า เพราะทำอย่างไรคนบางคนก็ยังคงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา

“เฮ้อ” เซวียนผิงโหวทอดถอนใจ

เซียวลิ่วหลังเดินมานานแค่ไหน ใครบางคนก็ถอนหายใจไล่หลังเขานานเท่านั้น

เซียวลิ่วหลังกำหมัดแน่น ขมวดคิ้วเอ่ย “เหตุใดท่านต้องตามข้ามาด้วย”

เซียวผิงโหวตอบพลางยักคิ้วหลิ่วตา “ข้าตามเจ้าอย่างนั้นหรือ ถนนสายนี้เจ้าเป็นคนสร้างหรืออย่างไร ป่านี้เจ้าเป็นคนปลูกอย่างนั้นรึ”

เซียวลิ่วหลังตอบเสียงเย็นชา “ข้าจะกลับไปที่หมู่บ้าน”

เซวียนผิงโหวเอ่ย “บังเอิญนัก ข้าก็เช่นกัน”

เซียวลิ่วหลังหักเลี้ยวไปอีกทาง

เซวียนผิงโหวก็เดินตามอย่างว่องไว

ฝีเท้าของเซียวลิ่วหลังชะงักลง นิ้วมือชี้ไปยังถนนสายเล็กเมื่อครู่พลางเอ่ย “หมู่บ้านไปทางนู้น”

เซวียนผิงโหวที่ตกหลุมพราง “…”

เหอะๆ ขอแค่เขาไม่ทำท่าเลิ่กลั่ก คนที่ลั่กเลิ่กก็จะกลายเป็นคนอื่นแทน

เซวียนผิงโหวเลิกคิ้วเอ่ย “ข้าจะเดินทางนี้ ถนนใหญ่เส้นไหนก็ทะลุถึงหมู่บ้านทั้งนั้นแหะน่า!”

เซียวลิ่วหลังสูดหายใจลึก ไม่สนใจเขาอีกต่อไป ทำเหมือนเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ

เขาย้อนกลับไปถนนสายเดิมเมื่อครู่นี้ เดินไปได้ไม่กี่ก้าวฟ้าก็มืด ภายในป่านั้นเงียบสงัด เสียงร้องระงมของเหล่าแมลงและเสียงประหลาดของนกและบรรดาสัตว์ป่าดังขึ้นมาเป็นระยะ ยามได้ยินก็พาลขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

ป่าผืนนี้ต้นไม้สูงใหญ่ มืดครึ้มราวกับฟ้าปิด แม้แต่แสงจันทร์ก็ยากจากสาดส่องลงมาถึง

เซวียนผิงโหวเป็นคนฝึกวรยุทธ์ สายตาดียิ่งนัก ต่อให้มีแสงเพียงน้อยนิดก็มองเห็นพื้นอย่างชัดเจน แต่เซียวลิ่วหลังอาจไม่เป็นเช่นนั้น

เดิมทีก็ขาพิการอยู่แล้ว ยังมองเห็นทางไม่ชัดอีก ฝีเท้าจึงช้าลงกว่าเดิมมาก

เซวียนผิงโหวสาวเท้าแซงเขาไป ก่อนจะขวางทางตรงหน้าเขาไว้ ย่อตัวลงเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ขึ้นมาสิ”

เซียวลิ่วหลังมองบ่ากว้างที่ก้มตัวลงตรงหน้าของตัวเอง เขายืนนิ่งไม่ไหวติง “ข้าเดินเองได้”

เซวียนผิงเขายืดตัวยืนขึ้นแล้วหันกลับไปประจันหน้าเขา “เจ้าแน่ใจรึ ทางมืดถึงเพียงนี้ เจ้าจะเดินได้หรือ”

เซียวลิ่วหลังยกไม้เท้าขึ้นพลางเอ่ย “ข้ามีไม้เท้า”

แคร่ก

ไม้เท้าหัก

เซียวลิ่วหลังถลึงตามองเขาอยากแค้นเคือง

เซวียนผิงโหวถอนหายใจอย่างจนปัญญา ก่อนจะผายมือยักไหล่ราวกับไม่ใช่ความคิดของตนเอง “ข้าไม่ได้ทำ มันหักเองต่างหาก”

เซียวลิ่วหลังกำหมัดแน่น เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “หมู่บ้านอยู่ไม่ไกล ทางเส้นนี้ข้าคุ้นเคยดี อย่างมากก็แค่เดินช้านิดหน่อยเดินทางนานอีกสักนิด ฝนก็ไม่ได้ตก มีอะไรต้องกลัวกัน!”

ถึงจะพูดเช่นนั้นก็จริง ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ฝนเทลงมาในทันใด

เซียวลิ่วหลังเหลียวขวับไปมองเซวียนผิงโหว

เซวียนผิงโหวตาเบิกโพรง “คราวนี้ข้าก็ไม่ใช่ฝีมือข้าเช่นกัน!”

เซียวลิ่วหลังกัดฟันกรอด “เช่นนั้นท่านก็ยอมรับแล้วสินะว่าเมื่อครู่เป็นฝีมือท่าน”

“ไม่ใช่ฝีมือข้าจริงๆ ” เซวียนผิงโหวเอ่ยด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ

หากพูดถึงระดับความหน้าด้านหน้าทนแล้ว เซวียนผิงโหวกับจี้จิ่วอาวุโสนั้นสู้สีกัน เรียกได้ว่ากินกันไม่ลง แต่ถึงกระนั้นจี้จิ่วอาวุโสก็หน้าหนาเฉพาะยามอยู่ในกลโกงการเมือง ทว่าในชีวิตจริงของเขานั้นแสนจะธรรมดา แต่เซวียนผิงโหวนั้นหน้าไม่อายได้ทุกเมื่อเชื่อยาม

เซวียนผิงโหวมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ขึ้นมาสิ ขึ้นมาสิ ข้าแบกเจ้าเอง เจ้าเดินออกไปไม่ได้หรอก”

เซียวลิ่วหลังเดือดดาลเพราะเขา ดวงตาทั้งสองลุกเป็นไฟพลางเอ่ย “ใครบอกว่าข้าเดินออกไปไม่ได้ ต่อให้วันนี้ขาเหลือขาเพียงแค่ข้างเดียว ข้าก็จะเขย่งขาเดียวเดินออกไปให้ได้”

พูดจบก็สะบัดหลังเดินจากไป

“เดี๋ยว…”

เซวียนผิงโหวยื่นมือออกไปคว้าเขาไว้

เซียวลิ่วหลังที่กำลังเหลืออด เบี่ยงตัวหลบมือของเขา เดินจ้ำไปข้างหน้าไม่สนฟ้าดิน แต่กลับกายเป็นว่าเดินไปได้เพียงก้าวเดียวพื้นก็ยวบลง เสียงร้องตกใจดังขึ้น ก่อนจะร่วงตกลงไปในหลุมขนาดใหญ่ที่มีหญ้าขึ้นปกคลุม

หน้าของเขาคว่ำลง ก่อนจะล้มขมำฟาดพื้นอย่างแรง

…เท้าอีกข้างพลิกเสียแล้ว

เซวียนผิงโหวยกมือขึ้นปิดตา “…แล้วจะเดินเร็วอะไรปานนั้น ข้าคว้าไม่ทันหรอกนะ!”

เซวียนผิงโหวดึงร่างของเด็กหนุ่มผู้แสนโชคร้ายขึ้นมาจากหลุมแล้ววางร่างลงบนพื้นราบ

เซียวลิ่วหลังดีดดิ้นทุรนทุราย “ข้าไม่อยากขี่หลังท่าน”

“อ๋อ” เซวียนผิงโหวก้มตัวเอง สองแขนช้อนใต้แผ่นหลังและหัวเข่า จากนั้นก็อุ้มเขาขึ้นมา พร้อมทั้งเอ่ยพึมพำ “โตป่านนี้แล้วยังจะให้อุ้มอีก”

เซียวลิ่วหลัง “…!!”

มีพ่อแบบนี้! ให้ฟ้าผ่าเขาตายไปเลยยังดีเสียกว่า!

ฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน ภายในกระท่อมที่เหล่าขุนนางสร้างขึ้นเป็นการชั่วคราวนั้นแสนครื้นเครง สายฝนที่กระหน่ำลงมาได้ไม่ทำให้ความคึกครื้นนอนลงไปเลย

ซ่อมถนนเสร็จแล้ว วันพรุ่งนี้ก็กลับเมืองหลวงได้แล้ว ทุกคนล้วนแต่ตื่นเต้นดีใจ บวกกับอันติ้งโหวนำของอร่อยมาให้อีกไม่น้อย เหล่าขุนนางกินซาลาเปาธัญพืชกับผักดองมานานหลายสิบวัน ก็เพิ่งจะได้กินเนื้อวันนี้เป็นครั้งแรก

ทุกคนกินกันอย่างอิ่มหนำ แทบจะไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าขาดเซียวลิ่วหลังไปหนึ่งคน

มีเพียงองครักษ์จากกรมพระคลังที่ทำงานกับเซียวลิ่วหลังตอนกลางวันที่รู้สึกตงิดใจ เขาคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งขึ้นมาพลางเอ่ยถาม “เอ๊ะ ใต้เท้าเซียวไปไหนเสียแล้ว”

เมื่อเอ่ยคำนั้นออกไป ทุกคนถึงได้เหลียวไปมองรอบทิศ นั่นสิ ใต้เท้าเซียวเล่า

จะโทษทุกคนว่าลืมเขาก็คงไม่ได้ เพราะตั้งแต่ออกมายังชนบท เซียวลิ่วหลังแทบจะไม่สุงสิงกับเหล่าขุนนางราชสำนักอย่างพวกเขาเลย เขาเป็นแนวหน้าในการช่วยฟื้นฟูไร่นาที่ประสบภัย ร่วมแรงร่วมใจกับเหล่าชาวบ้าน

ที่เขาไม่อยู่ที่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครนึกถึงเขา

“ฝนตกแล้ว อาจจหลบฝนที่เรือนชาวบ้านกระมัง” องครักษ์อีกคนเอ่ย

เสมียนกรมโยธาเอ่ยขึ้น “คนหนุ่มก็มุ่งมั่นเช่นนี้แล ตั้งแต่มาถึงก็เข้ากับชาวบ้านได้ดี ผลงานครั้งนี้ของเขานับว่าไม่เลวเลยทีเดียว”

ที่พูดถึงนั้นหมายถึงความมุ่งมั่นรวมไปถึงความทะเยอทะยานด้วย เพียงแต่ไม่เอ่ยออกไปอย่างชัดเจนก็เท่านั้น

คนเราก็ประหลาด ตัวเองทำไม่สำเร็จ แต่พอคนอื่นทำสำเร็จกลับว่าร้ายเขาเสียอย่างนั้น

ส่วนอันจวิ้นอ๋องที่ติดตามซ่างซูกรมพระคลังมาทั้งวัน กลับไม่มีใครนินทาว่าเขานั้นทะเยอะทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง แต่กลับเข้าใจผิดว่าที่เซียวลิ่วหลังคลุกคลีกับชาวบ้านก็เพื่อสะสมชื่อเสียงความนิยม

อันจวิ้นอ๋องมองท่านโหวกู้ พอเห็นเขาไม่ใส่ใจเซียวลิ่วหลัง เขาจึงเอ่ยเรียกอู่หยาง “เจ้าไปตามหาใต้เท้าเซียวที”

“ขอรับ!” อู่หยางรับคำสั่งแล้วออกไป เพิ่งจะผลักประตูกระท่อม ก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามตระหง่านกลางสายฝนโหมกระหน่ำ กำลังเดินฉิวราวกับสายลมพร้อมทั้งแบกอีกคนหนึ่งบนหลัง เดินมุ่งหน้ามาทางนี้

เขาใช้ชุดตัวนอกคลุมหัวเอาไว้ พร้อมทั้งห่มร่างของคนที่อยู่บนหลัง

เขาสวมเพียงแค่ชุดตัวใน เสื้อผ้าก็เปียกฝนเป็นด่างดวง เขาย่ำแรงบ้างเบาบ้างบนพื้นหลุมบ่อ สายฝนที่สาดเทลงมาทำเอาลืมตาไม่ขึ้น

“เป็นอะไรไปหรือ” อันจวิ้นอ๋องเห็นอู่หยางยืนนิ่งที่หน้าประตูจึงเอ่ยถามเขา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

“นะ…นั่น…” อู่หยางไม่อยากเชื่อสายตา

ทุกคนเห็นเขาผิดปกติไป ก็รีบมาเบียดเสียดกันที่หน้าประตูพลางมองไปยังทิศทางที่เขาชี้

ทุกคนต่างชะงักไป

มีคนหนึ่งที่นึกขึ้นได้ “นั่น…นั่นไม่ใช่เซวียนผิงโหวหรอกหรือ”

ไม่เคยมีใครเคยเห็นเซวียนผิงโหวในสภาพอเนจอนาถเช่นนี้มาก่อน

เขาคือชายงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเจา พิถีพิถันในรายละเอียด ทั้งยังรักสวยรักงามเป็นอย่างมาก เว้นเสียแต่ยามอยู่ในสนามรบ เขาก็ไม่เคยให้ใครเห็นตัวเองในสภาพเสื้อผ้าหลุดรุ่ย

ทว่าเขาในยามนี้สะบักสะบอมราวกับอินทรีย์ที่ฝ่าสายฝนลมพายุ เพื่อปกป้องลูกน้อยบนหลังของตน จึงยอมสละขนนกอันแสนงดงามให้เป็นเกราะกำบังลมฝนแก่ลูก