การจลาจลเพิ่งสงบ ซูติ้งหลวนพลันทะยานออกมาลอบสังหาร โชคดีปรมาจารย์ซือเจินเร้นกายอยู่ด้านข้าง ไท่จงจึงปลอดภัย ซูติ้งหลวนเป็นแม่ทัพขั้นสามแห่งเป่ยฮั่น นิสัยดุร้าย สังหารแม่ทัพชิงธง ออกรบมิเคยพ่าย มักอยู่ด้านหน้าของกองทัพเสมอจึงได้ฉายาว่า ‘แม่ทัพเซียนเฟิง’
…พงศาวดารต้ายง พระราชประวัติไท่จง
เวลานี้พลันได้ยินเสียงสายธนูดังขึ้นประหนึ่งไข่มุกร่วงกระทบถาดหยก จ่างซุนจี้สำแดงฝีมือยิงธนูต่อเนื่อง ชายฉกรรจ์มิสวมเสื้อเกราะหลายคนที่พุ่งมาด้านหน้าเป็นด่านหน้ารับการโจมตี ถูกลูกศรคมกริบทะลวงผ่านกายเนื้อ จ่างซุนจี้เดิมทีความคิดละเอียดดุจเส้นผม เขาสังเกตเห็นว่าฝีเท้าของทหารราชองครักษ์เหล่านั้นสับสนเล็กน้อย นี่มิสมควรเกิดขึ้นในหมู่ทหารราชองครักษ์ที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงยิงศรขัดขวางมือสังหารเหล่านั้นได้ทันกาล การถ่วงเวลาครานี้ ทำให้องครักษ์ของหลี่จื้อขวางมือสังหารเหล่านั้นเอาไว้ได้
ขณะที่หลี่จื้อขยับยิ้มมองทหารองครักษ์ที่ครองความได้เปรียบสำเร็จ ทันใดนั้นเอง ร้านแห่งหนึ่งริมถนนพลันมีคนพุ่งทะลุประตูออกมา ร่างกายประหนึ่งสายฟ้าแลบ ทรงพลังดั่งอสนีบาต ในมือถือแหลนพลเดินเท้าแทงเข้าใส่หลี่จื้อ
เวลานี้ซือหม่าสยงกำลังรับศึกด้านหน้าจึงเร่งกลับมามิทัน จ่างซุนจี้ง้างธนูพาดศรขึ้นสาย ยิงสามดอกต่อเนื่องขัดขวาง แต่คนผู้นั้นกลับชักกระบี่สั้นกวัดแกว่ง สะบัดลูกศรยาวที่ทะลุโลหะได้ของจ่างซุนจี้ดีดกลับมาอย่างคิดไม่ถึง จ่างซุนจี้ตกใจยิ่งนักไม่ทันหลีกหลบ ได้แต่ใช้ตัวคันศรตวัดรับลูกศรไว้ ลูกศรที่พุ่งย้อนมากลับแฝงพลังแข็งกล้าเอาไว้ จ่างซุนจี้ถอยหลังสามก้าวทั้งคนทั้งอาชา สายของศรทองขาดสะบั้น ชั่วเวลานั้นจ่างซุนจี้ไร้กำลังช่วยปกป้องยงอ๋อง
เวลานี้ข้างกายยงอ๋องเหลือองครักษ์เพียงสี่นาย พวกเขาใช้ร่างกายขวางการโจมตีของคนผู้นั้นพร้อมกัน ทว่าร่างกายของคนผู้นั้นกลับอ้อมหลบหลีกอย่างพิสดารแล้วแทงตรงเข้าหายงอ๋อง แม้หลี่จื้อจะเป็นแม่ทัพผู้กรำศึกเช่นเดียวกัน แต่คมอาวุธของคนผู้นั้นที่จ่อเข้ามากลับทำให้หลี่จื้อรู้สึกว่ามิอาจหลบพ้น ในใจทอดถอนใจ หรือว่าปณิธานยิ่งใหญ่ยังมิทันบรรลุข้าก็ต้องตายที่นี่เสียแล้วหรือ สองตาหลับลงอย่างจำใจ
ในห้วงเวลาวิกฤติ พระนามของพระพุทธองค์พลันดังขึ้นประหนึ่งเสียงสวรรค์
“อมิตาภพุทธ” เสียงดุจอสนีบาตจากเก้าชั้นฟ้า หลี่จื้อรู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้น ปราณกระบี่ที่กดดันหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขารีบลืมตามองก็เห็นเบื้องหน้าอาชาของตน ปรมาจารย์ซือเจินพนมมือสองข้าง กำลังเอ่ยนามพระพุทธองค์อยู่ ห่างไปสองจั้ง ชายฉกรรจ์สูงเก้าฉื่อผู้หนึ่งกำลังจ้องปรมาจารย์ซือเจินด้วยสีหน้าเดือดดาล ในมือถือแหลนพลเดินเท้าที่ทำจากเหล็กกล้าเล่มหนึ่ง หลี่จื้อมองปราดเดียวก็สูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าปอด แหลนพลเดินเท้าเล่มนี้เป็นสีดำเหลือบม่วง หลี่จื้ออยู่ในสนามรบมานาน ย่อมรู้ว่ามีเพียงโลหิตมนุษย์เท่านั้นที่จะทำให้อาวุธถูกย้อมด้วยสีสันเช่นนี้ รูปร่างเช่นนี้ วรยุทธ์เช่นนี้ ความกระหายเลือดเช่นนี้ หลี่จื้อรู้ตัวตนของคนผู้นี้ในทันใด เขาเอ่ยเสียงกังวาน “ที่แท้แม่ทัพเซียนเฟิงแห่งเป่ยฮั่นซูติ้งหลวนให้เกียรติมาเยือน มิทราบว่าข้ามีโชคดีประการใดให้ท่านแม่ทัพเดินทางมาลอบสังหารด้วยตนเอง”
องครักษ์คนสนิทของยงอ๋องยังมิเท่าไร แต่ทหารราชองครักษ์เหล่านั้นส่วนมากล้วนเคยทำศึกกับเป่ยฮั่นมาก่อน เคยได้ยินชื่อเสียงของแม่ทัพเซียนเฟิงผู้นี้มานานแต่มิเคยพบหน้า จึงอดมองมาด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้และดุร้ายไม่ได้
กองทัพเป่ยฮั่นมีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้าในด้านความกล้าหาญดุดัน ในด้านการฝึกปรือทัพอาจสู้กองทัพต้ายงมิได้ แต่หากพูดถึงความสามารถในการสู้รบของบุคคลกลับเหนือกว่าต้ายง ขอเพียงเป็นทหารของต้ายงล้วนได้ยินเรื่องราวของแม่ทัพผู้โด่งดังของเป่ยฮั่นมาจนคุ้นหู ผู้นำของกองทัพเป่ยฮั่นคือแม่ทัพเวยหย่วนหลงถิงเฟย คนผู้นี้เกิดในตระกูลดัง ชำนาญกลศึก แม้อายุเพียงสามสิบปีแต่เอาชนะกองทัพต้ายงมาหลายครั้ง ผู้ที่ยังไม่พ่ายแพ้ราบคาบต่อหน้าเขาจนบัดนี้มีเพียงยงอ๋องหลี่จื้อผู้เดียว แม้แต่ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนก็เคยพ่ายแพ้อนาถในมือเขามาแล้ว หากมิใช่ต้ายงมีทหารและแม่ทัพมากมาย น่ากลัวว่าคงมิใช่เพียงออกจากด่านไปโจมตีเป่ยฮั่นมิได้ แต่ยังจะถูกหลงถิงเฟยโจมตีฝ่าด่านเข้ามาด้วย นอกจากหลงถิงเฟย เป่ยฮั่นยังมีแม่ทัพชื่อดังทั่วหล้าอีกสี่คน
แม่ทัพเฟยหู่ (พยัคฆ์ติดปีก) สืออิงชำนาญบุกตีกะทันหันจากระยะไกล กำราบศัตรูในครั้งเดียว แม่ทัพผานสือ (ศิลายักษ์) ต้วนอู๋ตี๋เชี่ยวชาญการคุ้มกันเมืองดุจกำแพงทองแดงปราการเหล็ก แม่ทัพกุ่ยเมี่ยน (หน้าผี) ถานจี้ถนัดการเดินทัพตั้งกระบวนทัพ แม่ทัพเซียนเฟิง (แนวหน้า) ซูติ้งหลวนสันทัดอยู่กองหน้าสังหารแม่ทัพ เขาเป็นถึงศิษย์อันดับสองของประมุขพรรคมารจิงอู๋จี๋ แม้วรยุทธ์มิอาจเหยียบขึ้นจุดสูงสุด แต่ก็เป็นแม่ทัพผู้เก่งกาจในสนามรบอย่างหาตัวจับได้ยาก คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้กลับปรากฏตัวที่นครฉางอันเพื่อลอบสังหารยงอ๋อง ช่างทำให้คนยากจะเชื่อจริงๆ
พวกเขาเหล่านี้กำลังตกตะลึง แต่มิทราบเลยว่าซูติ้งหลวนกำลังร้องในใจว่าแย่แล้ว ลอบสังหารยงอ๋องมิใช่เรื่องเล็ก แม้ทำสำเร็จก็น่ากลัวว่าต้องตกตายไปพร้อมกัน เรื่องนี้จิงอู๋จี๋จะให้แม่ทัพผู้เก่งกล้าในการสังหารแม่ทัพชิงธงข้าศึกเช่นเขาคนนี้มาทำได้เช่นไร เดิมทีเพราะสองปีนี้ชายแดนไม่มีเหตุการณ์สำคัญ เขาว่างจนเบื่อหน่ายจึงตั้งใจปลอมตัวเป็นพ่อค้ามาเที่ยวเล่นที่ต้ายง แล้วถือโอกาสสืบข่าวทางการทหารไปด้วย จึงอ้อยอิ่งอยู่ที่นครฉางอันมาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว
ผู้ใดจะรู้ว่าเครือข่ายสายลับเป่ยฮั่นกลับลงมือก่อจลาจลในตลาดตะวันออกเอาตอนนี้ หมายจะสร้างความวุ่นวายให้นครหลวงต้ายง เพื่อเป็นการเตรียมการให้การยกพลใหญ่เข้ารุกรานในอีกครึ่งเดือนให้หลัง ซูติ้งหลวนจึงได้รับคำสั่งจากจิงอู๋จี้ให้เขาหาโอกาสลอบสังหารหลี่จื้อผู้บัญชาการทัพใหญ่แห่งต้ายง ซูติ้งหลวนอยู่ในฉางอันมาหลายวัน รู้ชัดเจนยิ่งว่าหากวันนี้เกิดความวุ่นวายขึ้น ยงอ๋องหลี่จื้อต้องมาปราบปรามที่ตลาดตะวันออกแน่นอน แล้วยงอ๋องก็มาตามที่คิดจริงๆ อาศัยวรยุทธ์ล้ำเลิศของตัวเขา เดิมมีโอกาสเจ็ดส่วนที่จะสำเร็จ เขาคิดว่าจะสังหารหลี่จื้อในหนึ่งกระบวนท่า หลังจากนั้นใช้จังหวะสถานการณ์ชุลมุนหลบหนี สายลับเป่ยฮั่นเตรียมทางหนีไว้ให้เขาล่วงหน้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์กลับไม่เป็นดังคาด ดันถูกปรมาจารย์ซือเจินขัดขวาง ซูติ้งหยวนยิ่งคิดยิ่งเดือดดาลจนไม่สนใจว่าปรมาจารย์ซือเจินมีฐานะเป็นปรมาจารย์เท่าเทียมกับประมุขพรรคของเขา แหลนพลเดินเท้าในมือยกขึ้นชี้ซือเจินแล้วตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าไอ้พระหัวโล้นผู้นี้ ไม่อยู่วัดบำเพ็ญพรต ทำพรรคมารของข้าเสียการใหญ่หลายครั้งหลายครา น่าชิงชังจริง”
แม้เขาด่าอย่างหยาบคาย แต่ปรมาจารย์ซือเจินกลับไม่โกรธเคือง เพียงเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “อาตมาเป็นประชาชนชของต้ายง ยงอ๋องมีผลงานทางการทหารเยี่ยมยอด เป็นเทพแห่งกองทัพต้ายง เป็นเสาหลักค้ำจุนราชสำนัก ไฉนจะนิ่งเฉยปล่อยให้ท่านลอบสังหารองค์ชายได้ หากประสกซูยอมวางอาวุธเอง อาตมายินดีขอความเมตตาแทนประสก ขอให้องค์ชายละเว้นชีวิตท่าน”
ซูติ้งหยวนมองรอบด้านก็เห็นองครักษ์คนสนิทของยงอ๋องกับทหารราชองครักษ์ล้อมที่นี่ไว้จนน้ำก็มิอาจลอดผ่าน ตรงหน้ายังมียอดฝีมือระดับปรมาจารย์อีกหนึ่งคน ในใจรู้ว่าครั้งนี้ยากจะหนีรอดแน่แล้ว แต่ความมุ่งมั่นของเขาเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก จึงเอ่ยเสียงเย็นชา “ดี ให้พวกเจ้าได้เห็นความร้ายกาจของบิดาสักหน่อย”
กล่าวจบแหลนก็ขยับแทงเข้าใส่ปรมาจารย์ซือเจิน ปรมาจารย์ซือเจินสีหน้าไม่เปลี่ยน ดวงตาฉายแววชื่นชมเจือจาง มือซ้ายขยับ มือขวากำหมัดต่อยออกไป มันคือ ‘หมัดพลุไฟ’ วิชาหมัดพื้นฐานที่สุดของเส้าหลิน แต่ปรมาจารย์ซือเจินใช้ได้ทรงพลังเป็นเลิศ ทำให้ผู้ที่เห็นรู้สึกว่ามิอาจต่อต้าน
ซูติ้งหยวนในใจเคร่งเครียด แต่เขามีสันดานดุร้ายจึงเสือกแหลนออกไปอย่างมิหวั่นเกรงสักน้อย หมัดกับแหลนประสานกัน ปรมาจารย์ซือเจินไม่ขยับแม้แต่นิด ทว่าซูติ้งหยวนกลับถูกบีบให้ถอยหนึ่งก้าว กระนั้นดวงตาของเขาก็ยังทอประกายดุร้าย แหลนสะบัดดุจมังกรแหวกว่ายพุ่งเข้าใส่อีกหน
ทั้งสองคนประมือได้ไม่กี่กระบวนท่า หนึ่งฝ่ามือของปรมาจารย์ซือเจินพลันกระแทกเข้าใส่หน้าอกของซูติ้งหลวน ซูติ้งหลวนถูกโจมตีปลิวออกไปหลายจั้ง เลือดไหลออกจากมุมปาก แหลนหลุดออกจากมือ หน้าอกยุบจมลงไป ขณะที่กำลังจะไม่รอดอยู่แล้วนั่นเอง ปรมาจารย์ซือเจินพลันสะบัดแขนเสื้อ ท่องคำว่าอมิตาภพุทธเสียงยาวก่อนจะถอยไปอยู่หลังอาชาของยงอ๋อง มิเอ่ยอันใดอีก
องครักษ์ของยงอ๋องคนหนึ่งเดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง จากนั้นใช้ดาบเหล็กแตะร่างกายของซูติ้งหลวน เมื่อเห็นเขานิ่งไม่กระดิกจึงก้มตัวลงไปตรวจดูลมหายใจ ผู้ใดจะคิดว่าตอนนี้ซูติ้งหลวนกลับลืมตาขึ้น แขนคว้าแย่งดาบเหล็กมาแล้วฟันเข้าใส่ องครักษ์ผู้นั้นเผชิญอันตรายแต่ไม่ลนลาน โค้งตัวหลบไปด้านหลัง ดาบเหล็กฟันเฉียดร่างเขาอย่างหวุดหวิด ซูติ้งหลวนวาดดาบฟันลงเบื้องล่าง องครักษ์ผู้นั้นพลิกกายหลบ ในเวลาเดียวกันนี้ ปรมาจารย์ซือเจินที่อยู่ไกลออกไปก็ดีดดรรชนีแผ่วเบา เสียงดังกังวานครั้งหนึ่ง ดาบเหล็กที่สร้างอย่างดีนั่นก็ถูกโจมตีจนหักสะบั้น
องครักษ์ผู้นั้นกระโดดออกมา หัวใจหวาดผวาถอยไปด้านข้าง เวลานี้จ่างซุนจี้เพิ่งคว้าคันศรคันหนึ่งมาได้ เขาง้างศรพาดลูกธนู เล็งไปยังซูติ้งหลวนแล้วตวาด “แม่ทัพซู หากท่านยังขยับตามอำเภอใจอีก อย่าโทษว่าศรของจ่างซุนจี้มิไว้ไมตรี”
ดวงตาซูติ้งหลวนปรากฏแววตาเปล่าเปลี่ยวก่อนจะหัวเราะลั่น “ผู้แซ่ซูคือผู้ใด คือแม่ทัพเซียนเฟิงแห่งเป่ยฮั่น หลายปีที่ผ่านมาแม่ทัพทหารกล้าชาวต้ายงของพวกเจ้าตายในมือข้านับไม่ถ้วน วันนี้ผู้แซ่ซูลอบสังหารล้มเหลว แต่ไม่มีทางยอมมอบตัวโดยดี ปรมาจารย์ซือเจิน ท่านกับท่านอาจารย์เป็นบุคคลระดับเดียวกัน คงมิสร้างความลำบากให้คนรุ่นหลัง จะต้องจับกุมผู้แซ่ซูให้จงได้กระมัง”
ซูติ้งหลวนกล่าวจบก็มองไปที่ปรมาจารย์ซือเจิน ในใจเขารู้ดีว่าหากเขาต้องการฆ่าตัวตาย แต่ปรมาจารย์ซือเจินลงมือขัดขวาง เขาย่อมมิอาจตายได้ ปรมาจารย์ซือเจินถอนหายใจแผ่วเบาเอ่ยว่า “อาตมาช่วยยงอ๋องเพื่อแผ่นดินต้ายง หากโยมซูมิได้จะทำร้ายชีวิตคนต่อหน้าอาตมา อาตมาก็มิยินดีเข้าไปยุ่งเรื่องทางโลก”
ซูติ้งหยวนเห็นปรมาจารย์ซือเจินแสดงเจตนาว่าจะไม่ขัดขวางตนก็ยิ้มอย่างลำพอง “หลี่จื้อ วันนี้เจ้าโชคดีรอดพ้นภัยไปได้ หากปรมาจารย์ซือเจินมิได้อยู่ที่นี่ เจ้าก็ตายไปนานแล้ว น่าเสียดายที่ข้ามิรู้มาก่อนว่าปรมาจารย์ซือเจินอยู่ที่ฉางอัน มิเช่นนั้นบิดาคงขอเข้าสนามรบสังหารแม่ทัพของพวกเจ้าเพิ่มอีกสักสองสามคน”
ตอนต่อไป