แม้คำพูดของซูติ้งหยวนจะดุร้าย แต่ทหารต้ายงนับถือผู้กล้าเป็นที่สุด เมื่อเห็นว่าแม้เขาลมหายใจรวยรินกลับยังคงห้าวหาญเช่นนี้ก็มองด้วยแววตาชื่นชม ถึงแม้ว่าหากให้พวกเขาลงมือสังหารซูติ้งหลวนตอนนี้ พวกเขาจะไม่มีทางใจอ่อนแม้แต่น้อย กระนั้นก็ไม่ยินดีหยามหมิ่นเขาเป็นเด็ดขาด ดังนั้นพวกเขาจึงล้วนมองยงอ๋อง กังวลว่ายงอ๋องจะบันดาลโทสะ
ยงอ๋องกลับหัวเราะเป็นเวลานาน “การที่แม่ทัพซูลงมือพลาดเป็นเคราะห์ดีของข้า ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ ข้ารับปากท่าน มิเพียงจะไม่บีบให้ท่านยอมจำนน แต่ยังจะส่งศพท่านกลับเป่ยฮั่น ให้เจ้าแคว้นของท่านฝังศพของท่านอย่างสมเกียรติเยี่ยงวีรบุรุษ”
ยามเขาเอ่ยวาจาเผยเนื้อแท้ของวีรบุรุษ สีหน้าแลดูสง่างามองอาจ ชวนให้ผู้คนศรัทธา
ซูติ้งหลวนยิ้มเศร้า ลุกขึ้นยืนโงนเงน ทันทีที่อ้าปาก โลหิตพลันทะลักออกมา ทว่าเขาไม่ใส่ใจ เพียงเดินสองสามก้าวแล้วก้มลงไปเก็บแหลน ทุกคนคิดว่าเขาจะฆ่าตัวตาย ผู้ใดจะคิดว่าร่างกายเขายังไม่ทันลุกยืนก็ออกแรงเหวี่ยง แหลนพลเดินเท้านั่นเสือกเข้าใส่หลี่จื้อเร็วดุจดาวตก ทุกคนตะโกนอย่างตกใจ แต่หลี่จื้อกลับเหมือนคาดไว้อยู่ก่อนแล้วจึงเบี่ยงกายบนหลังม้าหลบพ้นแหลนยาวไปได้ องครักษ์ใกล้ชิดทุกนายโกรธจัดทันที แต่ละคนชักดาบออกจากฝัก พาดศรขึ้นสาย รอเพียงบัญชาจากยงอ๋องก็พร้อมรุมฟันซูติ้งหลวนให้เป็นชิ้นๆ
ซูติ้งหลวนกลับไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ร่างกายตั้งตรงตระหง่าน เอ่ยอย่างนิ่งสงบ “ผู้แซ่ซูเป็นลูกผู้ชาย จะตายใต้คมดาบทหารกล้าเท่านั้น จะฆ่าตัวตายได้อย่างไร หากองค์ชายยินดีลงมือสังหารผู้แซ่ซูด้วยองค์เองคงเป็นเกียรติของผู้แซ่ซู ติ้งหลวนเพียงจะส่งแหลนให้องค์ชาย เหตุใดท่านจึงหลบเสียเล่า”
ยงอ๋องอึ้งเล็กน้อยแล้วหัวเราะเอ่ยว่า “ศิษย์พรรคมารช่างร้ายกาจเสียจริง ข้าชื่นชอบนิสัยของท่านยิ่งนัก แต่ท่านลอบสังหารข้าเป็นเรื่องเล็ก ทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ในต้ายงของข้าเป็นเรื่องใหญ่ มือแม่ทัพซูเปื้อนเลือดประชาชนต้ายงของข้าเต็มไปหมด อภัยที่ข้ามิอาจเมตตา ทหารทั้งหลาย ผู้ใดจะเป็นผู้ส่งแม่ทัพซู”
ซือหม่าสยงบังคับอาชาก้าวมาข้างหน้าเอ่ยว่า “องค์ชาย คนชั่วผู้นี้หมายลอบสังหารองค์ชาย มีความผิดมหันต์ ข้าปกป้ององค์ชายมิรอบคอบ ทำหน้าที่ผิดพลาดมิอาจหลบหนีโทษทัณฑ์ ขอทรงอนุญาตให้ข้าสังหารเขาด้วย”
ยงอ๋องผงกศีรษะเล็กน้อย ซือหม่าสยงบังคับอาชามาด้านหน้า กดสายตามองซูติ้งหลวน ซูติ้งหลวนเงยหน้าขึ้นมอง สายตาไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ซือหม่าสยงนับถืออยู่ในใจ พริบตาที่ซูติ้งหลวนเงยหน้าขึ้นนั่นเอง ดาบของซือหม่าสยงก็ฟันลงมา ทุกคนรู้สึกราวกับเบื้องหน้ามีประกายแสงฉายวูบหนึ่ง ซูติ้งหลวนศีรษะร่วงสู่พื้น โลหิตสาดกระเซ็นรอบด้าน ระหว่างที่ศีรษะลอยกลางอากาศ ปากยังอุทานว่า “สมใจแล้ว!”
ซือหม่าสยงไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย บังคับม้ากลับมารายงาน หลี่จื้อเอ่ยเสียงกังวาน “แม้คนผู้นี้นิสัยดุร้ายแต่ห้าวหาญยิ่งนัก ข้าอนุญาตให้ส่งร่างเขากลับบ้านเกิด พวกท่านมีผู้ใดเห็นแย้งหรือไม่”
ทหารทั้งหลายตอบเสียงพร้อมเพรียง “น้อมรับบัญชาองค์ชาย”
ยงอ๋องเห็นเรื่องราวสงบแล้วจึงพาองครักษ์คนสนิทกับปรมาจารย์ซือเจินกลับมายังจวนอ๋อง
ระหว่างทาง ยงอ๋องถามอย่างประหลาดใจ “ต้าซือ ท่านบำเพ็ญตนอยู่ที่สวนเหมันต์มิใช่หรือ เหตุใดจึงเดินทางมาช่วยข้าได้”
วิชาขี่ม้าของซือเจินอยู่ในขั้นธรรมดาเท่านั้น แม้ด้วยฝีมือของเขาย่อมไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้นได้ แต่ก็ยังต้องบังคับอาชาอย่างระมัดระวัง เขาตอบว่า “องค์ชาย อาตมาได้รับการไหว้วานจากท่านเจียง เมื่อครู่โยมเจียงรีบร้อนมาหาบอกว่าองค์ชายไปจัดการความวุ่นวายที่ตลาดตะวันออก เขาบอกว่าเมื่อคิดทบทวนแล้ว หากคิดเพียงจะก่อความวุ่นวายในฉางอันหวังทำร้ายต้ายงก็ออกจะผิดปกติอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงกังวลว่าอาจมีคนต้องการล่อองค์ชายออกไปเพื่อลอบสังหาร อาตมาจึงรีบเดินทางไปยังตลาดตะวันออก ลอบปกป้ององค์ชาย คิดไม่ถึงว่าท่านเจียงจะคิดคำนวณได้ยอดเยี่ยมนัก พูดได้ถูกต้อง องค์ชายทรงคุณธรรมมีเมตตาจนสวรรค์ซาบซึ้งจึงมียอดคนเช่นนี้คอยเกื้อหนุน”
หลี่จื้อทอดถอนใจด้วยความตกตะลึงเช่นเดียวกัน พอคิดถึงเรื่องหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “หากเป็นเช่นนี้ข้างกายสุยอวิ๋นไยมิใช่ไร้คนปกป้อง หากมีคนฉวยโอกาสลอบสังหารจะทำเช่นไรเล่า”
ปรมาจารย์ซือเจินหัวเราะ “องค์ชายโปรดวางใจ เผยอวิ๋นอยู่ข้างกายท่านเจียง ทั้งยังมีองครักษ์คนสนิทอีกห้าสิบนาย ต่อให้อาตมาลงมือเองก็ยากจะลอบสังหารสำเร็จในเวลาชั่วครู่ชั่วยาม เงามารหลี่ซุ่นอยู่ในจวน หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นย่อมรีบเร่งมาทันเวลา องค์ชายมิต้องเป็นกังวล”
หลี่จื้อจึงผ่อนลมหายใจ แต่คิ้วกลับขมวดแน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่เขากับรัชทายาทยังมิได้เป็นดั่งน้ำกับไฟ สำนักเฟิงอี้เคยเสนอผู้คุ้มกันให้เขา แต่เขามิชอบให้สตรีอยู่ในกองทัพ ดังนั้นคนที่เก็บไว้ใช้งานจึงมีแต่บุรุษ ทว่าความปลอดภัยของพระชายาและสตรีในครอบครัวยังเป็นคนของสำนักเฟิงอี้ที่คอยคุ้มกัน ดูจากวันนี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ข้างกายพระชายากลับไม่มีผู้คุ้มกันที่เก่งกาจก็ออกจะเป็นปัญหาเล็กน้อย
ตอนนี้เอง จู่ๆ ปรมาจารย์ซือเจินก็เอ่ยขึ้นว่า “องค์ชาย ครอบครัวของอาตมามีหลานสาวห่างๆ อยู่สองคน ปีนี้อายุเพียงสิบเก้าปี กราบเป็นศิษย์สำนักเอ๋อเหมย[1]เพื่อร่ำเรียนกระบี่ ปีนี้สำเร็จวิชาลงมาจากเขา แม้สาวน้อยทั้งสองวิชากระบี่กับนิสัยมิใช่ชั่ว แต่ซุกซนยิ่งนัก อาตมาได้ยินว่าพระชายาจริยางดงามเป็นหนึ่งไม่มีสอง หากได้พระชายาสั่งสอนสักหลายปี คงเป็นโชคดีของเด็กสองคนนี้จริงๆ”
หลี่จื้อในใจปลื้มปิติ รีบเอ่ยว่า “ขอบคุณต้าซือ หลี่จื้อขอคารวะขอบคุณ”
ปรมาจารย์ซือเจินยิ้มละไมเอ่ยว่า “องค์ชายกล่าวเกินไปแล้ว เรื่องนี้อาตมาเป็นผู้ขอความช่วยเหลือจากองค์ชาย จะกล้ารับการคารวะขอบคุณจากองค์ชายได้เช่นไร”
หลี่จื้อเอ่ยตามมารยาทอีกสองสามประโยค ทั้งสองคนต่างเข้าใจโดยมิต้องเอื้อนเอ่ย ผู้ใดก็ไม่คิดจะพูดออกมาว่าสตรีสองคนนี้มาเพื่อคุ้มครองครอบครัวของยงอ๋อง ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวสองนางนี้ยังมาจากสำนักเอ๋อเหมย ย่อมหมายความว่าสำนักเอ๋อเหมยแสดงไมตรีต่อยงอ๋องเช่นเดียวกัน
เมื่อกลับมาถึงสวนเหมันต์ เห็นว่าเจียงเจ๋อปลอดภัยไร้อันตราย หลี่จื้อก็โล่งอกในที่สุด หลี่จื้อเดินไปส่งปรมาจารย์ซือเจินกับเผยอวิ๋น จากนั้นจึงสนทนากับเจียงเจ๋อ “โชคดีที่ท่านเชิญปรมาจารย์ซือเจินไปช่วยเหลือ มิฉะนั้นข้าคงสิ้นชีวาจริงๆ เสียแล้ว”
ข้าเอ่ยอย่างละอาย “กระหม่อมคิดมิรอบคอบเอง โชคดีที่วัวหายแล้วล้อมคอกทัน มิสายเกินไป”
หลี่จื้อยิ้มเฝื่อน “ความจริงครั้งนี้ผลก็ออกมาไม่เลว แม้ครั้งนี้ข้าจะหวิดพานพบอันตราย แต่ได้สังหาร ‘แม่ทัพเซียนเฟิง’ ของเป่ยฮั่นก็นับว่าชดเชยกันได้”
ข้าถอนหายใจ “แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เรื่องครานี้วุ่นวายใหญ่โตนัก ชิ่งอ๋องต้องเดือดดาลเพราะลูกน้องถูกเข่นฆ่าเป็นแน่ หากส่งคนมาสืบหาคนร้าย เกรงว่าสถานการณ์ที่วุ่นวายอยู่แล้วจะชุลมุนยิ่งกว่าเดิม เจิ้งซื่อจงถูกลอบสังหาร ตลาดตะวันออกเกิดจลาจล แม้องค์ชายจะมีความชอบที่สยบการจลาจลได้ แต่เกรงว่าคงมีคนฉวยโอกาสกล่าวว่าองค์ชายเป็นตัวแทนรัชทายาทประกอบพิธีบวงสรวง สวรรค์จึงบันดาลให้เกิดเภทภัย ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังจะกลบความผิดที่ลอบคบชู้ในวังหลัง ไม่เคารพจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินของรัชทายาทอีกด้วย”
หลี่จื้อฟังแล้วหัวใจพลันเหน็บหนาว เอ่ยว่า “เรื่องที่กลับดำเป็นชาวเช่นนี้ยังมีคนเชื่อด้วยหรือ”
ข้ามองยงอ๋องแล้วตอบว่า “มิใช่จะมีคนเชื่อหรือไม่ แต่มีคนเต็มใจจะเชื่อต่างหาก เกรงว่าฝ่าบาทก็คงให้โอกาสรัชทายาทอีกครั้ง องค์ชายสำแดงอำนาจให้นครหลวงครั่นคร้าม เมื่อฝ่าบาทสดับฟังคงเลี่ยงรู้สึกไม่ได้ว่าองค์ชายมีบารมีมากเกินไป เพื่อที่จะกดองค์ชายลงมาย่อมต้องให้อภัยรัชทายาทสักครั้ง”
หลี่จื้อยิ้มขมขื่น “คิดไม่ถึงว่าข้าทุ่มเทเพื่อแผ่นดินแต่กลับถูกคลางแคลงด้วยเหตุนี้ เฮ้อ แต่เรื่องในวันนี้ ข้าไยจะนิ่งดูดายได้”
ข้ายิ้มละไม จากนั้นคำนับแล้วเอ่ยว่า “องค์ชาย ครานี้ท่านทำถูกต้องแล้ว ฝ่าบาทคลางแคลงท่าน แต่ผู้คนใต้หล้าผู้ใดมิเลื่อมใสคุณธรรรมขององค์ชาย เมื่อเรื่องนี้เล่าลือออกไป มีแต่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์ชาย ยิ่งไปกว่านั้น แม้จักรพรรดิใช้โอกาสนี้อภัยรัชทายาท แต่ก็คงสูญเสียความเชื่อใจที่มีต่อรัชทายาทไปแล้ว รัชทายาทจะกลัดกลุ้มวิตกเพราะเรื่องนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ความคลางแคลงระหว่างบิดากับบุตร ระหว่างเจ้าแผ่นดินกับขุนนางย่อมหนักหนาขึ้น รัชทายาทจะสูญเสียความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิและตำแหน่งรัชทายาทไปในอีกไม่นาน ขอเพียงส่งฉีอ๋องจากไปได้ องค์ชายก็จะลงมือได้เต็มที่ ยามนี้องค์ชายเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพแล้ว ขาดเพียงลมตะวันออกเท่านั้น ขอองค์ชายถ่ายทอดคำสั่งบอกใต้เท้าสือ ให้เขาเตรียมพร้อมกลับราชสำนัก”
หลี่จื้อเผยสีหน้ายินดีออกมา ทว่าพริบตาก็หายไป “เขียนสารย่อมได้ แต่ข้ายังอยากคอยดูอีกสักหน่อยว่าครั้งนี้เสด็จพ่อจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร เฮ้อ หวังว่าเสด็จพ่อจะตัดสินอย่างเป็นธรรม มิฉะนั้นหัวใจข้าผู้เป็นลูกคนนี้คงหนาวเหน็บเกินไปแล้ว”
ข้ามิตอบคำ เกรงว่าชะตาลิขิตให้ยงอ๋องต้องผิดหวังแล้ว เมื่อเห็นฟ้าเริ่มสว่าง ข้าเองก็เริ่มเหนื่อยล้าอยู่บ้างแล้วจึงเชิญยงอ๋องกลับไปพักผ่อน เมื่อกลับถึงห้อง เสี่ยวซุ่นจื่อก็กลับมาแล้ว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ข้าถามว่า “เกิดอะไรขึ้น สีหน้าถึงย่ำแย่ปานนี้”
เสี่ยวซุ่นจื่อโอดครวญ “คุณชาย ท่านให้ข้าไปคุ้มกันพระชายาก็ช่างเถิด แต่ท่านให้ปรมาจารย์ซือเจินไปช่วยองค์ชายได้เช่นไร แล้วเหตุใดไม่บอกข้าสักคำ”
ข้ายิ้มเจื่อน “ข้าคงเรียกเจ้ากลับมามิได้กระมัง ไม่ต้องกังวล ปรมาจารย์ซือเจินกับยงอ๋องเตรียมการไว้แล้ว ครั้งหน้าเจ้าไม่ต้องออกห่างตัวข้าแล้ว แต่วันนี้เจ้าต้องไปจัดการเรื่องหนึ่ง หลายวันนี้ฉางอันคงสถานการณ์ไม่ดีเป็นแน่ เจ้าให้เซี่ยจินอี้ออกจากเมืองไปซ่อนก่อน อย่าให้ถูกผู้ใดพบตัว ถึงอย่างไรในฉางอันเขาก็มิใช่คนไร้ชื่อไร้นาม”
เสี่ยวซุ่นจื่อกลับทำหน้าพิกลแล้วตอบว่า “เรื่องนี้ข้าก็คิดไว้แล้ว แต่ชื่อจี้ส่งข่าวมาบอกว่า ฝั่งพวกเขามีแขกไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่งมาเยือน”
ข้าเอ่ยอย่างประหลาดใจ “แขกไม่ได้รับเชิญ สถานที่นั้นเป็นรังลับที่พวกเขาจัดเตรียมไว้อย่างพิถีพิถัน จะมีคนนอกมาเยือนได้เช่นไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อทำหน้าพิกลยิ่งกว่าเดิมแล้วตอบว่า “คนผู้นั้นคือเยี่ยเทียนซิ่ว องครักษ์ของชิ่งอ๋อง ท่านก็เคยพบแล้ว”
คราวนี้ข้าอึ้งจริงๆ มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
[1]สำนักเอ๋อเหมย สำนักวิทยายุทธ์ที่ปรากฏในนิยายกำลังภายใน เช่น เรื่องดาบมังกรหยกของกิมย้ง และผลงานเรื่องต่างๆ ของนักเขียนท่านอื่น หากถอดเสียงตามสำเนียงแต้จิ๋วจะอ่านว่า สำนักง้อไบ๊
ตอนต่อไป