ตอนที่ 459

My Disciples Are All Villains

รถม้าล่องเมฆาหยุดเคลื่อนไหว

ถ้าหากยอดฝีมือของสามสำนักหยุน, เทียน, ลั่วเริ่มโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้าจากในม่านพลังตอนนี้ ผลที่ตามมาคงไม่อาจที่จะจินตนาการได้

เส้นทางของสำนักฝ่ายธรรมะและอธรรมไม่เคยที่จะซ้อนทับกันมาก่อน แม้ว่าสามสำนักจะแตกต่างจากสิบสำนักใหญ่ก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้มีอำนาจจากในบรรดาสำนักฝ่ายธรรมะ ที่แห่งนี้มียอดเขาถึง 20 ยอดและดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีก 10 แห่ง ทั้งสาวกนับหมื่นรวมไปถึงม่านพลังป้องกัน ม่านพลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถือว่าเป็นม่านพลังที่ดีที่สุดในโลกแห่งการฝึกยุทธ มันสามารถใช้ได้ทั้งกับการโจมตีและการป้องกัน

ซูยู่ชูมองไปที่ผู้ฝึกยุทธของสำนักลั่ว นางที่เห็นแบบนั้นเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนขึ้นมา

ผู้ฝึกยุทธหลายคนกำลังลอยตรงมาจากบนท้องฟ้า

หวืออ!

ในตอนนั้นเองพลังอวตารที่มีความสูงกว่า 90 ฟุตก็ได้บินเข้ามาใกล้ ผู้ใช้พลังอวตารได้ใช้สุดยอดเคล็ดวิชาก็เพื่อที่จะมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

ทุกคนต่างก็หันไปมองผู้ที่เพิ่งจะมาเยือน

“ข้าหนานกงเหว่ยผู้นำจากสำนักเทียนยินดีต้อนรับผู้อาวุโส!”

สาวกจากสำนักเทียนที่ติดตามมาหลายพันคนต่างก็โค้งคารวะลู่โจวจากกลางอากาศ “ยินดีต้อนรับผู้อาวุโส!”

การคารวะของศิษย์สาวกนับพันเป็นการคารวะอย่างพร้อมเพรียงกันจนน่าตื่นตา

ในระหว่างการมาเยือนครั้งก่อนของศาลาปีศาจลอยฟ้า ในตอนนั้นไม่มีผู้นำสักนักคนไหนที่จะกล้าปรากฏตัวขึ้น แต่ในเวลานี้จะมีใครที่กล้ามากพอจนไม่แสดงตัวได้อีก?

หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นรู้สึกตื่นเต้น ตัวเขาไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน

เหมือนกับคำพูดที่ว่าเอาไว้ทำดีย่อมได้ดี

ลู่โจวได้ลอยออกมาจากรถม้าก่อนที่จะบินมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์

เหล่าสาวกคนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นได้แต่ติดตามตัวเขาไป

การเคลื่อนไหวของลู่โจวนั้นแสนจะเรียบง่าย มันไม่ได้เต็มไปด้วยพลังเหมือนกับที่ทุกๆ คนคาดหวัง แต่ถึงแบบนั้นเหล่าสาวกจากสามสำนักต่างก็กลั้นหายใจ ชายที่อยู่ตรงหน้าแม้จะดูเรียบง่ายแต่กลับแฝงไปด้วยพลัง

“ลุกขึ้นซะ” เสียงของลู่โจวดังไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ทุกๆ คนที่ได้ฟังแบบนั้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

แม้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะกว้างใหญ่ แต่บัดนี้ที่ใจกลางของมันกลับถูกคนจำนวนมากถือครองอยู่

หนานกงเหว่ยเจ้าสำนักเทียนยืนอยู่ที่ด้านหน้า

ในขณะเดียวกันเฟิงยี่จือ เจ้าสำนักลั่วเองก็ลงมาที่พื้นเช่นกัน

หนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือต่างก็โค้งคารวะลู่โจวอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ท่านผู้อาวุโส ลมอะไรพาท่านให้มาถึงที่นี่กัน?” หนานกงเหว่ยได้ถามออกมาด้วยความเคารพ

ดวงตาของลู่โจวได้จับจ้องไปที่เขา “เจ้าสำนักหยุน หยุนวู่จีอยู่ไหนกัน?”

เป็นไปอย่างที่คาดไว้

หนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือได้แต่ลำบากใจ ทั้งคู่ต่างก็สบตากันอย่างช่วยไม่ได้

สีหน้าของหนานกงเหว่ยดูขมขื่นมากกว่าเดิม “ผู้อาวุโส พวกเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแผนการของสำนักหยุนเลย ข้าเพิ่งจะรู้สิ่งที่สำนักหยุนได้ทำหลังจากที่เรื่องทั้งหมดจบลง”

“สำนักลั่วเองก็ไม่รู้เรื่องเช่นกัน! สำนักหยุนเสียมารยาทกับท่านจริงๆ ! พวกเราจะให้คำอธิบายกับศาลาปีศาจลอยฟ้าของท่านแน่!”

นี่ไม่ใช่เรื่องประหลาดเลยที่สามสำนักจะแตกคอกัน สถานการณ์ในปัจจุบันมันอยู่ในความคาดหมายของลู่โจวแล้ว ในช่วงเวลาที่สำนักหยุนก่อเรื่องเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่สัญลักษณ์ของความไม่ลงรอยกันจะปรากฏออกมา

“แล้วพวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” ลู่โจวถามหนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก

“เอ่อ…”

หนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือต่างก็เป็นเจ้าสำนักด้วยกันทั้งคู่ ทั้งสองคนต่างก็มีสถานะอันสูงส่งในสามสำนัก คำพูดของพวกเขาจึงมีน้ำหนักและเชื่อถือได้แน่

ในที่สุดเฟิงยี่จือก็โค้งคารวะลู่โจวก่อนที่จะให้คำตอบ “ผู้อาวุโส พูดสิ่งที่ท่านต้องการเถอะ…พวกเราจะให้คำอธิบายให้ดีที่สุดเอง”

ในเวลานั้นเองสาวกคนหนึ่งก็ได้บินมาหาพวกเขาอย่างเร่งรีบ ที่ใบหน้าของสาวกคนนั้นดูหวาดกลัวและเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เมื่อสาวกบินมาถึง ตัวเขาก็สะดุดล้มด้วยความประหม่า ชายคนนั้นได้พูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “ท่านเจ้าสำนัก…ท่านเจ้าสำนัก…แย่แล้ว!”

สีหน้าของหนานกงเหว่ยดูสิ้นหวังมากกว่าเดิม “เกิดอะไรขึ้น?”

สาวกคนนั้นชี้ไปยังดินแดนที่สำนักหยุนตั้งอยู่ “เจ้าสำนักหยุนตะ…ต้องการที่จะฆ่าตัวตาย!”

ฝูงชนที่มารวมตัวกันเริ่มส่งเสียงพูดคุยขึ้น

สาวกของสำนักเทียนและสำนักลั่วต่างก็จ้องมองไปยังสำนักเทียน

สาวกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นเพียงแค่พวกเดียวเท่านั้นที่ยังคงนิ่งเฉย

การแสดงออกของลู่โจวยังดูไม่แยแส มันยังดูปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเขา

ในทางกลับกันซูยู่ชูตกใจ สีหน้าและแววตาของนางได้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่ได้ยินนั่นก็หมายความว่าสำนักหยุนได้โจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้าจริงๆ เป็นเพราะเจ้าสำนักหยุนไม่อาจทนต่อแรงกดดันจากการทำผิดได้ก็เลยคิดฆ่าตัวตายอย่างงั้นสินะ?

ในขณะนั้นเองพลังอวตารก็ได้ปรากฏขึ้นที่ระหว่างยอดเขาของสำนักหยุน พลังอวตารที่ปรากฏตัวมีความสูงกว่า 90 ฟุต! มันเปล่งประกายแสงสีทองอย่างเห็นได้ชัด เมื่อจ้องมองไปทางร่างอวตารจะเห็นใครคนหนึ่งลอยอยู่ ใครคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เข้าก็คือหยุนวู่จี เจ้าสำนักหยุนนั่นเอง

ไม่นานนักพลังคลื่นเสียงก็แผ่ไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์ “หยุนวู่จีได้ทำผิดต่อท่านปรมาจารย์ หยุนวู่จีรู้ดีว่าบาปที่ก่อสามารถชดใช้ด้วยความตายได้เท่านั้น!”

ไม่มีการโจมตีแฝงมา มันเป็นเพียงคลื่นเสียงที่หยุนวู่จีต้องการพูด คำพูดของเขามันแฝงไปด้วยความไม่เต็มใจและความสับสน

สาวกกว่า 3,000 คนจากทั้ง 3 สำนักต่างก็จ้องมองไปที่พลังอวตาร ทุกคนล้วนแต่อยากได้รับพลังอวตารแบบนั้น มีผู้ฝึกยุทธกว่าหลายคนที่ใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการฝึกตน แต่ถึงแบบนั้นมันก็มีไม่มากนักที่คนคนนั้นจะมีพลังอวตารที่สูงกว่า 90 ฟุตได้

หยุนวู่จีฝึกฝนมาจนถึงขั้นนี้ก็เพราะความขยันหมั่นเพียร

ทุกคนรู้ดีว่าหยุนวู่จีเป็นเหมือนกับไฟอันร้อนแรง บางเวลาตัวเขาก็เคลื่อนไหวได้ราวกับสายลม หยุนวู่จีถือว่าเป็นอัจฉริยะของโลกแห่งการฝึกยุทธที่แสนจะหาได้ยาก ตัวเขาสามารถไต่เต้าจากการเป็นสาวกจนกลายมาเป็นเจ้าสำนักหยุนได้ หยุนวู่จีเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รับรู้ถึงความยากลำบากที่ฝ่าฟันมากว่าจะไปถึงจุดสูงสุดได้ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วพลังที่เขามีก็ไม่อาจช่วยอะไรได้

หนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือเจ้าสำนักเทียนและสำนักลั่วต่างก็จ้องมองไปที่พลังอวตาร แม้ว่าทั้งสองคนจะดูเหมือนไม่แยแสแต่จิตใจของพวกเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ไม่มีใครตอบสนองหยุนวู่จี

หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง หยุนวู่จีก็ได้หัวเราะออกมาอย่างเศร้าโศก “ข้าผิดจริงๆ อย่างงั้นเหรอ? ข้าผิดไปแล้วใช่หรือเปล่า?” คลื่นเสียงที่ดังก้องกังวานได้แผ่ไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พลังอวตารที่สูงกว่า 90 ฟุตได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเข้ามาใกล้ทุกคน

หยุนวู่จีรู้สึกเหนื่อยล้าที่ต้องคงพลังอวตารเอาไว้เป็นเวลานาน การใช้พลังอวตารเป็นการใช้พลังลมปราณอันมหาศาลนั่นเอง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มันไม่สำคัญอีกต่อไป เมื่อเข้ามาใกล้จนห่าง 100 เมตรหยุนวู่จีก็สามารถมองเห็นปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ชายเพียงคนเดียวที่ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่! แม้ว่าหยุนวู่จีจะไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นจะตายอีกต่อไป แต่หัวใจของเขาที่เห็นปรมาจารย์คนนี้ก็ยังคงเต้นแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หยุนวู่จีมองไปที่ลู่โจว ผู้ซึ่งยืนอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หยุนวู่จีที่ดูเหนื่อยล้าได้พูดออกมาอย่างทุกข์ทรมาน “ผู้อาวุโสจี…ข้า…ข้าผิดไปแล้วใช่ไหม?”

ทุกๆ คนไม่รู้เลยว่าหยุนวู่จีรู้สึกทรมานหรือว่าเสียใจอยู่กันแน่

ก่อนที่ลู่โจวจะตอบกลับไปหนานกงเหว่ยก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “หยุนวู่จี เจ้านี่มันไร้เหตุผลซะจริง”

“ข้าไม่ได้ไร้เหตุผล! ข้าต้องการแค่คำตอบ! ข้าเคยทำอะไรที่ไม่เห็นแก่สำนักหยุนบ้างกัน? หนานกงเหว่ย เจิงยี่ชี! พวกเจ้ามันก็แค่พวกขี้ขลาด!” เมื่อพูดเสร็จหยุนวู่จีก็ถ่มน้ำลาย

ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็ได้พูดเย้ยหยัน “ไม่ใช่แค่เจ้าที่ผิดหรอกนะ เจ้าน่ะมันผิดมหันต์”

“หืม?” สายตาของหยุนวู่จีเหลือบไปมองหมิงซี่หยินแทน

“คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรที่จะให้อาจารย์ของข้าจัดการหรอก เจ้ากล้าดียังไงมาทำตัวว่าตัวเองชอบธรรมแบบนี้? รีบไสหัวไปตายได้แล้ว!”

“…”

หมิงซี่หยินเห็นผู้ฝึกยุทธอย่างหยุนวู่จีมานักต่อนักแล้ว ผู้ฝึกยุทธที่มักจะพูดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นทำเพื่อส่วนรวม แต่ในความจริงแล้วสิ่งที่เหล่าผู้ฝึกยุทธพวกนี้ได้ทำเป็นเพียงแค่เรื่องน่าอับอายสกปรกเท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นพวกเขากลับต้องการให้ทุกคนสรรเสริญและยกย่องตนอย่างชอบธรรม คนเหล่านี้พยายามที่จะเชิดชูตัวเองก็เท่านั้น

หยุนวู่จีรู้สึกแน่นหน้าอก ในตอนนี้ตัวเขาไม่มีทางเลือกอีกต่อไป

เมื่อหมิงซี่หยินเห็นสีหน้าอันว่างเปล่าของหยุนวู่จี ตัวเขาก็ได้พูดต่อ “เจ้ามัวทำอะไรอยู่? สาวกของสามสำนักกำลังรอให้เจ้าจบชีวิต รีบตายไปได้แล้ว”

หมิงซี่หยินได้พูดออกมาตามความรู้สึก เห็นได้ชัดว่าตัวเขากำลังรู้สึกโกรธมากกว่าปกติ “เจ้าทำเรื่องทุกอย่างก็เพื่อสำนักหยุนไม่ใช่เหรอ!? ถ้าหากเจ้าไม่ยอมตาย สำนักหยุนทั้งหมดก็ต้องตกตายไปพร้อมกับเจ้า!”