ตอนที่ 460

My Disciples Are All Villains

หยุนวู่จีเริ่มไม่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดได้ อันที่จริงในตอนที่ตัวเขาได้ยินมาว่าสำนักใหญ่ทั้งเจ็ดที่ร่วมมือกับผู้อาวุโสทั้ง 10 แห่งสำนักหยุนบุกโจมตีภูเขาทองล้มเหลว หยุนวู่จีก็รู้ชะตากรรมของตัวเขาแล้ว

ศิษย์สาวกกว่าหลายพันคนถูกยอดฝีมือทั้งหลายรายล้อมเอาไว้ คนจากสำนักเทียนและสำนักลั่วไม่ใช่พวกโง่เขลา การที่คนจากสำนักเทียนล่วงเกินผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเป็นความผิดอย่างมหันต์ พวกเขาไม่อาจที่จะปล่อยให้ผู้ทำผิดหลุดรอดไปได้

หนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือรู้สึกผิดใจกับสำนักหยุนมานานแล้ว ระหว่างทั้ง 3 สำนักต่างก็มีปัญหามากมายหลายอย่าง และในตอนนี้ทุกอย่างก็มาถึงจุดที่แตกหัก

ตอนนี้หยุนวู่จีกลายเป็นคนบาปของทั้งสามสำนัก ไม่เพียงแต่ตัวเขาจะต้องพบกับจุดจบอันน่าสยดสยองที่นี่ ตัวเขายังจะถูกสาปแช่งไปอีกนานแสนนาน หยุนวู่จีจะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ อย่างงั้นเหรอ? หยุนวู่จีรู้สึกลังเล หมิงซี่หยินจงใจที่จะพูดยั่วยุตัวเขาอย่างเห็นได้ชัด พลังอวตารที่สูงกว่า 90 ฟุตสั่นเครือเล็กน้อย การคงพลังอวตารร้อยวิถีเอาไว้จะทำให้เจ้าของร่างอวตารต้องเสียพลังลมปราณอย่างมหาศาล หยุนวู่จีรู้ดีว่าไม่มีทางเลือก ถ้าหากตัวเขาไม่ยอมรับผิดท้ายที่สุดแล้วสำนักหยุนก็ต้องชดใช้เรื่องนี้ หยุนวู่จีมองไปที่หมิงซี่หยินก่อนที่จะตอบโต้ออกมา “ย่อมได้”

“ไปตายได้แล้ว…” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างหงุดหงิด

“…”

ไม่มีสาวกของสามสำนักคนใดที่จะกล้าพูดขัดจังหวะ ไม่มีใครเลยที่จะกล้าพูดเข้าข้างหยุนวู่จี

สีหน้าอันไม่พึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยุนวู่จี ตัวเขาสังเกตเห็นสีหน้าอันไม่แยแสของทุกคน หยุนวู่จีก็เริ่มรู้ตัวว่าตัวเองได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ไป ยิ่งคิดย้อนกลับมาหยุนวู่จีก็รู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น ‘นี่มันอะไรกัน? ถ้าหากข้าทำสำเร็จทุกคนก็จะได้รับผลประโยชน์ แต่ถ้าหากข้าทำพลาด ข้าก็จะต้องแบกรับความผิดไว้ด้วยตัวเองอย่างงั้นเหรอ?’

ความคิดของคนเราเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วพริบตา

หยุนวู่จีถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ‘ข้าจะต้องปลิดชีวิตตัวเองเพื่อคนพวกนี้อย่างงั้นเหรอ? ไม่ ไม่ มันจะไม่คุ้มค่าอะไรกัน!’

สาวกที่อยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็จ้องไปที่หยุนวู่จี ในขณะที่สาวกจากสำนักหยุนต่างก็จ้องมองผู้เป็นเจ้าสำนักด้วยความสนใจเป็นพิเศษ

หยุนวู่จียังคงล่าถอยไปจนกระทั่งตัวเขาอยู่ระหว่างม่านพลัง

หวืออ!

พลังอวตารของหยุนวู่จีหกตัวลง

ม่านพลังส่งเสียงดังขึ้น ที่พื้นผิวของม่านพลังเกิดระลอกคลื่นอะไรบางอย่าง

เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นหยุนวู่จีก็ออกจากม่านพลังไป

“หืม?” หมิงซี่หยินเบิกตากว้าง “เฮ้ เฮ้…เจ้านั่นคิดหนีอย่างงั้นเหรอ?”

สาวกของทั้ง 3 สำนักต่างก็ตกตะลึง พวกเขาจ้องมองไปที่หยุนวู่จีที่กำลังจะหลบหนี ร่างกายของทุกคนล้วนแต่แข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ทุกคนไม่อยากที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็น เมื่อครู่หยุนวู่จียังคงแสดงท่าทีที่มั่นใจและชอบธรรมออกมา แต่ในตอนนี้ตัวเขากลับคิดหนี?

“เอ่อ…”

ม่านพลังเริ่มส่งเสียงออกมาอีกครั้ง

หยุนวู่จีบินไปไกลออกไป และไกลออกไปอีก ตัวเขาได้ใช้พลังอวตารมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ด้วยสุดยอดพลังที่ใช้ทำให้ตัวเขาสามารถข้ามผ่านม่านพลังภายในพริบตาได้

“ท่านอาจารย์ข้าจะไล่ตามเจ้านั่นไปเอง…และ…” หมิงซี่หยินกล่าวออกมาก่อนที่จะหยุดพูดอย่างกะทันหัน ตัวเขาสังเกตเห็นลู่โจวกำลังจะยิงลูกศรพลังงานอยู่ก่อนแล้ว

พรึ๊บ!

ลูกศรพลังงานถูกยิง

ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงเรื่องนี้ ในตอนนี้ความสนใจของทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กับหยุนวู่จี ทุกๆ คนได้ลืมไปหมดแล้วว่ามียอดฝีมือผู้ที่เก่งกาจที่สุดยืนอยู่ตรงนี้

ซูยู่ชูที่ได้ยินเสียงลูกศรพลังงานได้หันมาจดจ่อที่มัน ลูกศรพลังงานลอยอยู่บนกลางอากาศ

ลูกศรพลังงานที่ถูกยิงออกไปเรียบง่าย แต่เมื่อลูกศรพลังงานพุ่งผ่านม่านพลังได้ทุกคนที่ได้เห็นแบบนั้นก็ได้เบิกตากว้าง ความเร็วของมันได้อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน แม้ว่าหยุนวู่จีจะบินไปได้ไกลแค่ไหนแต่ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ไม่อาจหนีลูกศรพลังงานได้ทัน

เมื่อลูกศรพลังงานเข้าปะทะเป้าหมาย คลื่นเสียงของการปะทะก็ได้ดังขึ้นไปทั่วฟ้า

สิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือการที่หยุนวู่จีหยุดนิ่งอยู่บนกลางอากาศ ลูกศรพลังงานได้แทงทะลุหลังของหยุนวู่จีไปเต็มๆ

หยุนวู่จีเบิกตากว้าง ตัวเขาก้มศีรษะเพื่อจ้องมองลูกศรพลังงานที่แทงทะลุอก “เป็นไปได้ยังไงกัน? ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ…เป็นยอดมือธนู?”

หยุนวู่จีเป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบ เมื่อรับการโจมตีจากลูกศรพลังงานไป หยุนวู่จีก็ยังลอยอยู่บนฟ้าต่อไปได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักพลังลมปราณที่ชายคนนี้มีก็เริ่มไหลออกมาจากร่างกาย ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนแต่ลูกศรพลังงานที่ปักอยู่คาอกก็ไม่หายจางไป ในที่สุดหยุนวู่จีก็ไม่อาจที่จะลอยต่อไปได้ ตัวเขาได้ตกลงสู่ป่าเบื้องล่าง หยุนวู่จีได้หายไปจากสายตาของทุกคน

“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,500”

ความเงียบได้เข้าครอบนำดินแดนศักดิ์สิทธิ์

เมื่อหยุนวู่จีตกลงสู่พื้น ทุกๆ คนที่อยู่บนดินแดนแห่งนี้ต่างก็สับสน ดวงตาของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความกลัว แม้แต่ซูยู่ชูเองก็เช่นกัน จีเทียนเด๋าที่นางเคยรู้จักไม่ได้มีฝีมือในการใช้ธนูมากนัก แต่ในตอนนี้เขากลับใช้ธนูยิงยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบจากในระยะไกลได้ ถ้าหากไม่ใช่ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบคงจะทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้แน่

เหล่าสาวกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็รู้สึกโล่งใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นลู่โจวสังหารยอดฝีมือแบบนี้ภายในพริบตาเดียว ในตอนแรกทุกคนล้วนแต่ตกตะลึงในพลัง แต่เมื่อมองย้อนกลับไปทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันไม่มีอะไรน่าแปลกใจ ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดาที่ผู้มีพลังมากกว่าจะสังหารผู้ที่มีพลังน้อยกว่าได้

ลู่โจวไม่ได้คิดอะไรมากมาย ตัวเขาได้เก็บอาวุธนิรนามไปก่อนที่จะตรวจวัดพลังวิเศษของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่เหลือ ตัวเขายังคงเหลือพลังอีกครึ่งหนึ่ง การยิงลูกศรพลังงานเมื่อครู่เป็นการใช้พลังที่มากกว่าการโจมตีระยะประชิด ถ้าหากเป็นการโจมตีระยะประชิดลู่โจวจะใช้พลังจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์เพียงแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น ไม่ว่าจะต้องใช้พลังเพิ่มอีกแค่ไหนแต่ลู่โจวก็จะไม่มีวันปล่อยให้หยุนวู่จีหนีรอดไปได้ หยุนวู่จีที่หนีรอดไปได้จะต้องหันกลับมาแว้งกัดตัวเขาและศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกครั้ง

หมิงซี่หยินได้ถ่มน้ำลาย เขาเป็นผู้ทำลายความเงียบสงบในก่อนหน้านี้ “มันคงจะดีกว่านี้ที่เจ้านั่นยอมฆ่าตัวตายไป อย่างน้อยๆ เจ้านั่นก็ยังรักษาศักดิ์ศรีที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไว้ได้”

หยวนเอ๋อพูดแทรก “การที่เจ้านั่นวิ่งหนีไป แสดงว่าเจ้านั่นไร้ยางอายยิ่งกว่าศิษย์พี่สี่สิ!”

“…”

ลู่โจวเหลือบมองหมิงซี่หยิน ท่าทีของเขายังไม่เปลี่ยนแปลงไปก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเฉยเมย “ถ้าหากเจ้านั่นต้องการจะตาย ข้าจะเป็นผู้เติมเต็มความปรารถนาของมันเอง”

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

ลู่โจวเหลือบมองทุกคนก่อนที่จะถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ใครมีอะไรจะพูดอีกไหม?” แม้ว่าเสียงของลู่โจวจะไม่ได้ดังกังวานอะไรแต่คำพูดของตัวเขาก็ส่งผ่านไปถึงหูของทุกคนได้อย่างชัดเจน

หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่งหนานกงเหว่ย เจ้าสำนักเทียนก็ได้คารวะก่อนที่จะพูดขึ้น “พวกเราไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เจ้านั่นสมควรตาย”

“ใช่ เขาสมควรตาย!” เฟิงยี่จือพูดต่อ

เมื่อทั้งโค้งคำนับลู่โจว ทั้งคู่ก็ได้กลืนน้ำลายพร้อมกับปาดเหงื่อไปด้วย

ไม่มีใครในที่ตรงนี้ที่รู้สึกเห็นใจหยุนวู่จีเลย การกระทำของเขาไม่สมควรที่จะได้รับความเห็นใจจากใคร

ในขณะนั้นเองประตูหิน ประตูที่ปิดกั้นสถานที่อันเงียบสงบเอาไว้ก็ค่อยๆ เปิดขึ้น

หยุนเทียนลั่วค่อยๆ ปรากฏตัวออกมา ตัวเขาในตอนนี้ได้แต่นั่งรถเข็น หยุนเทียนลั่วดูไร้พลัง สายตาของเขาดูไร้ชีวิตชีวาและดูไร้เรี่ยวแรงกว่าที่เคยเป็นมา

“ท่านปรมาจารย์!”

“ท่านปรมาจารย์”

สาวกของทั้งสามสำนักรวมไปถึงหนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือต่างก็คารวะให้กับหยุนเทียนลั่ว

หยุนเทียนลั่วหายใจออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง ตัวเขาพยายามที่จะเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาที่ดูสิ้นหวังได้จับจ้องไปที่ลู่โจว หยุนเทียนลั่วที่ได้เห็นแบบนั้นยิ้มจางๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้ารู้…ว่าท่านจะต้องมา”

ลู่โจวเดินตรงไปที่ทางด้านหน้าพร้อมกับเอามือไขว้หลัง

ทุกๆ คนที่เห็นแบบนั้นต่างก็ถอยห่างจากทั้งสองคน

ลู่โจวได้ยืนอยู่ต่อหน้าหยุนเทียนลั่ว ตัวเขาเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดดี “ขีดจำกัดของเจ้ามาถึงแล้ว แต่เจ้าก็ยังคงอดทนอยู่อย่างงั้นสินะ?” ตัวเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหยุนเทียนลั่วเหลือลมหายใจสุดท้ายแล้ว

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหนานกงเหว่ย, เฟิงยี่จือ และสาวกทั้งหมดต่างก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย

อย่างไรก็ตามหยุนเทียนลั่วดูเหมือนจะไม่สนใจเหล่าสาวกอีกต่อไป

“บอกข้าได้ไหมพี่จี แค่ก…แค่ก…” หยุนเทียนลั่วได้ไออย่างรุนแรงก่อนจะพูดต่อ “ข้ามีเรื่องที่ยังคงค้างคาใจ…เพราะแบบนั้นนั่นเลยเป็นเหตุผลที่ข้ายังไม่อยากจากไป”

ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นส่ายหัว “ดื้อรั้นซะจริง”

“ถูกต้องแล้ว นั่นเป็นนิสัยของข้าเอง…” หยุนเทียนลั่วพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี

“เจ้าน่าจะมีชีวิตต่อได้อีกสัก 10 ปี…ใครกันที่ทำร้ายเจ้า?”

คำพูดของลู่โจวแม้ว่าจะมาจากคนๆ เดียวแต่มันก็ได้ส่งผลต่อคนนับพัน มันเป็นเหมือนกับก้อนกรวดก้อนเดียวที่ทำให้เกิดคลื่นนับพันได้

หนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือดูตกใจ พวกเขาคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ท่านปรมาจารย์ ใครหน้าไหนที่กล้าโจมตีท่าน? ทำไมท่านไม่ยอมบอกเรา?”

“กล้าดียังไงที่โจมตีท่านปรมาจารย์ของพวกเรา! ข้าสาบานว่าจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ”

หยุนเทียนลั่วโบกมือ “ไม่จำเป็น”

ทั้งสองที่เห็นแบบนั้นต่างก็สับสน

หยุนเทียนลั่วพูดต่อ “หยุนวู่จีไม่ได้สมควรรับสิ่งที่ทำไปแล้วอย่างงั้นเหรอ?”

“คนที่ทำร้ายท่านคือหยุนวู่จีอย่างงั้นเหรอ?”

“เจ้าสารเลวนั่นหลอกลวงผู้ที่เป็นอาจารย์ของตัวเอง! หยุนวู่จีช่างเป็นชายที่ต่ำช้าที่สมควรตายไปแล้วจริงๆ !”

ผู้อาวุโสทั้งหลายที่ได้ฟังแบบนั้นก้าวไปที่ด้านหน้า “ท่านเจ้าสำนักขอคำสั่งด้วย”

“ค้นหาศพของหยุนวู่จี ปล่อยให้ศพของมันถูกทิ้งไว้ 3 วัน 3 คืน และฉีกซากศพของมันเป็นชิ้นๆ ซะ”

“ครับ ท่านเจ้าสำนัก” ผู้อาวุโสทั้งหลายบินขึ้นไปบนฟ้าก่อนที่จะหายไปในป่า

เหล่าสาวกที่ได้ยินแบบนั้นตกตะลึง เจ้าสำนักเทียนแท้จริงแล้วเป็นเพียงชายผู้ต่ำช้า

สาวกของสำนักหยุนได้แต่ก้มหน้าลง พวกเขารู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรง นอกจากจะเสียผู้เป็นเจ้าสำนักไปแล้วความขัดแย้งระหว่างทั้ง 3 สำนักที่มีก็เริ่มทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น สิ่งที่ตามมาจะต้องเป็นวัฏจักรแห่งการแก้แค้นไปอย่างไม่ต้องสงสัย

ในขณะนั้นเองหยุนเทียนลั่วก็ได้พูดขึ้น “ใครไม่มีธุระออกไปซะ”

“ถอยไปเร็วเข้า!” หนานกงเหว่ยรีบออกคำสั่ง

สาวกจากทั้งสามสำนักต่างก็แยกย้ายตัว

ที่ใจกลางดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหลือเพียงสมาชิกหลักของสามสำนัก ผู้ฝึกยุทธที่ยังคงอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่เป็นผู้อาวุโสคนสำคัญ

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้ารู้ไหมว่าอะไรที่ทำให้ข้าต้องมาที่นี่?”

“บางทีถ้าหากข้าคิดไม่ผิด…ท่านจะต้องมาที่นี่ก็เพื่อช่วยข้าสะสางเรื่องค้างคาใจ”

“แล้วเรื่องค้างคาใจของเจ้าคืออะไรล่ะ?” ลู่โจวได้ถามออกมา แม้ว่าการมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบแทบที่จะไม่เกี่ยวอะไรกับหยุนเทียนลั่ว แต่ตัวเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ยิ่งไปกว่านั้นลู่โจวยังไม่ต้องการที่จะอธิบายอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

หยุนเทียนลั่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าศึกษาเรื่องของพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบมานานและปรารถนาที่จะข้ามผ่านประตูบานั้นไป แต่น่าเสียดาย…ข้าไม่พบอะไรเลยนอกจากความล้มเหลวก่อนที่จะเป็นแบบนี้ ข้าทำตัวเองทุกอย่าง แต่ข้าแน่ใจดีว่ามีเรื่องถูกต้องเรื่องหนึ่ง…” หยุนเทียนลั่วได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ “สิ่งที่ถูกต้องที่ว่าก็คือการมอบหมากกระดานให้กับท่านไงล่ะพี่จี”

สีหน้าของลู่โจวดูไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ‘เจ้านี่มันคิดมากเกินไปแล้ว เขาคงคิดว่าการที่ฉันมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้เกี่ยวข้องกับหมากกระดานนั่นอย่างงั้นสินะ?’

“ตลอดชีวิตของข้าสิ่งเดียวที่ข้าต้องการนั่นก็คือการได้เห็นพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ…นั่นเป็นเรื่องที่ค้างคาใจข้าจนมาถึงทุกวันนี้ พี่จี ถ้าหากท่านช่วยสะสางความค้างคาใจของข้าได้…แม้ว่าข้าจะตายจากไปแต่ความใจดีที่พี่จีได้ช่วยข้าไว้ ข้าจะไม่ลืมมันแน่…ถ้าหากไม่ได้ท่านข้าก็คงไม่จากไปอย่างสงบ”

“…” คำพูดของหยุนเทียนลั่วเป็นเหมือนกับภาระให้กับลู่โจว

ในตอนนั้นเองซูยู่ชูก็ได้พูดขึ้นมา “หยุนเทียนลั่ว ท่านน่ะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หลังจากที่ไม่ได้พบกันนาน”

หยุนเทียนลั่วตกตะลึง ตัวเขาหันไปมองที่หญิงชรา “เจ้าคือใครกัน?”

“ข้าคือซูยู่ชู”

เมื่อได้ยินดังนั้นหยุนเทียนลั่วก็เบิกตากว้าง

ภาพของหญิงสาวที่งดงามจนไม่มีใครเทียบเคียง ภาพรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์เมื่อ 500 ปีก่อนได้ผุดขึ้นใจของหยุนเทียนลั่ว “แม่นางซู! เป็นเจ้านั่นเอง!?”

“แหวะ!”

หมิงซี่หยินที่ยืนอยู่ด้านข้างทำท่าที่จะอาเจียน แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครสนใจตัวเขา

ซูยู่ชูขมวดคิ้วเล็กน้อย “รูปร่างของท่านเปลี่ยนไปมากจริงๆ ข้ากังวลเหลือเกินว่าการได้เห็นท่านที่มีสภาพอ่อนแอแบบนี้จะทำให้้หลับไม่ลง”

“…” หยุนเทียนลั่วดูเคอะเขิน

ซูยู่ชูครั้งหนึ่งเคยเป็นหญิงสาวผู้งดงาม นางเป็นนางในฝันของชายหลายๆ คน แต่อย่างไรก็ตามซูยู่ชูกลับไม่สนใจเรื่องรักใคร่ นางเลือกที่จะเดินไปตามทางของลัทธิขงจื๊อโดยที่ไม่สนใจอะไร

500 ปีผ่านพ้นไป แม้แต่ผืนทะเลอันกว้างใหญ่ก็ยังเปลี่ยนแปลงไปได้ ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ของนางจะเปลี่ยนแปลงไปแต่ภาพจำที่หยุนเทียนลั่วมีก็ไม่อาจที่จะลบเรือน

“แล้วเจ้าอยากที่จะให้ข้าช่วยสะสางเรื่องค้างคาใจของเจ้ายังไงกัน?” ลู่โจวพูดกลับเข้าเรื่อง

“ข้าไม่ขออะไรมาก…สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงการที่จะได้เห็นพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นผู้คนจำนวนมากก็รู้สึกตื่นเต้น พวกเขาต่างก็ดูกระตือรือร้นและมีความหวังขึ้นมา

ซูยู่ชูเองก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นใครทุกๆ คนต่างก็อยากที่จะเห็นพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ

หมิงซี่หยิน, เล้งลั่ว, ฮั๊ววู่เด๋าและหยวนเอ๋อเองก็อยากที่จะเห็นพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบอีกครั้งเช่นกัน การที่จะได้เห็นสุดยอดพลังเพียงครั้งเดียวมันไม่เพียงพอสำหรับทุกคน

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นได้แต่สาปแช่งหยุนเทียนลั่วอยู่ภายในใจ ‘โชคยังดีที่ฉันมีการ์ดปลอมแปลงพลังอยู่ ถ้าหากไม่ได้การ์ดใบนี้ตาแก่นี้คงจะไม่ได้ตายอย่างสงบแน่’ ลู่โจวได้ตอบกลับมาอย่างมั่นใจ “ย่อมได้”

เมื่อตอบรับเสร็จลู่โจวก็ได้ชูมือขึ้น ที่มือของเขามีการ์ดปลอมแปลงพลังอยู่ในมือ ทันทีที่มันถูกทำลายพลังอันมหาศาลก็เริ่มมารวมตัวกันที่จุดตันเถียน และในที่สุดพลังอวตารของตัวเขาก็ปรากฏตัวขึ้น…

หวืออ!

เสียงของพลังที่มารวมตัวกันได้ก้องกังวานไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์

สาวกจากทั้ง 3 สำนักต่างก็เบิกตากกว้าง ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปที่พลังอวตารที่สูงกว่า 150 ฟุต เป็นเพราะทุกคนอยู่ใกล้จนเกินไปทำให้ทุกคนจะต้องเงยคอมองไปที่ด้านบน ถึงแบบนั้นทุกคนก็ยังไม่อาจเห็นส่วนบนของร่างอวตารได้ ไม่นานนักทุกคนก็จ้องมองมายังดอกบัวสีทองขนาดใหญ่ที่กำลังส่องแสงเจิดจ้า ที่รอบดอกบัวมีกลีบดอกบัวทั้งเก้าที่ค่อยๆ หมุนรอบดอกบัวอย่างช้าๆ

ทุกคนที่เห็นแบบนั้นแทบที่จะลืมหายใจ

นี่คือ…พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ! พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบที่แท้จริง!

ร่างกายของทุกคนสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น ทุกๆ คนต่างก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก นี่คือเป้าหมายของทุกคนที่ใฝ่ฝันถึง นี่คือพลังอวตารที่ทุกคนอยากจะครอบครอง! ทั้งประกายแสงและกลีบดอกบัวต่างก็ดูยิ่งใหญ่ การที่จะสร้างพลังอวตารได้ใหญ่โตขนาดนี้จะต้องใช้พลังลมปราณมาแค่ไหนกัน?

ซูยู่ชูที่เห็นแบบนั้นได้แต่เดินโซเซไปที่ด้านหลัง นางกำลังหวั่นเกรงต่อพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบนั่นเอง