บทที่ 357 ใช้อำนาจปกป้องลูก (2)
ภายในกระท่อม เซวียนผิงโหวจัดการถอดเสื้อท่อนบนของเซียวลิ่วหลังอย่างคล่องแคล่ว แต่พอเขาจับกางเกงของเซียวลิ่วหลัง เซียวลิ่วหลังกลับกำเข็มขัดไว้แน่น เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
เซวียนผิงโหวขมวดคิ้วพลางบ่น “อะไรอีกเล่าคราวนี้”
“ท่านก็ออกไปสิ ข้าจัดการเองได้” เซียวลิ่วหลังเอง
เซวียนผิงโหวกวาดตามองเขาหัวจรดเท้า ก่อนจะเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “ล้มจนสะบักสะบอมถึงเพียงนี้ เจ้ายังมีแรงอยู่อีกหรือ”
หากยังมีแรงอยู่คงไม่ปล่อยให้เขาปลดเสื้อท่อนบนเช่นนี้หรอก ที่อีกฝ่ายกำเข็มขัดไว้แน่น อันจริงกำลังขัดขืนด้วยสายตามากกว่า
เซวียนผิงโหวเอ่ย “เจ้าเป็นลูกชายข้า เจ้าเป็นอย่างไรข้าก็เห็นมาหมดแล้ว ตอนเป็นเด็กเจ้าก็แก้ล่อนจ้อนวิ่งไปทั่วเรือน…” เขามองไปที่ขอบกางเกงของเซียวลิ่วหลัง “ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟัง ข้าไม่ใช่เพียงแค่เคยเห็น แต่ยังเคยใช้นิ้วดีดด้วยซ้ำ”
เซียวลิ่วหลังอยากจะให้ฟ้าผ่าอีกฝ่ายให้ตายไปเสีย “…!!”
ถังไม้และน้ำร้อนถูกเตรียมไว้เรียบร้อยร้อยแล้ว เซวียนผิงโหวไม่ได้เรียกใครเข้ามาให้กระท่อม เขาเป็นคนหิ้วถังไม้กับน้ำร้อนเข้ามาเอง
เซียวลิ่วหลังปลดเข็มขัดด้วยความหงุดหงิด เพราะว่าไร้เรี่ยวแรง ปลดอยู่นานสองนานก็ไม่สำเร็จเสียที เขาจึงลงแช่ในถังน้ำร้อนทั้งอย่างนั้น
สายฝนครั้งนี้ราวกับดับความร้อนของหลายวันที่ผ่านมาไปจนสิ้น พาความหนาวเย็นของต้นฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ร่างทั้งร่างเขาเซียวลิ่วหลังหนาวยะเยือก จนกระทั่งได้แช่น้ำร้อนถึงได้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
เซียวลิ่วหลังแช่น้ำอยู่ในกระท่อม ส่วนเซวียนผิงโหวนั้นก็ออกไปตักน้ำ ตั้งใจว่าจะอาบน้ำสักหน่อย แล้วค่อยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบนรถม้า
เขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่นัก จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าคนพวกนั้นพากันออกมาจากกระท่อมหลังใหญ่ เป็นไปได้ว่าบ่อตักน้ำอาจจะอยู่ที่นั่น
เขาเข้าไปในกระท่อมใช่เป็นฐานบัญชาการ
ทุกคนล้วนแต่อยู่ที่นั่น ท่านโหวกู้เองก็อยู่ อาหารมากมายที่ท่านโหวกู้นำมาก็อยู่ด้วยเช่นกัน กลิ่นหอมเย้ายวนของเนื้อและอาหารคละคลุ้งไปทั่ว
ทุกคนมองเซวียนผิงโหวอย่างตกตะลึง ทำอะไรถูก
เซวียนผิงโหวกวาดตามองดูก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่กำลังสังสรรค์กันอยู่สินะ คิดว่ากำลังถกเถียงงานสำคัญกันเสียงอีก ที่แท้ก็กำลังกินดื่มกันอย่างสำราญใจ
ซ่างซูกรมพระคลังเอ่ยถาม “ท่านโหวเซียวกินอะไรสักหน่อยหรือไม่ ล้วนแต่เป็นของที่ท่านโหวกู้ให้คนซื้อมาจากเมืองหลวงทั้งนั้น”
เซวียนผิงโหวมองท่านโหวกู้ที่อยู่ในกระท่อม ก่อนจะหรี่ตาลง
ทุกคนอยู่ที่นี่ มีเพียงลูกเขยของตัวเองอย่างเซียวลิ่วหลังเท่านั้นที่ไม่อยู่
เยี่ยม เยี่ยมจริงๆ
ท่านโหวกู้ไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเซวียนผิงโหวและเซียวลิ่วหลัง เขากำลังสงสัยอยู่เลยเชียวว่าเหตุใดเซวียนผิงโหวถึงได้เกลือกกลั้วกับคนจนเช่นนั้น ก่อนจะหันไปสบตาสายอันน่าสะพรึงกลัวของเซวียนผิงโหวที่มองมา
เขารู้สึกใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ อย่างประหลาด
สายฝนหยุดลงหลังจากตกมาได้ครึ่งค่อนคืน เช้ามืดของวันต่อมา แสงอาทิตย์รำไร ฟ้าใสไร้เมฆหมอก ไอดินกลิ่นหญ้าหลังฝนตกคละคลุ้งไปทั่ว
ภารกิจบรรเทาภัยพิบัติและทำไร่ไถนาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทุกคนเก็บสัมภาระของตัวเองลงห่อผ้า ตั้งใจว่าจะหาของกินสักหน่อยแล้วก็เดินทางกลับเมืองหลวง
ใครจะคาดคิดกันว่าพอพวกเขาผลักประตูไม้เข้ามา กลิ่นหอมของซาลาเปาไส้เนื้อปลุกความหิวจะปะทะเข้าโพรงจมูก ทุกคนต่างน้ำลายสอ พากันกรูเข้ามา
“วันนี้ทำซาลาเปาอย่างนั้นหรือ ชาวบ้านคงรู้ว่าพวกเราจะกลับแล้ว เลยทำซาลาเปาไส้เนื้อมาให้เป็นพิเศษหรือ”
“ซาลาเปาไส้เนื้อช่างหอมเสียจริง!”
พวกเขาเป็นขุนนางจากเมืองหลวง ไม่ต้องพูดถึงว่าแต่ละคนมาจากตระกูลใด เอาเป็นว่าย่อมต้องเคยกินซาลาเปาไส้เนื้อกันอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกินผักกินไม้กันมากี่วัน พอพวกเขาได้กินหอมของเนื้อ ก็เหมือนจะควบคุมตัวเองไม่อยู่
“ไม่นะ นี่ไม่ใช่กินหอมของซาลาเปาไส้เนื้อธรรมดา! มันร้านโจวจี้นี่นา! ซาลาเปาไส้เนื้อของร้านเขามีกลิ่นหอมของน้ำมันงา!”
“ไม่ผิดแน่! นี่คือซาลาเปาไส้เนื้อจากโจวจี้!”
ซาลาเปาไส้เนื้อของร้านโจวจี้นั้นเป็นของขึ้นชื่อของเมืองหลวง จะทำเพียงร้อยเข่งต่อวันเท่านั้น ขายหมดแล้วก็หมดเลย เพราะอย่างนั้นต่อให้เข้าแถวซื้อก็ใช่ว่าจะซื้อได้
กลิ่นหอมนั้นมาจากกระท่อมของอันจวิ้นอ๋อง
“คงไม่ใช่ว่าท่านโหวกู้ซื้อมาให้พวกเราหรอกนะ ท่านโหวกู้ช่างมีน้ำใจแท้! เมื่อคืนยังซื้อมาทั้งเป็ดย่างทั้งไก่กรอบ”
“เขาซื้ออันจวิ้นอ๋องกินต่างหาก! พวกเราก็แค่ได้ส่วนบุญจากอันจวิ้นอ๋องก็เท่านั้น!”
“ดูท่าวันนี้ก็คงได้ส่วนบุญจากอันจวิ้นอ๋องอีกแล้ว”
เหล่าขุนนางพูดคุยกันไปพลาง พากันเดินไปที่กระท่อมอันจวิ้นอ๋องในทันใด
ทว่าพอพวกเขาเดินมาถึงหน้าประตูก็ตาพร่าไปหมด ภายในกระท่อมไม่มีอันจวิ้นอ๋อง มีเพียงเซวียนผิงโหวและเซียวลิ่วหลัง…แล้วก็ชายหนุ่มในชุดทำพิธีกรรมสีดำสนิท
บนโต๊ะเบื้องหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยซาลาเปาเข่งใหญ่ นอกจากซาลาเปาแล้ว ยังมีไข่เยี่ยวม้าแกล้มลูกชิ้นแช่เหล้า มีแผ่นแป้งทอดโรยต้นหอมสอดไส้เนื้อลา ทั้งยังมีซี่โครงตุ๋นน้ำแดงที่หอมจนหมาข้างบ้านต้องร้องโหยหวน
ทั้งหมดล้วนแต่เป็นอาหารขึ้นชื่อของร้านโจวจี้
ทุกคนพากันกลืนน้ำลาย มื้อเช้าก็กินกันยิ่งใหญ่อลังการเพียงนี้เชียวหรือ
แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ อย่างไรสามคนก็ไม่มีทางกินหมด ซื้อมาเยอะขนาดนั้นคงจะแบ่งให้พวกเขาด้วยกระมัง
เป็นอย่างที่คิดไว้ เซียวลิ่วหลังเอ่ยปากเสียงเนิบ “ท่านเหมาหมดทั้งร้านเลยหรืออย่างไร”
ซาลาเปาเยอะขนาดนี้ใครจะกินหมดกัน
เซวียนผิงโหวเลิกคิ้วอมยิ้มเอ่ย “เช่นนั้นก็แบ่งให้คนอื่น ฉังจิ่ง”
ฉังจิ่งเดินเข้ามา ยกเข่งซาลาเปาบนโต๊ะออกไป เหลือไว้ในเซวียนผิงโหวและเซียวลิ่วหลังเพียงหนึ่งเข่ง
บรรดาขุนนางทั้งหลายมองฉังจิ่งยกเข่งซาลาเปาเดินมาทางพวกเขา ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก
หลังจากนั้น พวกเขาก็มองดูฉังจิ่งที่เดินผ่านเขาไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “…”
ทุกคน “…”
ฉังจิ่งแบ่งซาลาเปาให้กับชาวบ้านในหมู่บ้าน
เข่งสุดท้ายที่เหลือ ฉังจิ่งแบ่งให้หมาดำในหมู่บ้าน
ด้วยเหตุนี้เหล่าขุนนางที่เล็มผักดองและซาลาเปาธัญพืชมาแสนนานก็รู้ซึ้งแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าสู้หมาไม่ได้
หลังจากกินมื้อเช้า เซวียนผิงโหวก็เก็บข้าวของพร้อมกับตัวเซียวลิ่วหลังยัดใส่รถม้าของตัวเอง แม้เซียวลิ่วหลังจะขัดขืนอย่างรุนแรงแต่ก็ไร้ผล
ทุกคนต่างขึ้นรถมาที่ทางการจัดเตรียมไว้ ส่วนท่านโหวกู้ก็พบว่ารถม้าของตัวเองถูกถอดล้อออกไป
ท่านโหวกู้เดือดขึ้นมาในทันใด “ล้อรถของข้าหายไปไหน ฝีมือผู้ใดกัน!”
ทุกคนต่างนั่นประจำบนรถม้า ต่างฝ่ายต่างหันมองหน้ากัน
ฝีมือใครยังไม่ชัดเจนอีกหรือ
ในที่นี้ผู้ใดตำแหน่งสูงกว่าท่านล่ะ
เหล่าขุนนางไม่กล้าเอ่ยปาก แต่อันจวิ้นอ๋องกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้น “หากท่านโหวกู้ไม่รังเกียจ จะนั่งรถม้ากลับเมืองหลวงกับข้าก็ได้”
“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะขอรับ” ท่านโหวกู้ถอนหายใจยาว ก่อนขึ้นนั่งบนรถม้าของอันจวิ้นอ๋อง ลูกเขยคนนี้ช่างดีเสียจริง รู้จักยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในยามฉุกเฉินเช่นนี้…
ยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ได้ยินเสียงโครมดังขึ้น รถม้าของอันจวิ้นอ๋องก็ถูกถอดล้อออกไปเหมือนกัน
ไม่มีใครเห็นว่าเป็นฝีมือผู้ใด เพลาล้อทั้งสองของรถก็เหมือนกับทรยศตัวเอง ก่อนจะกลิ้งหลุดออกจากตัวรถ
ห้องโดยสารหนักอึ้งถล่มโครมกระแทกพื้น ศีรษะของท่านโหวกู้ชนเข้ากับหลังคารถ ก่อนจะปูดโนเป็นลูกในทันใด
เดิมทีซ่างซูกรมพระคลังเองก็ไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายนี้ แต่เพราะได้รับมอบหมายหน้าที่มาแล้ว จะไม่ดูแลอันจวิ้นอ๋องก็คงไม่ได้ แต่หากดูแลเพียงอันจวิ้นอ๋อง แล้วทอดทิ้งพ่อตาในอนาคตของเขาก็ใช่เรื่อง จึงจำใจต้องชวนทั้งสองคนขึ้นรถม้าของตัวเอง
เซวียนผิงโหวเดินนำฉังจิ่งออกมาจากกระท่อมของเซียวลิ่วหลัง ในมือของฉังจิ่งหิ้วสัมภาระของเซียวลิ่วหลังและวัตถุดิบยาที่เขาเก็บได้ในช่วงหลายวันนี้
ซ่างซูกรมพระคลังครุ่นคิด ก่อนจะประสานมือคำนับเซวียนผิงโหวพลางเอ่ย “ขอเซวียนผิงโหวได้โปรดเห็นแก่เหล่าฮูหยินเซียว จะลงมืออันใดก็ช่วยเมตตาด้วยเถิด”
เหล่าฮูหยินเซียวผู้เป็นแม่ของเซวียนผิงโหวกับแม่ของซ่างซูกรมพระคลังเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ว่ากันตามหลักแล้วพวกเขาทั้งสองเองก็ถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องด้วย
“ก็ได้” เซวียนผิงโหวรับคำ
ซ่างซูกรมพระคลังถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูท่าแล้วชื่อของเหล่าฮูหยินเซียวยังขลังอยู่ไม่น้อย
วินาทีต่อมา เซวียนผิงโหวก็ใช้เท้าถีบล้อรถม้าของซ่างซูกรมพระคลัง
เมื่อครู่เขาพูดว่าจะออมมือ แต่ไม่ได้พูดว่าหากใช้เท้าจะออมเท้าด้วย
หากว่ากันด้วยเรื่องกลั่นแกล้งคนแล้ว เซวียนผิงโหวนั้นคือมืออาชีพ
หลังจากเกิดเหตุขึ้น ก็ไม่มีใครกล้าเชิญท่านโหวกู้ขึ้นรถม้า ทุกคนพากันเผ่นแนบแทบไม่เห็นเงา
แม้อันจวิ้นอ๋องอยากจะช่วยเพียงใดก็จนปัญญา เขายกมือคำนับท่านโหวกู้ ก่อนจะสั่งให้อู่หยางไปตามหาล้อรถม้าประกอบเข้ารถม้า ก่อนจะกลับเมืองหลวงไปเพียงผู้เดียว
ท่านโหวกู้ยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่บนคันนา เบื้องหลังมีรถม้าที่ไร้ล้ออยู่หนึ่งคัน แม้แต่ม้าก็หนีเตลิดไปแล้ว…
เขาเหมือนถูกคนทั้งโลกทอดทิ้ง
ท่านโหวกู้สะอื้นอย่างเศร้าโศก “ฮือ”