บทที่ 433 คำเตือน

บทที่ 433 คำเตือน

ขณะที่คุณปู่ซูกำลังรู้สึกสับสน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า

ฟ่านชูฟางอ่านสีหน้าของคนออก พอเห็นสีหน้าคุณปู่ซูก็เข้าใจความสงสัยของเขา เมื่อคิดอีกแง่ เธอคิดว่ามันไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะคิดเช่นนั้น

ถ้าเป็นเธอ เธอคงจะคิดมากยิ่งกว่านี้

หญิงชรายิ้ม “พี่ซู พี่สะใภ้ ถึงสถานะทางบ้านของเราทั้งสองจะแตกต่างกัน แต่ฉันกับเหล่าต่งก็ยังปฏิบัติต่อพวกพี่อย่างจริงใจนะคะ พวกพี่ไม่ต้องรู้สึกกดดันไป”

สองสามีภรรยาซูไม่ได้พูดอะไรสักคำ

จะไม่ให้พวกเขารู้สึกกดดันได้ยังไงกัน?

ฟ้ากับเหวยังไม่กว้างพอที่จะอธิบายถึงช่องว่างระหว่างสองตระกูลเลย ชาวนาจากตะวันตกเฉียงเหนือทำอาชีพค้าขาย กับเจ้าหน้าที่ระดับสูง สถานะเช่นนี้ ใครจะไม่กดดันบ้างล่ะ

หลังจากนั้นไม่นาน คุณย่าซูก็เอ่ยขึ้น “ก็ทำตัวเหมือนก่อนหน้านี้นั่นแหละ ห่างกันเอาไว้คงจะดีกว่า!”

เป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจ

เพราะไม่กลัวว่าตัวเองจะคับข้องใจอยู่แล้ว กลัวก็แต่หลาน ๆ ที่บ้านมากกว่าที่จะโดนคนอื่นนินทาเอาได้

พวกเราได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยพึ่งพาคนอื่นเพื่อให้มีชีวิตที่ดีหรอกนะ

เดิมทีก็ไม่เคยคิดจะรับผิดชอบในสิ่งที่ตนไม่ได้รับผิดชอบอยู่แล้ว แต่วันนี้บอดีการ์ดตัวเล็กคนนั้นกลับกล้าพูดจาไร้สาระเสียได้

ไม่รู้ว่าในอนาคตคนอื่นจะพูดยังไงบ้าง!

“ผมจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้งครับ พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่!” ต่งหยวนจงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

เขาใช้คำว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่อย่างเป็นทางการเพื่อผลักตัวเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งน้องชายของซูชวนอย่างสมบูรณ์

“พี่ใหญ่ แม้พี่ไม่ได้เกี่ยวพันทางสายเลือดกับผม แต่ในใจของผม พี่ก็ไม่ต่างอะไรไปจากพี่ชายแท้ ๆ เลยสักนิด!”

เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยต่ออย่างเศร้าใจ “พ่อ แม่ พี่น้องทุกคนจากไปตั้งนานแล้ว และพี่เป็นญาติเพียงคนเดียวของผมที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ครับ!”

หัวใจของเขารู้สึกเสียใจจริง ๆ

เขาไม่ควรเมินเฉยแต่แรกเลย อย่างน้อยก็ควรให้พวกเขารู้สักหน่อยว่ามีสถานะแบบไหนในใจของเขา

แต่กลายเป็นว่ามันทำให้เสี่ยวหยวนพูดจาไร้สาระใส่อีกฝ่ายได้ เพราะเจ้าตัวคิดว่าบ้านซูไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับเขา

แล้วเสี่ยวหยวนจะไปรู้ได้ยังไงว่า ไม่ใช่บ้านซูไม่สำคัญ! เป็นเพราะตระกูลซูมีความสำคัญมากจนเขาไม่อยากเสี่ยง

กลัวว่าในตอนที่ตนตั้งหลักไม่มั่นคง บ้านซูจะเป็นอันตรายเพราะความสัมพันธ์ของพวกเรา

เขาอยู่ในตำแหน่งสูง ความสามารถในการต้านทานความเสี่ยงนั้นแข็งแกร่งอยู่แล้ว แต่เขาไม่สามารถปกป้องคนบ้านซูไปได้ตลอด

แต่จากสถานการณ์ที่เห็น กลายเป็นว่าพอพวกเขามาถึงเมืองหลวงกลับไม่ใช่คนที่จะฆ่าแกงกันได้ง่าย ๆ

แม้บางคนจะอยากลงมือใส่ แต่มันก็ไม่ง่ายแบบนั้น คนที่หนุนหลังบ้านซูแข็งแกร่งจริง ๆ!

อย่างน้อยความสัมพันธ์ที่มีก็เทียบไม่ได้กับตัวเขาที่พึ่งพาอำนาจทางการทหารแต่ตัวตนเป็นชาวนาหรอกนะ

เพราะแบบนี้แหละ ต่งหยวนจงจึงไม่ได้รอบคอบนัก

“ปู่ ย่า ถ้าพวกเขาพูดแบบนั้นก็ทำตามที่สมควรเถอะค่ะ!”

เสี่ยวเถียนเกลี้ยกล่อม

ที่ยินดีจะพูดเพราะตนเชื่อว่าสองสามีภรรยาต่งพูดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

บ้านเราไม่มีคนหนุนหลังในเมืองเท่าไรนัก ถ้ามีต่งหยวนจงดูแล หนทางข้างหน้าจะราบรื่นกว่ามาก

ไม่ใช่ว่าอยากพึ่งพาหรอกนะ แต่การมีอยู่ของเขาก็นับว่าเป็นร่มป้องกันคันใหญ่อยู่แล้ว ต่อให้ไม่ได้ทำอะไร คนทั่วไปก็ไม่กล้ายุ่มย่ามหรอก

ต่งหยวนจงยิ้มให้กับคำพูดของเด็กสาว ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“เสี่ยวเถียนพูดแล้วนะ แต่ว่าจากนี้ไปหลานไม่ต้องเรียกว่าปู่ต่งแล้ว เรียกว่าปู่รองก็พอแล้ว”

ว่าจบเขาก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงรีบถาม “พี่ซู พี่ถือว่าผมเป็นน้องรองได้ไหมครับ?”

ต่งหยวนจงจำได้ว่าซูชวนมีน้องชายคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าถ้าเขาเป็นน้องรองด้วยจะดีหรือเปล่า

ถ้าไม่ได้ก็คิดว่าให้เป็นน้องสามก็ยังดี

คุณปู่ซูพยักหน้าโดยไม่ลังเล

เขามีน้องชายชื่อซูซาน แต่หลายปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของพวกเราก็แบบที่เห็นนั่นละ อีกฝ่ายไม่เคยเห็นเขาเป็นพี่ชายเลย

อีกอย่าง มันก็แค่ความสัมพันธ์ของเขากับต่งหยวนจง ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น

“เสี่ยวเถียน งั้นจากนี้ไปหลานเรียนปู่ว่าปู่รองนะ เรียกย่าฟ่านว่าย่ารองแล้วกัน!” ต่งหยวนจงดีใจจนเนื้อเต้น

เหลียงซิ่วสับสน เธอไม่เข้าใจมาก ๆ

ต่งหยวนจงเป็นหัวหน้าใหญ่แท้ ๆ แล้วทำไมถึงการต้องผูกมิตรกับเราขนาดนี้ล่ะ?

แล้วเหลียงซิ่วจะรู้ได้ยังไงว่าต่งหยวนจงคิดจะพาลูก ๆ ของเธอกลับบ้านไปอีกด้วย

ตอนนี้นับเป็นญาติมิตรกันแล้ว ความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมขึ้น ในที่สุดสถานการณ์ของทั้งสองครอบครัวก็ผ่อนคลายลงอีกครั้งเมื่อสนทนากัน

ตอนนั้นเสี่ยวเถียนเพิ่งนึกอะไรออกก็เลยถามออกไป

“ปู่รองคะ บอดีการ์ดของปู่อยู่ด้วยกันมานานแค่ไหนแล้วคะ? ติดตามปู่ตอนมาถึงเมืองหลวงหรือตามมาตั้งแต่ที่ตะวันตกเฉียงเหนือคะ?”

ไม่รู้ว่าทำไมเสี่ยวเถียนถึงรู้สึกผิดปกติกับเสี่ยวหยวน

ต่งหยวนจงหุบยิ้ม “เขามาติดตามตอนปู่มาเมืองหลวงน่ะ หลานมีปัญหาอะไรหรือ?”

ถึงจะไม่รู้ว่าเสี่ยวเถียนคิดอะไร แต่เด็กคนนี้ไม่ได้ถามเฉย ๆ แน่นอน น่าจะคิดหรือสังเกตเห็นอะไรแน่ ๆ

เด็กสาวพยักหน้า “ตอนเขามาดูแลปู่ เขาเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เอ่อ… หนูหมายถึงบ้าบิ่นไหมคะ?”

เธอไม่รู้จะอธิบายยังไงดี จึงเอ่ยไปตรง ๆ ให้เขาเข้าใจแต่โดยดี

ต่งหยวนจงคิดไม่ถึง แต่พอเสี่ยวเถียนเอ่ยขึ้นมา เขาก็เริ่มคิดอย่างจริงจัง

ฟ่านชูฟางที่อยู่ข้าง ๆ ก็คิดเช่นกัน

เสี่ยวหยวนเพิ่งมาติดตามเราได้ไม่นาน แต่เพราะเป็นลูกของลูกน้องคนเก่า ตอนนั้นจึงไว้ใจเสี่ยวหยวนมาก

ตอนแรกเขาเป็นคนขี้อายและซื่อสัตย์มาก ทั้งยังขอคำแนะนำจากเหล่าต่งหรือไม่ก็เธอเสมอเลย

แต่ตอนนี้กลับมีความกล้าหาญขึ้นมา ต่อให้เชื่อฟังแต่บางเรื่องก็ยังตัดสินใจเพียงลำพัง

อีกอย่างดูเหมือนคนรอบตัวจะดูเป็นศัตรูกับเหล่าต่งเล็กน้อยด้วย แต่เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย พวกเราจึงไม่ได้สังเกตเห็นมากนัก

แต่พอเสี่ยวเถียนถามออกมา กลับคิดว่ามันแปลกไปพอสมควร

สองเดือนมานี้เสี่ยวหยวนเริ่มเปลี่ยนไปตอนไหนนะ? สองเดือนที่ผ่านมานี้เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่ทำไมเขาถึงดูเปลี่ยนไปขนาดนั้น

เหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แต่ทำไมเขาถึงดูเปลี่ยนไปขนาดนั้น?

ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ ต้องมีคนคอยพูดอะไรให้เขาฟังแน่ ๆ จนมันเปลี่ยนความคิดของเขาไป

วัยแบบเสี่ยวหยวนสามารถโดนชักจูงได้ง่ายมาก แต่ใครเล่าจะเป็นคนทำ แล้วต้องการทำไปเพื่ออะไร?

แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอคิดขึ้นมา ฟ่านชูฟางรู้สึกไม่ดีเลย

เธอยังนึกไปถึงความเป็นไปได้ที่แสนน่ากลัวด้วย ใบหน้าก็พลันซีดไปชั่วขณะ

เสี่ยวเถียนหยุดไว้เท่านั้น พูดมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

เธอเป็นแค่เด็ก บางเรื่องก็ไม่ควรพูดออกไป

แต่เธอเชื่อว่าผู้ที่สามารถไต่เต้าไปถึงตำแหน่งสูง ๆ ได้ ไม่ว่าจะต่งหยวนจงหรือฟานชู่ฟางก็ตาม พวกเขาไม่ใช่คนโง่ และจะพบกับความไม่สมเหตุสมผลในคำพูดของเธอเอง

เสี่ยวเถียนคาดเดาได้ถูกต้อง สองสามีภรรยาต่งไม่ใช่คนโง่ ไม่งั้นก็คงโดนจัดการไปแล้ว ไม่มีทางอยู่บนจุดนี้ได้หรอก

แต่ก่อนหน้านี้โดนความไว้วางใจที่มีให้คนรอบข้างบดบังจนมิด

ฟ่านชูฟางไม่ได้พูดอะไร แต่มองเสี่ยวเถียนด้วยความขอบคุณ

“ปู่รอง ย่ารอง ไว้กลับไปเตรียมยาให้นะคะ ให้ปู่รองกินก่อนนะ” เด็กสาวยิ้มแล้วพูดถึงอาการป่วย

สาเหตุของมันไม่ใช่เพราะการรักษาหรอกหรือ?

“ได้สิ อาการป่วยของปู่คงต้องพึ่งพาหลานแล้วล่ะ หมอส่วนตัวที่บ้านไร้ประโยชน์จริง ๆ!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเถียนก็เอ่ยต่อ “หนูคิดว่าหมอของปู่อาจจะไม่เห็นด้วยกับยาที่หนูเตรียมให้นะคะ”

เห็นได้จากเสี่ยวหยวนที่แย้งสุดชีวิตก่อนหน้านี้

ไม่รู้ว่าทำไม ถึงเธอจะไม่เคยพบกับหมออู๋ แต่ก็คิดว่าหมอคนนี้น่าจะมีเรื่องอะไรสักอย่าง

และการเปลี่ยนไปของเสี่ยวหยวนอาจเกี่ยวข้องกับหมอคนนี้ด้วย

แต่เสี่ยวเถียนไม่ได้เอ่ยออกไป

ต่งหยวนจงไม่ได้ใส่ใจ “เขารับใช้ฉัน และมันไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะมาตัดสินใจแทนด้วยซ้ำ!”

เด็กสาวยิ้ม “ปู่รองจะเอายาที่หนูทำไปให้หมออู๋ตรวจดูก่อนได้นะคะ หรือจะไปให้คนที่น่าไว้ใจได้ในโรงพยาบาลตรวจก็ได้ค่ะ ไว้ผลออกมาค่อยกินนะ ดีไหม?”

แต่ต่งหยวนจงไม่เข้าใจ เขาเอ่ยอย่างไมใส่ใจ “แต่หลานเป็นหลานสาวของพี่ใหญ่ ปู่จะไม่เชื่อได้ยังไง?”

อีกอย่างนะ ต่งหยวนจงยังอยากให้หลานมาเป็นหลานสาวด้วยเหมือนกัน!

ชายชราเพ่งมองเด็กหญิง ราวกับตนเป็นคุณยายหมาป่าที่รอลักพาตัวหนูน้อยหมวกแดง

“ควรตรวจสอบก่อนแล้วค่อยกินดีกว่านะคะ!” เธอยิ้มอย่างขมขื่น

อีกฝ่ายเป็นท่านผู้ยิ่งใหญ่นะ เธอแบกรับความรับผิดชอบไม่ไหวหรอก

แต่เขาก็ยังส่ายหัวอย่างแน่วแน่ “ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากล่ะ ถ้ากลัวว่ามันจะทำร้ายปู่ ปู่ไม่ให้หลานทำยาหรอกนะ ปู่เป็นทหาร จะใช้คนก็อย่าระแวง หากระแวงใครก็อย่าใช้เขา!”

เขามั่นใจมาก ๆ เพราะต่อให้คนบนโลกคิดทำร้ายต่อเขา แต่คนบ้านซูไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่นอน!

การจะทำร้ายกันมันต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว!

และคนบ้านซูก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้นหรอก