ตอนที่ 450 ใครใช้ให้เจ้าหน้าตาดี

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 450 ใครใช้ให้เจ้าหน้าตาดี

ลุงหวังเป็นเกษตรกรมาทั้งชีวิต เขารู้จักพืชผลในไร่ดีเหมือนรู้จักบุตรของตน เมล็ดพันธุ์ที่ปลูกในสภาพอากาศแห้งแล้งเช่นนี้ เดิมทีเขาคิดจะเกลี้ยกล่อมนายจ้าง แต่พอคิดว่าตนเป็นแค่แรงงานชั่วคราวก็กลัวว่าคำพูดประโยคนั้นจะทำให้นายจ้างหงุดหงิดจนพาลทำให้คนทั้งครอบครัวสูญเสียงานดี ๆ แบบนี้ไป

โชคดีที่สวรรค์คุ้มครองคนดี พอได้ฝนห่านี้แล้วข้าวโพดในที่ดินหนึ่งร้อยหมู่ก็ต้องรอดแน่นอน

แต่หลินเว่ยเว่ยไม่เคยกังวลอันใด เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดชุดนี้ นางเพาะเลี้ยงมันขึ้นมาในห้วงมิติน้ำพุวิญญาณอย่างระมัดระวัง มันจึงให้ผลผลิตสูง ทนแล้งและยังไม่มีโรค ทว่าหลังจากฝนห่านี้ตกลงมาแล้ว ผลผลิตของข้าวโพดก็น่าจะสูงกว่าเดิมไปอีก ไอหยา ไม่กลัวโดนจับผิดแล้ว เพราะแม้แต่สวรรค์ก็ยังเข้าข้างนาง…นี่ถือเป็นคุณสมบัติพิเศษของตัวเอกซึ่งทะลุมิติมาหรือเปล่า ?

พอหันหลังกลับไปก็เห็นบุรุษถือร่มกระดาษสีฟ้าครามกำลังเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม อาภรณ์สีนวลจันทร์ เส้นผมพลิ้วไหวตามสายลม ใบหน้างดงามจนแยกไม่ออกว่าเป็นสตรีหรือบุรุษ รวมกับรัศมีที่เปล่งประกายเหมือนเทพเซียนแล้วท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาก็เหมือนงานจิตรกรรมสีหมึกที่เป็นหนึ่งไม่มีสองอีกแล้วในใต้หล้า

“เช็ดน้ำลายบ้าง ! ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู แท้จริงคนที่นางเห็นก็คือว่าที่สามี เจียงโม่หานเดินเข้ามาอยู่ข้างนางและตอนนี้ก็กำลังมองนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม !

หลังได้ยินแบบนั้นแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็เผลอยกมือขึ้นเช็ดมุมปาก แต่กลับพบว่าบนมือไม่มีน้ำลายติดมาแต่อย่างใด นางจึงย่นจมูกแล้วมุ่ยปากพูดว่า “แกล้งข้าอีกแล้ว บัณฑิตน้อย เจ้านิสัยเสียแล้วนะ รู้ตัวหรือเปล่า ! แต่ก็ช่างเถิด คนรูปงามย่อมควรค่าแก่การให้อภัย ข้าจะไม่ถือสาเจ้าหรอก ใครใช้ให้เจ้าหน้าตาดีกันล่ะ ! คิกคิกคิก สามีของใครหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ ! ที่แท้ก็เป็นของข้าเอง…”

หางตาของเจียงโม่หานกระตุก…’ชม’ กันอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้เลยหรือ คงมีแค่เด็กน้อยที่กล้าพูด เขาเริ่มชินแล้วเช่นกัน จึงตัดสินใจไม่ต่อปากต่อคำกับเด็กบ้าคนนี้ เขามองไปที่พืชผลในไร่ ก่อนจะพูดว่า “ที่ดินผืนนี้ดูแลได้ไม่เลว…”

“ถูกต้อง ! ” หลินเว่ยเว่ยหันไปมองลุงหวัง “ได้ยินว่าครอบครัวของพวกท่านคอยดูแลไร่มาโดยตลอดหรือ ? ”

ก่อนหน้านี้ได้ตกลงกันเรียบร้อยว่าจะจ้างเกษตรกรเหล่านี้เป็นแรงงานชั่วคราวแล้วจ่ายค่าแรงให้ทุกวัน แต่ใครจะคาดคิดว่าตอนเสร็จงานและไม่ได้จ่ายเงินจ้างแล้วคนพวกนี้ก็ยังคอยช่วยดูแลไร่โดยไม่คิดเงิน ไม่พูดไม่ได้หรอกว่าชาวบ้านสมัยโบราณเหล่านี้เป็นคนซื่อสัตย์จริง ๆ !

ลุงหวังรีบพูด “ไม่ใช่บ้านพวกข้าเท่านั้นหรอกขอรับ แต่ยังมีบ้านของหลี่ต้าและซ่งเหนียงจื่อสองแม่ลูกอีกด้วย พวกเราว่างอยู่แล้วไม่มีอะไรทำ จึงมาเดินในไร่วันละรอบ พอเห็นว่ามีหญ้าก็แค่ถอนออก…ไร่แห่งนี้ปลูกเรียบร้อยหมดแล้วจึงไม่มีงานอะไรให้ทำมากนัก…”

แม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็เป็นที่ดินกว่า 100 หมู่ ต่อให้เดินวันละรอบก็ต้องเสียพลังงานไม่น้อย หลินเว่ยเว่ยพยักหน้าแล้วหันไปมองอีกสองครอบครัวที่ลุงหวังเอ่ยถึง “ลุงหวัง พวกเราอยู่ไกลและพืชไร่เหล่านี้จำเป็นต้องจ้างคนดูแล ถ้าอย่างไร…พวกท่านสามครอบครัวก็มาเป็นลูกจ้างประจำให้ข้าเถิด ! ”

“ลูกจ้างประจำ ? ถ้าเช่นนั้นค่าจ้าง…” บุตรชายคนโตของลุงหวังก็รู้ว่านายจ้างเป็นคนใจกว้าง ทว่าก็ยังกังวลถึงรายได้ของครอบครัว เนื่องจากพวกตนมีครอบครัวใหญ่ต้องดูแล !

หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ที่จริงงานลูกจ้างประจำนี้ก็เหมือนดูแลที่นาของบ้านตัวเอง พอถึงช่วงฤดูกาลก็ดูแลไร่นา พอว่างงานก็เป็นนายตัวเอง ส่วนเรื่องค่าจ้างก็สามารถจ่ายได้สองแบบ แบบแรกคือจ้างตามค่าแรง หากเป็นแรงงานผู้ใหญ่ก็ได้ปีละ 2 ตำลึงเงิน”

พอครอบครัวอื่นได้ยินว่าจ่ายตามค่าแรงงานผู้ใหญ่ตกปีละ 2 ตำลึงเงิน พวกเขาก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาทันที

ต้องทราบก่อนว่าในปีที่ประสบภัยแล้งแบบนี้ การหางานได้ถือเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าอะไร บางคนไปอยู่ที่ท่าเรือตลอดทั้งวันก็ยังไม่ได้งานสักอย่าง แม้จะรอจนได้งานก็ต้องทำงานหนักทั้งวันและได้เงินค่าแรงวันละ 2-3 อีแปะยังถือว่าดีมากแล้ว พวกเขาทำงานในไร่ในนาจนคุ้นชินจึงตระหนักดีว่าปีหนึ่งไม่รู้จะเกิดภัยพิบัติอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นเงิน 2 ตำลึงสามารถเลี้ยงคนได้ทั้งครอบครัว !

หวังเถี่ยจู้บุตรชายคนโตของลุงหวังก็หวั่นไหวเช่นกัน แต่เขายังถามต่อ “นายหญิงไม่ได้บอกว่ามีวิธีจ่ายค่าแรงได้สองแบบหรือขอรับ ? แล้วอีกรูปแบบล่ะขอรับ ? ”

หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “อีกแบบน่ะหรือ ! ก็คือจ่ายเป็นรายได้หนึ่งในสิบส่วนต่อที่ดินหนึ่งหมู่ พูดง่าย ๆ แบบนี้ก็แล้วกัน ลุงหวัง บ้านท่านมีคนมาก ดูแลที่ดินได้ 20 หมู่ หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว รายได้หนึ่งในสิบส่วนของที่ดิน 20 หมู่นี้ก็จะเป็นค่าแรงของพวกท่าน…”

“อย่างนั้นหรือขอรับ ! ” หวังเถี่ยจู้เริ่มลังเล “นายหญิง ขอให้ข้ากับท่านพ่อและพวกน้อง ๆ ได้ปรึกษากันก่อน…”

หลี่ต้ารีบเข้ามาพูด “ยังต้องปรึกษาอะไรกันอีก ? ต้องเลือกแบบแรกอยู่แล้ว ! เจ้าลองคิดดูนะ ถ้าเอารูปแบบหลังแล้วเจอภัยแล้งอย่างสองปีที่ผ่านมาซึ่งเก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้เลย พวกเราทำงานกันทั้งปีแต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย ผิดกับแบบแรกที่อย่างน้อยก็จะได้เงิน 2 ตำลึง รับประกันได้ว่าคนในครอบครัวได้กินอิ่มท้อง”

ลุงหวังเป็นคนจิตใจดี เขาพูดด้วยความลังเล “แต่ว่า…พวกนายจ้างจะไม่เสียเปรียบเอาหรือ ? ” หากเป็นเช่นนั้นแล้วที่ดินกว่า 100 หมู่จะไม่ใช่แค่เงินค่าเมล็ดพันธุ์หลุดลอยไป แต่ยังต้องจ่ายเงินค่าจ้างให้พวกเราเยอะขนาดนี้อีก

หวังเถี่ยฉุยบุตรชายคนรองก็กลัวบิดาจะไม่เลือกแบบแรกจึงรีบพูดว่า “ท่านพ่อขอรับ นายจ้างซื้อที่ดิน 100 หมู่ติดกันได้ ยังจะขาดเงินค่าแรงจำนวนแค่นั้นอีกหรือ หลี่ต้าพูดถูก อย่างไรก็เลือกแบบแรกเถิดขอรับ ! ”

ช่วงหลายวันมานี้ลุงหวังได้สัมผัสกับน้ำใจที่นายท่านและนายหญิงมีให้ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงการที่ทั้งสองให้เงินค่าแรงสูง เพราะวันเทศกาลตวนอู่ก็ยังเอาธัญพืชหยาบ เนื้อและขนมจ้างมาให้ เขาจึงทนเห็นนายจ้างเป็นฝ่ายเสียเปรียบไม่ได้ อีกอย่างคือแม้จะเจอภัยแล้งจริง ๆ ด้วยนิสัยของนายจ้างแล้วไม่มีทางทนเห็นพวกตนต้องอดตายแน่นอน…

หลังครุ่นคิดแล้ว เขาก็ต่อต้านเสียงคัดค้านของครอบครัว ท้ายที่สุดก็เลือกรับค่าแรงด้วยรูปแบบที่สอง ส่วนอีกสองบ้านที่เหลือก็หันไปมองหวังเถี่ยจู้และหวังเถี่ยฉุยสองพี่น้องด้วยความเห็นใจ จากนั้นก็ทำสัญญารับค่าแรงแบบแรกโดยไม่ลังเล

ขณะมองบิดาประทับลอยนิ้วมือลงไป แม้หวังเถี่ยฉุยจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี…ใครใช้ให้ท่านพ่อเป็นคนตัดสินใจเรื่องของครอบครัวกันเล่า ?

ที่ดิน 100 หมู่ บ้านสกุลหวังมีคนเยอะจึงเหมาทำทั้งหมด 30 หมู่ ครอบครัวหลี่ต้าทำ 20 หมู่ ส่วนซ่งเหนียงจื่อสองแม่ลูกทำ 10 หมู่ ด้านอีก 40 หมู่ที่เหลือ หลังจากสอบถามลุงหวังแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ยกให้อีกสองครอบครัวดูแล แม้ว่าสองครอบครัวนี้ไม่ได้เสนอตัวดูแลไร่ตั้งแต่แรก แต่งานทำไร่ทำนาก็ถือว่าเป็นคนมีประสบการณ์

หลินเว่ยเว่ยพูดแบบไม่น่าฟังไว้ก่อน “ที่ดินทั้งหมดยกให้พวกท่าน 5 ครอบครัวดูแล หากมีคนแอบอู้งาน ดูแลได้ไม่ดี ผลผลิตได้น้อยกว่าครอบครัวอื่นจนเกินไป ค่าแรงจะโดนหักจนเหลือแค่ครึ่งเดียวและปีหน้าจะไม่จ้างต่อ ! แน่นอนว่าบ้านใครที่ดูแลได้ดีก็ต้องมีรางวัลให้แน่นอน ! ”

ท้ายที่สุดแล้วนางก็ให้ลุงหวังเป็นหัวหน้าคนงานชั่วคราว เผื่อว่ามีเรื่องใดจะได้รายงานให้นางและบัณฑิตหนุ่มทราบอย่างทันท่วงที…

ขณะมองหลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานเดินจากไป หลี่ต้าก็เข้ามาแสดงความยินดีกับลุงหวัง “ลุงหวัง นี่ถือว่าท่านเป็นหัวหน้าคนงานแล้วใช่หรือไม่ ? อย่างไรก็เป็นผู้ดูแลคนหนึ่ง ดังนั้นต่อไปนี้ข้าก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับท่านลุงหวังด้วย ! ”

ลุงหวังหันไปถลึงตาใส่เขา “เจ้ามันฉลาดพูด ! เรื่องอื่นข้าจะไม่พูดมาก แต่ทางนายจ้างเป็นคนจิตใจดี เราต้องช่วยพวกเขาดูแลไร่ให้ดี ไม่อย่างนั้นหากพลาดโอกาสครั้งนี้แล้ว ต่อไปก็จะหางานที่ให้ค่าแรงดีและนายจ้างใจกว้างขนาดนี้ไม่เจออีกแน่ ! ”