ตอนที่ 449 ไม่ได้เก็บเรื่องของเจ้ามาใส่ใจด้วยซ้ำ
“ได้สิ เหตุใดท่านจะไม่เข้าตา ? พี่ใหญ่ของบ้านเราก็เรียนทอผ้ามาจากท่าน หากท่านไม่ผ่านแล้วใครจะผ่านอีกเล่า ? ”
ย่าหลิวมีผมขาวหมดแล้ว หลังค่อมหน่อย ๆ แต่ในความเป็นจริงอายุยังไม่ถึง 50 ปีด้วยซ้ำ หากใช้ภาษาในยุคอนาคตก็คืออยู่ในช่วงที่อายุมากขึ้นและยังแข็งแรงเหมือนเดิม เพราะสามีของนางถือเป็นคนมีอายุสั้นในหมู่บ้าน กอปรกับมีบุตรชายที่ไม่เอาไหน นางจึงต้องทำงานหนักมานานหลายปีจนดูแก่กว่าวัยไปประมาณ 10 ปีเลยทีเดียว
แต่ตอนนี้บุตรชายได้เรื่องได้ราวแล้ว นอกจากงานทอผ้า นางยังตามหญิงชราในหมู่บ้านออกไปเก็บผลไม้ป่าเพื่อหาเงินเข้าบ้านได้อีกเล็ก ๆ น้อย ๆ สุขภาพจิตถือว่าดีกว่าสมัยก่อนมาก ช่างฝีมือที่มีความชำนาญเช่นนาง หากไม่รับไว้ก็โง่ !
ย่าหลิวดีใจจนยิ้มยิงฟัน “ถ้าเช่นนั้น…เจ้าคิดว่าข้าควรมาเริ่มงานเมื่อใด ? ”
หลินเว่ยเว่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “รอให้เครื่องทอผ้าที่เราสั่งทำเพิ่มมาส่ง แล้วท่านก็เริ่มงานได้เลย…”
หลังจากพี่สาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มานานแล้วได้ยินอย่างนั้นก็รีบถามเบา ๆ “น้องเว่ยเว่ย เจ้าพอจะรับข้าเข้าทำงานได้หรือเปล่า…”
หลินเว่ยเว่ยหันไปมองพี่สาวแปลกหน้าผู้นั้น หลังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็นึกออก หญิงคนนี้คือสะใภ้ใหม่ที่เพิ่งแต่งเข้ามาได้ไม่ถึง 2 เดือน ตอนนี้เด็กหนุ่มในหมู่บ้านฉือหลี่โกวไม่ต้องกังวลเรื่องหาภรรยาแล้ว หนุ่มโสดที่เคยมีฐานะยากจนล้วนตกเป็นที่แย่งชิงของสตรีนอกหมู่บ้านกันหมด
เหมือนพี่สาวคนนี้จะมีชื่อว่าชุนหง เป็นคนจากหมู่บ้านต้าฝางจวง นางแต่งกับครอบครัวที่มีพี่น้องหกคนในฉือหลี่โกว หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนก็คงไม่มีใครอยากแต่งเข้ามาหรอก ทว่าในเวลานี้พี่น้องมากก็แปลว่ามีแรงงานมาก ในฉือหลี่โกวขอแค่ไม่เกียจคร้านและซื่อสัตย์ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะยากจน !
ในบรรดาพี่น้องสกุลหลิวนี้ บุตรชายคนโต คนรองและคนที่สามล้วนแต่งภรรยาเข้าบ้านในปีนี้ทั้งหมด ส่วนพี่สาวคนนี้ก็คือภรรยาของหลิวซานเอ๋อร์นั่นเอง
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้าให้อีกฝ่ายเบา ๆ “ท่านนำผ้าทอที่เคยทอมาไว้ให้เรา หลังจากเราพิจารณากันแล้วก็จะประกาศผลให้ทุกคนทราบอย่างรวดเร็ว”
พี่สาวตัวน้อยวิ่งหน้าแดงกลับไปหยิบผ้าทอผืนดีที่สุดออกมาแล้วทำเรื่องสมัครเหมือนคนอื่น หลังจากหลินจื่อเหยียนใช้ดินสอแท่งถ่านเขียนชื่อของชุนหงลงบนผ้าจาง ๆ แล้วพี่สาวคนนั้นก็หันหลังและเดินจากไป
ต่อจากนั้นเด็กสาวน้อยใหญ่ในหมู่บ้านก็มาสมัครกันอย่างเนืองแน่น หลินจื่อเหยียนจึงทำงานจนเหงื่อตก
วังม่านเหนียงกำผ้าชิ้นหนึ่งไว้ในมือแล้วเดินตรงมาที่ลานบ้านด้วยความเชื่องช้า จากนั้นก็ก้มหน้าบอกชื่อตัวเองเสียวแผ่ว “นี่คือผลงานของข้า วังม่านเหนียง…”
ในเวลานี้นางรู้สึกเครียดมากจึงก้มหน้าจนแทบจะติดหน้าอกเพราะกลัวหลินเว่ยเว่ยที่อยู่ด้านข้างจะพูดอะไรที่เหมือนไม่อยากยอมรับผ้าของนางไว้ เมื่อผ้าที่ถูกเขียนชื่อลงไปและถูกนำไปกองรวมกับผ้าที่อยู่ด้านข้างแล้วนางจึงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
วังม่านเหนียงยังรู้สึกกังวลอยู่ แม้จะส่งผลงานไปแล้ว แต่ถ้าหลินเว่ยเว่ยจงใจให้คะแนนผ้าของนางต่ำ นางก็จะไม่ผ่านคัดเลือกอยู่ดี…
หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง นางก็เดินผ่านหลินเว่ยเว่ยแล้วค่อย ๆ เข้าไปหาบุตรสาวคนโตตระกูลหลินพลางถามเบา ๆ ว่า “การตัดสินเรื่องผลงานนี้ หลินเว่ยเว่ยเป็นผู้ตัดสินหรือเปล่า ? ”
พอพี่สาวคนโตได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองนางแล้วก็เข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุได้ในทันทีจึงพูดว่า “ไม่ใช่หรอก นางไม่เข้าใจเกี่ยวกับการปั่นด้ายหรือการทอผ้าแม้แต่น้อย ให้นางตัดสินก็ได้วุ่นวายกันพอดี ? ผ้าเหล่านี้ พอตกเย็นแล้วข้า น้าเฝิงแล้วก็ย่าหลิวจะช่วยกันตัดสิน พรุ่งนี้ก็รู้ผลแล้ว เจ้าไปรอให้สบายใจอยู่ที่บ้านเถิด ! ”
วังม่านเหนียงยังพูดติดขัด “เอ่อ…โรงทอผ้าของเจ้าแห่งนี้ หลินเว่ยเว่ยช่วยสร้างขึ้นมา ถ้านางบอกว่าไม่ให้เลือกใคร เจ้าจะฟังนางหรือเปล่า ? ”
พี่สาวคนโตแค่นเสียงหัวเราะ “เจ้าคิดว่าข้าเชื่อฟังที่นางบอกหรือไร ? นอกจากนี้โรงทอผ้าของข้าก็ให้ค่าแรงตั้งเยอะ ดังนั้นต้องเลือกคนที่มีฝีมือดีอยู่แล้ว วางใจได้ ข้าจะต้องยุติธรรมแน่นอน ฝีมือทอผ้าของม่านเหนียงนี้ ข้ารู้อยู่แล้ว เจ้ากลับไปรอฟังข่าวดีที่บ้านเถิด”
อันที่จริงอยากจะพูดว่า วังม่านเหนียง เจ้าคิดมากไปแล้ว น้องรองไม่ได้เก็บเรื่องของเจ้ามาใส่ใจด้วยซ้ำ !
ตกเย็น หลังจากผ่านการถกเถียงจากทั้งสามคนแล้ว ท้ายที่สุดก็เลือกช่างทอผ้าฝีมือดีที่สุดออกมา 3 คน หนึ่งในนั้นคือพี่สาวที่ชื่อชุนหง วังม่านเหนียงก็ผ่านการคัดเลือกและก็ยังมีแม่ของเสี่ยวหนี่ชิวอีกคน…เสี่ยวหนี่ชิวคือสหายของเจ้าหนูน้อย
แม่ของเสี่ยวหนี่ชิวเป็นสะใภ้ที่แม่สามีไม่ชอบหน้ามากที่สุด แต่ละวันต้องทำงานหนักแล้วยังไม่ได้รับสิ่งดี ๆ จากแม่สามี ไม่โดนตีก็โดนด่า แต่คาดไม่ถึงว่าฝีมือทอผ้าของนางไม่แพ้ย่าหลิวเลย
ตอนแม่สามีรู้ว่านางได้รับคัดเลือกจากสกุลหลิน ใบหน้าที่แห้งเหี่ยวก็มีบุปผาผลิบานขึ้นมาทันทีและเอ่ยปากพูดขึ้นว่าต่อไปนี้งานในบ้านแม่ของเสี่ยวหนี่ชิวไม่ต้องทำแล้ว อีกทั้งยังเอาขนมที่แอบซ่อนไว้ออกมาให้เสี่ยวหนี่ชิวกิน…เมื่อก่อนเสี่ยวหนี่ชิวมีสิทธิ์ได้แค่มองเท่านั้น
หลังจากหาคนทอผ้าครบสามคนได้แล้ว ย่าหลิวก็ได้รับหน้าที่ช่วยชี้แนะและตรวจงาน หากย่าหลิวเต็มใจจะทอผ้าก็รับเงินค่าจ้างไปตามราคาที่ตกลงกันไว้ นอกจากนี้ยังรับเงินเดือนอีกส่วนไปด้วย
เพื่อให้เหมาะสมกับเงินเดือนที่ได้รับ ย่าหลิวจึงไม่หวงวิชา นางช่วยชี้แนะช่างทอผ้าอย่างละเอียด ผ่านไปไม่นาน โรงทอผ้าของบ้านสกุลหลินก็เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว…
หนอนไหมรุ่นที่สองถูกย้ายไปยังต้นโอ๊กอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้ต้นโอ๊กของเนินเขาด้านหลังเติบโตและขยายกว่าเดิมไม่น้อย นี่เป็นผลงานของหลินเว่ยเว่ยคนเดียวล้วน ๆ…ทุกครั้งที่นางขึ้นเขาแล้วเจอต้นโอ๊กก็จะไม่ปล่อยไปแม้แต่ต้นเดียว ทุกต้นถูกย้ายมาที่เนินเขาหลังบ้านจนหมด ทำให้มันกลายเป็นป่าโอ๊กขนาดย่อม
เพราะฤทธิ์ของน้ำพุวิญญาณจึงทำให้ต้นโอ๊กบ้านสกุลหลินดูแข็งแรงเป็นพิเศษ มีโรคน้อยและเติบโตได้เร็วมาก บ้านอื่นเลี้ยงหนอนไหมได้แค่ 2 รุ่น แต่ของสกุลหลินสามารถเลี้ยงติดต่อกันได้อย่างน่าประหลาด แม้จะเลี้ยงไป 3 รุ่นแล้วก็ยังมีอาหารเหลือเฟือ
ขอบเขตของการเลี้ยงหนอนไหมก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตอนแรกสหายสนิททั้งสองคนของพี่สาวคนโตช่วยกันดูแลไหว ทว่าต่อมาเริ่มดูแลกันไม่ไหวแล้วจริง ๆ จึงต้องจ้างคนเพิ่มอีก 2 คน
ปลายเดือนห้า สายฝนที่คนภาคเหนือรอคอยก็มาถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว ฝนห่านี้ตกติดต่อกันถึง 10 วัน ในที่สุดดินที่เคยแตกระแหงก็กลับมาชุ่มฉ่ำอีกครั้ง แม่น้ำลำคลองและทะเลสาบที่เคยแห้งผากก็กลับมามีน้ำเต็มเปี่ยม ผืนดินที่แห้งแล้งก็เหมือนมีชีวิตขึ้นมาภายในชั่วข้ามคืน
มีราษฎรแดนเหนือบางคนออกไปเดินนอกบ้านพลางหัวเราะท่ามกลางสายฝน มีบางคนดีใจจนกระโดดโลดเต้น บางคนคุกเข่ากับพื้นและก้มจุมพิตผืนดินด้วยความตื้นตัน…ในที่สุดภัยแล้งที่ประสบติดต่อกันถึง 2 ปีก็ผ่านไป ราษฎรกลับมามีความหวังจากสายฝนห่านี้ !
หลังสายฝนหยุดลงเม็ดแล้ว เกษตรกรก็เริ่มทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สายเกินกว่าจะปลูกพืชผลแล้ว แต่สามารถปลูกพวกมันถู่โต้วหรือมันเทศที่ใช้ระยะเวลาเจริญเติบโตไม่นาน นอกจากนี้ยังเป็นผักที่จัดเก็บง่าย แม้งานยุ่งและเหนื่อยมาก แต่บนใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม…
หลินเว่ยเว่ยใส่เสื้อคลุม สวมหมวกฟางแล้วมายังที่ดิน 100 หมู่ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ผืนนั้น เกษตรกรผู้เช่าทั้งหลายมีใบหน้าเปื้อนยิ้มขณะยืนอยู่ด้านหลังนาง ฝนที่ตกปรอย ๆ ทำให้เสื้อผ้าของพวกเขาเปียกชื้น แต่ทุกคนทำเหมือนไม่รู้สึกถึงมันเลย
ขณะมองต้นข้าวโพดที่เริ่มงอกเงยขึ้นจากผืนดิน ใบหน้าของลุงหวังก็กลายเป็นเหมือนดอกเบญจมาศ ปากก็ยังอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา “สวรรค์เมตตา ฝนห่านี้ตกมาได้ทันเวลาจริง ๆ เมล็ดพันธุ์ที่หว่านลงไปถือว่าไม่สูญเปล่าแล้ว…”