บทที่ 488 เพื่อนร่วมชั้น เจียงผิง

ตอนเย็น

เด็กวัยรุ่นสองคนยืนอยู่ที่สี่แยก

“เจ้าเอาเงินไปเถอะ พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ต้องเกรงใจกันหรอก” เด็กชายคนหนึ่งยัดเงินสองก้อนใส่มือของเด็กชายอีกคน เขาเป็นเด็กหน้าตาดี มีดวงตาดอกท้อคู่หนึ่ง ต่อไปภายหน้าเว่ยจื่ออี้จะต้องเป็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างแน่นอน

เด็กหนุ่มที่โดนยัดเยียดเงินให้มีรูปร่างผอมสูงกว่ามาก หน้าตาเขาดูธรรมดา ใส่เสื้อผ้าพื้นๆ ดูท่าทางอ่อนโยนเป็นบัณฑิต

เด็กร่างสูงคนนี้ชื่อเจียงผิง เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเว่ยจื่ออี้ ทั้งสองคนมีงานอดิเรกเหมือนๆ กัน พวกเขาจึงเป็นเพื่อนสนิทกันมาก

ครอบครัวของเจียงผิงยากไร้ เขาไม่ได้มาจากเมืองหลวง เขาไม่อยากจะเป็นคนธรรมดาจึงได้ออกจากบ้านเกิดและเดินทางมาเรียนหนังสือยังเมืองหลวง เจียงผิงอาศัยเช่าบ้านซอมซ่ออยู่ เขาใช้เงินไปกับค่าอาหาร เสื้อผ้า บ้านเช่า ค่าเดินทางและค่าเล่าเรียน เว่ยจื่ออี้รู้ว่าเขาลำบากจึงให้ความช่วยเหลือเขาอยู่บ่อยครั้ง เจียงผิงลังเลอยู่ชั่วครู่จึงได้รับเงินมา

“จื่ออี้ ข้าจะจ่ายคืนให้หลังจากที่พี่ชายข้าส่งเงินมาให้ครั้งหน้านะ” เจียงผิงพูดอย่างเกรงใจ

“ได้ ข้าจะไปแล้ว เจอกันพรุ่งนี้”

ทั้งสองคนโค้งคำนับอำลากัน จากนั้นจึงเดินแยกจากกันไป

เจียงผิงหันหลังกลับมา ใบหน้าของเขาเย็นชา ในมือกำเหรียญเงินเอาไว้ แววตาเขาเต็มไปด้วยความอดสู

บิดาของเว่ยจื่ออี้เป็นบุตรชายของท่านโหวซึ่งเป็นข้าราชบริพารของราชสำนัก เขาเป็นคุณชายที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นดี ในขณะที่ตัวเขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน มีความแตกต่างจากสถานะกันมาก

เว่ยจื่ออี้พูดว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกัน แต่ความเป็นจริงยังดูถูกเขา ให้เงินเขาราวกับให้ทาน

สักวันข้าจะต้องเป็นเช่นนายให้ได้ !

ย่อมดีกว่าเป็นยอมรับทานจากเขา!

เว่ยจื่ออี้กลับบ้าน เมื่อเข้าไปเห็นมารดาและน้องสาวเขาพูดทักขึ้นว่า

“ท่านแม่ น้องสาว”

เขาเดินตรงเข้าไปหา

“กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ?”

“พวกเรากำลังรอพี่รองกลับบ้าน” ซานเป่าพูด

ถังหลี่มองไปที่เว่ยจื่ออี้ด้วยรอยยิ้ม นางไม่อยู่บ้านมาเกือบสองเดือนแล้ว เมื่อกลับมาก็ไม่อยากทำอะไรอีกนอกจากจะใช้เวลาอยู่กับลูกให้มากขึ้น

“พี่รอง พรุ่งนี้ข้าจะไปที่ค่ายทหาร พี่ต้องดูหน้าข้าเอาไว้ให้ชัดๆ”

ซานเป่าเชิดหน้าขึ้น เว่ยจื่ออี้เอามือเกาจมูกของนาง หยอกล้อว่า

“เจ้ามีสองตาหนึ่งจมูก ไม่เหมือนผู้อื่นตรงไหน?”

ซานเป่าเอามือมาปิดใบหน้าเล็กๆ ของตนเอง

“พี่รองนิสัยไม่ดี ข้าไม่ให้ท่านดูหน้าข้าแล้ว!”

เว่ยจื่ออี้รีบเกลี้ยกล่อมน้องสาวทันที

“น้องสาว พี่รองแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น ต่อให้มีสองตาหนึ่งจมูก น้องสาวของข้าย่อมสวยน่ารักมากกว่าคนอื่นอยู่ดี ไหน…ขอข้าดูให้ชัดๆ อีกทีสิ”

ซานเปาทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ ก่อนจะเอามือออก

จากนั้นน้องสาวและพี่ชายจึงได้จับมือคุยกันเบาๆ ถังหลี่มองดูสองพี่น้องสนิทสนมใกล้ชิดกันด้วยรอยยิ้ม

คืนนั้น หลังอาหารเย็นเว่ยจื่ออี้เข้ามาหาถังหลี่

ตอนที่เขาอายุได้เจ็ดแปดขวบ เขามีนิสัยเกาะติดถังหลี่เป็นอย่างมาก พอโตขึ้นมีความคิดเป็นของตนเองก็เริ่มที่จะสื่อสารกับบิดามารดาน้อยลง ถังหลี่รู้ว่าเด็กทั้งสี่คนเป็นเด็กดี มีความคิดเป็นของตนเอง นางจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขามากเกินไปนักแต่ถังหลี่ก็จะยินดีหากเด็กๆ เต็มใจที่จะเข้ามาคุยกับนาง

แม่และลูกชายนั่งคุยกันที่สนามหญ้าท่ามกลางแสงจันทร์

“ท่านแม่ เพื่อนหลายคนต้องการที่จะไปสอบเตี่ยนซื่อ แต่ข้าไม่อยากไปสอบ” เว่ยจื่ออี้พูดกับมารดา

เด็กนักเรียนทุกคนใฝ่ฝันถึงการมีชื่อในแผ่นประกาศทองคำเป็นเป้าหมายสูงสุดของพวกเขา แม้แต่บิดามารดาของเขาก็เช่นกัน

เขาไม่อยากสอบ ไม่รู้ว่ามารดาจะเป็นเขาเป็นคนไร้ค่าหรือไม่?

“ถ้าเจ้าไม่อยากเข้าสอบก็ไม่ต้องสอบหรอก ทั้งพี่ใหญ่และสวี่เจวี๋ย พวกเขาสองคนก็น่าจะสอบผ่านอยู่แล้ว ครอบครัวของเรามีบิดาเจ้าและพี่ชายทั้งสองคนของเจ้ารับราชการก็เพียงพอแล้ว หากมีเพิ่มขึ้นอีกคนก็ดูจะมีมากเกินไป”

ถังหลี่มองบุตรชาย “เอ้อร์เป่า เจ้าอย่ากังวล ทำในสิ่งที่เจ้าต้องการจะทำเถอะ”

ตาของเว่ยจื่ออี้เป็นประกาย เขาตระหนักได้ถึงความรักของบิดามารดาที่มีต่อตัวเขา

กระทั่งบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเขา แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ไกลถึงเมืองฉินโจวก็ตาม แต่พวกเขาจะมาอยู่เมืองหลวงทุกปีปีละสองสามเดือนเพื่อมาเยี่ยมเยียนเขา

“ท่านแม่ ข้าได้รู้จักเพื่อนมากมาย มีคนหนึ่งชื่อเจียงผิงเป็นเพื่อนร่วมชั้นของข้า เขามีความรู้มาก” เว่ยจื่ออี้ชมชอบผู้ที่มีความรู้กว้างขวาง

ในครั้งที่อาจารย์ชิงหยูได้พาพี่ใหญ่และพี่สวี่เจวี๋ยออกไปดูโลกภายนอก เขาเองก็อิจฉาเช่นกัน

เมื่อเขาเติบใหญ่ความปรารถนาของเขาก็คือการออกไปชมโลกกว้างเพื่อดูภูเขาและแม่น้ำที่มีชื่อเสียง

ซ่างจิงเป็นเมืองหลวงของต้าโจว มีแคว้นฉีที่ใหญ่พอๆ กับต้าโจวและยังมีแคว้นซยงหนูขนาบอยู่ข้างกัน โลกใบนี้กว้างใหญ่ไพศาล สิ่งที่เขาเคยได้พบเห็นเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น

ปากเล็กๆ ของเว่ยจื่ออี้ยังช่างจำนรรจาเหมือนยามที่เขายังเป็นเด็กเล็กๆ ทำให้ถังหลี่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังเรียนรู้และคิดอ่านอยู่ในตอนนี้

หลังจากแม่ลูกคุยกันเสร็จ พวกเขาก็กลับไปห้องนอน

เช้าวันรุ่งขึ้น

ตู้เย่เก็บข้าวของพร้อมกับซานเป่าเพื่อเดินทางไปอยู่ที่ค่ายทหาร เด็กตัวน้อยๆ ง่วงมาก แม้ตู้เย่จะจับมือนางเอาไว้ แต่ดวงตาของนางกลับปรือท่าทางยังคงง่วงงุนไม่หาย แต่กระนั้นก็สู้ฝืนลืมตาโบกมือให้ผู้คนที่มาส่งนาง

“ลาก่อน”

ถังหลี่ เว่ยฉิง เว่ยจื่ออั๋ง สวี่เจวี๋ย เว่ยจื่ออี้ รวมไปถึงท่านผู้เฒ่าอู่และฮูหยินอู่ ต่างพากันมายืนที่ประตู เฝ้าดูซานเป่าเข้าไปในรถม้า

หลังจากที่ส่งซานเป่าแล้ว เว่ยฉิงไปกระทรวงอาญา เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยไปเรียนสำนักศึกษา ส่วนเว่ยจื่ออี้ก็ไปเรียนที่ชิวฉุ่ยซึ่งเป็นสำนักศึกษาของเอกชนเช่นกัน

เด็กหลายคนที่ไม่สามารถสอบเข้าสำนักศึกษาหลวงได้ก็จะไปเรียนที่สำนักศึกษาชิวฉุ่ยเพื่อที่จะเตรียมเข้าสอบเคอจวี่เช่นกัน

เมื่อเว่ยจื่ออี้เดินเข้ามา เขาเห็นทุกคนพากันท่องหนังสือ แม้เจียงผิงเองก็กำลังอ่านหนังสืออย่างจริงจังเช่นกัน เว่ยจื่ออี้เดินเข้าไปหาเจียงผิง เขานั่งลงข้างๆ

“พี่เจียง!”

“จื่ออี้” เจียงผิงยิ้มทักทาย

“พี่แก้ปัญหาเรื่องบ้านเช่าเรียบร้อยดีหรือยัง?” เว่ยจื่ออี่ถาม หลังคาบ้านเช่าของเจียงผิงพังเมื่อฝนตกจึงมีน้ำรั่วเข้ามาเจียงผิงกังวลมาก ด้วยเหตุนี้เว่ยจื่ออี้จึงได้มอบเงินให้เขาเพื่อแก้ปัญหานี้

เมื่อเว่ยจื่ออี้ถามคำถามนี้ขึ้นมา เจียงผิงมองไปรอบๆ อย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมองเขาจึงได้โล่งใจ

“ข้าจ้างช่างมาช่วยปูหลังคาใหม่แล้วล่ะ” เจียงผิงกระซิบตอบแต่แล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่อง

“จื่ออี้ หลังเลิกเรียนข้าจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง”

เว่ยจื่ออี้อยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

“ที่ไหนหรือ?”

“เจ้าไปถึงก็ย่อมรู้เอง” เจียงผิงพูดอย่างลึกลับ

ความอยากรู้อยากเห็นของเว่ยจื่ออี้ถูกกระตุ้นขึ้นมา

หลังเลิกเรียน เจียงผิงจงใจที่จะหลบเลี่ยงผู้คน เขาพาเว่ยจื่ออี้ไปตามตรอกซอกซอยเล็กๆ ในที่สุดก็หยุดที่อาคารหลังหนึ่งด้านหน้ามีโคมไฟแขวนอยู่ บรรยากาศเงียบสงบพร้อมกับมีกลิ่นธูปหอมลอยมา

เว่ยจื่ออี้ยินนิ่งงัน นี่มัน…ซ่องคณิกานี่

เหตุใดเจียงผิงจึงพาเขามาที่นี่เล่า?

……………..