บทที่ 359-2 เหลนน้อย (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 359 เหลนน้อย (2)

เนื่องจากเตียงพัง คืนนี้เซียวลิ่วหลังจึงต้องไปพักที่ห้องตะวันออก

กู้เจียวไม่มีความเห็นใด

หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ทั้งสองคนก็นอนอยู่บนเตียงนุ่ม เสี่ยวจิ้งคงชินกับการนอนเตียงแข็งๆ จากที่วัด ดังนั้นห้องตะวันตกจึงปูผ้านวมไว้ข้างล่างน้อยกว่าห้องตะวันออก

เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าเซียวลิ่วหลังไม่เคยนอนบนเตียงหลังนี้มาก่อน ทว่าไม่รู้เหมือนกันว่าสภาพจิตใจเปลี่ยนไปหรือไร คืนนี้ความรู้สึกที่นอนบนนี้จึงได้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนเป็นพิเศษ

คล้ายว่าผ้านวมอ่อนนุ่มขึ้นกว่าเดิม ทำเอาเขานึกถึงร่างน้อยๆ อันนุ่มนิ่มของนาง บนหมอนมีแต่กลิ่นหอมๆ ของนางเต็มไปหมด ทุกลมหายใจที่สูดดมล้วนทำเอาเขาหายใจกระชั้น ทั้งทรวงอกก็ร้อนระอุ

นางนอนอยู่ข้างกายตัวเองนิ่งๆ หายใจสม่ำเสมอจังหวะทอดยาว

เซียวลิ่วหลังนอนไม่หลับ เขาค่อยๆ หันหน้าไปเบาๆ เห็นผมยาวของทั้งคู่คล้ายเกี่ยวพันกันไว้ จู่ๆ ราตรีนี้ก็มีบรรยากาศหวานแหววขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ฝันที่เคยฝันก็วาบผ่านเข้ามาในสมองอย่างควบคุมไม่ได้ เขาพยายามจะลบภาพที่ไม่เหมาะไม่ควรออกไปจากหัว แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งแจ่มชัด ถึงขั้นที่ว่าลมหายใจรื่นหูของนางลอยมาข้างหูเขาแล้วราวกับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายล่อลวงใจคน

“สามี” จู่ๆ นางก็พลิกตัวมามองเขา

เซียวลิ่วหลังใจกระตุก รู้สึกประหม่ากับจิตใจอันฟุ้งซ่านของตัวเอง เขาตีหน้าเคร่ง มองไปยังเพดาน ก่อนเอ่ยเสียงขรึม “มีอะไรรึ”

กู้เจียวใช้ศอกยันตัวขึ้นมองเขาพลางเอ่ย “ไม่มีอะไรหรอก แค่จะถามว่าเจ้าไปชนบทราบรื่นดีหรือไม่ คนพวกนั้นได้รังแกเจ้าหรือไม่”

“ไม่มีหรอก” เขาเอ่ย

กู้เจียวถามอย่างแปลกใจ “คอเจ้าเป็นอะไรรึ เสียงแหบเชียว”

ตอนไม่ได้พูดอะไรยังพอทำเนา พอเซียวลิ่วหลังพูดแล้วยิ่งยากจะควบคุมตัวเอง ลูกกระเดือกเขาขยับ ไม่กล้ามองนางเลยแม้แต่แวบเดียว “คงเพราะเมื่อตอนกลางวันพูดมากไปหน่อย”

“อ๋อ” กู้เจียวหมอบอยู่ข้างกายเขา เขาไม่กล้ามองนาง แต่นางกลับมองเขาอย่างใจกล้า “เช่นนั้นข้าเทน้ำให้เจ้าหน่อยดีกว่า”

เขากำลังจะบอกว่าไม่ต้อง แต่นางลงจากเตียงไปอย่างรวดเร็ว เทน้ำเย็นๆ แก้วหนึ่งส่งมาให้เขาแล้ว

เซียวลิ่วหลังอ้าปากพะงาบ สุดท้ายก็รับมาดื่ม

น้ำเย็นๆ ไหลลงท้องไปแก้วหนึ่ง เหมือนว่าความคิดฟุ้งซ่านในหัวจะจางลงไม่น้อย

กู้เจียวรับแก้วมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วปีนขึ้นมาบนเตียง นอนลงข้างกายเขาอีกหน

“เจ้านอนไม่หลับรึ” นางถาม

“…ไม่นี่” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “นอนเถิด”

ทว่ากู้เจียวรออยู่พักหนึ่งก็ยังเห็นว่าเขานอนไม่หลับ

มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือไม่นะ

แต่เขาไม่พูด นางก็ไม่กล้าถามมาก

กู้เจียวครุ่นคิด ค่อยๆ ขยับไปหาเขา จนกระทั่งมาถึงข้างกายเขา

นางดึงแขนเขาออกข้างหนึ่ง แล้วพลิกตัวตะแคง เอาศีรษะน้อยๆ ของตัวเองหนุนลงไปแทนหมอน

นางกอดเขาไว้ ลูบไหล่เขาแผ่วเบาเหมือนผู้ใหญ่กำลังกล่อมเด็ก

นางตั้งอกตั้งใจกล่อมมาก แม้ว่าท่าทางจะเงอะงะก็ตาม

เซียวลิ่วหลังไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “นี่เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ”

กู้เจียวเบิกตาโต ใบหน้าน้อยๆ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าก็กล่อมเจ้านอนน่ะสิ เจ้าวางใจได้เลยนะ ข้าจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ข้าเป็นคนซื่อสัตย์จะตาย”

กู้เจียวน้อยคนซื่อสัตย์แรกๆ ก็ลูบไหล่กล่อมเขานอนดีๆ นี่ล่ะ แต่ลูบไปลูบมา ความรู้สึกที่สัมผัสกับมือมันช่างดียิ่งนัก จึงเริ่มคิดจะนอกลู่นอกทางเสียแล้ว

นางแอบลอบมองเซียวลิ่วหลัง ดวงตาเซียวลิ่วหลังปิดสนิทแล้ว ลมหายใจก็สม่ำเสมอและทอดยาวกว่าเมื่อครู่นี้

ดูเหมือนว่าจะหลับไปแล้ว

กู้เจียวพลันใจกล้าขึ้นมา นางจึงลูบไล้กล้ามเนื้อเขา ลูบไล้กล้ามเนื้อตรงแผ่นอกเสร็จก็ไปลูบกล้ามท้องต่อ พอลูบกล้ามท้องเสร็จก็ไปลูบตรงเอว

เมื่อนางใช้นิ้วกดจิ้มกล้ามเนื้อบั้นเอวที่ไร้ส่วนเกินของเขาอยู่นั้น จู่ๆ เซียวลิ่วหลังก็ลืมตาพรวดขึ้น

เซียวลิ่วหลังคว้ามือน้อยๆ อันซุกซนของนางไว้ แล้วพลิกตัวกดนางไว้ใต้ร่าง

การเคลื่อนไหวของเขาทั้งรวดเร็วและรุนแรงยิ่ง แม้แต่กู้เจียวยังตั้งตัวไม่ทัน

กู้เจียวมองเขาอย่างตกตะลึง

เขาจับข้อมือนางทั้งสองข้างไพล่กันไว้อย่างคนถือไพ่เหนือกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวได้สัมผัสกับความรุนแรงและเรี่ยวแรงของบุรุษจากเขาในขณะที่ยังมีสติครบถ้วนอยู่

ช่างเร้าใจนัก

กู้เจียวคิดในใจ

จนกระทั่งหมาน้อยยังไม่หย่านมที่เลี้ยงไว้กลายร่างมาเป็นหมาป่าโตเต็มวัยที่แฝงไว้ด้วยความป่าเถื่อนและเอาแต่ใจที่ยากจะต้านทาน ทั้งยังจ้องนางนิ่ง “ยังเด็กอยู่มิใช่หรือไร”

กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ “หืม”

แววตาเขาพลันลุ่มลึก เสียงแหบพร่าเปล่งออกมาจากลำคอ “หากยังยั่วข้าอีก ข้าจะไม่สนใจแล้วนะ”

“อ๋อ” กู้เจียวดวงตาขยับไหว ค่อยๆ ดึงข้อมือตัวเองออกจากฝ่ามือใหญ่แรงเยอะของเขาช้าๆ

เมื่อครู่นี้เรี่ยวแรงเขาเยอะมากนัก กำข้อมือนางไว้จนแดงไปหมด

เซียวลิ่วหลังเสียใจขึ้นมานิดๆ แล้ว แต่ยังไม่แสดงสีหน้าออกมา

เดิมทีคืนนี้ก็โดนพวกผู้ใหญ่ในครอบครัวคิดบัญชีไป เขาย่อมไม่มีทางยอมจำนนเสียแต่โดยดีอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดจะทำอะไรนางจริงๆ ตั้งแต่แรก

ทว่าสตรีนางนี้ช่างซุกซนเกินไปแล้ว

นางลืมไปแล้วหรือว่าเขาสิบแปดปีแล้ว ยังเห็นเขาเป็นไก่อ่อนไร้ประสบการณ์เหมือนเมื่อก่อนอีกหรือไร

แม่นางน้อยวัยสิบสี่โตขึ้นหนึ่งปี กับเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีโตขึ้นหนึ่งปีนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เขาโตแล้ว เป็นชายชาตรีอย่างแท้จริงแล้ว

นางรู้หรือไม่ว่าเขาไม่ได้ฝันถึงไฟไหม้เต็มฟ้าตั้งนานแล้ว แต่เป็นแสงจันทร์อันไร้ขอบเขต แสงโคมนิรันดร์ที่ไม่มีวันดับมอด การกอดเกี่ยวพัวพันไม่มีที่สิ้นสุดและการครอบครอง…

เขาไม่มีวันนอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับนางแล้วไม่คิดฟุ้งซ่านอะไรเหมือนเมื่อหนึ่งปีก่อนได้อีกแล้ว

กู้เจียวลูบข้อมือแดงๆ อย่างเงียบงันอยู่พักใหญ่

เซียวลิ่วหลังคิดว่านางโดนตัวเองขู่ขวัญไว้อยู่หมัดแล้ว ยามนี้คงจะรู้จักสงบเสงี่ยมเสียที คิดไม่ถึงว่าครู่ต่อมาแขนสองข้างของนางจะยื่นออกกว้าง แล้วนอนแผ่!

เซียวลิ่วหลัง “…”