บทที่ 361 เพ็ดทูล
หลังจากหมวกจากชุดกันลมเคลื่อนลงมา นางก็สวมมันกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นชายชุดดำคนหนึ่งก็คุ้มกันส่งเข้าห้องที่แขวนน้ำเต้าไป
กู้เจียวกำลังจะตามไป เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็โดนคนข้างๆ คว้าไว้
กู้เจียวพลิกมือฟาดสันมือใส่ แต่ทำให้อีกฝ่ายคว้าข้อมือเอาไว้ได้
“ข้าเอง!”
อีกฝ่ายสวมหน้ากากเหมือนกับกู้เจียว แต่เสียงช่างคุ้นหูกู้เจียวนัก
กู้เจียววางสันมือลง ก่อนมองกู้ฉังชิงที่แต่งตัวเป็นนักดาบด้วยความแปลกใจ “เจ้ามาได้อย่างไร”
กู้ฉังชิงปล่อยมือลง ก่อนมองรอบๆ แล้วถามนาง “ข้ามากกว่าที่ควรถามประโยคนี้กับเจ้า เจ้ามาได้อย่างไร”
กู้เจียวลูบหน้ากากตัวเองไปมา ก็ยังอยู่ดีนี่ เขาจำนางได้อย่างไรกัน
กู้ฉังชิงมุมปากกระตุก เขาจำนางได้ตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่นางหลอกพ่อเขาให้เรียกพ่อแล้วไม่รู้หรือไร
นอกจากนางแล้ว บนโลกนี้ก็ไม่มีใครมีงานอดิเรกแปลกๆ เช่นนี้อีกแล้ว
“เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่” กู้ฉังชิงมองนางอย่างเคร่งขรึม
สถานที่พรรค์นี้ไม่ใช่ที่ที่นางควรมาเลย แม้ว่านางจะมีฝีมือการต่อสู้อยู่บ้าง แต่ก็ยังอันตรายเกินไปอยู่ดี
กู้เจียวชะงักไปก่อนเอ่ย “ถ้าข้าบอกว่าข้าผ่านมา เข้ามาเพื่อขอใช้ห้องน้ำ เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
กู้ฉังชิง “…”
ไม่รอให้กู้ฉังชิงตอบนาง กู้เจียวก็ถามขึ้นเป็นชุด “แล้วเจ้าเล่า เจ้าก็มายืมใช้ห้องน้ำเช่นกันรึ”
กู้ฉังชิง “…” อีกครา
มีคนไม่น้อยที่มองมาทางกู้ฉังชิงด้วยแววตาคุ้นเคยกันดี คล้ายว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเขาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
“เหตุใดพวกเขาจึงมองเจ้าเช่นนั้น” กู้เจียวถาม
“ไม่มีอะไรหรอก” กู้ฉังชิงดึงข้อมือกู้เจียวไว้ แล้วพานางเข้ามาในห้องเยื้องกันฝั่งตรงข้าม
กู้เจียวจึงสังเกตเห็นว่าบนประตูห้องนี้ก็แขวนน้ำเต้าไว้เช่นกัน
เอาละ
แบบนี้ก็ไม่เรียกว่านางบุ่มบ่ามเข้ามาเองแล้วกระมัง
เครื่องเรือนด้านในห้องเรียบง่ายมาก มีฉากกันลมหนึ่งอัน เตียงหนึ่งหลัง โต๊ะเก้าอี้คู่หนึ่งและเครื่องเรือนโบร่ำโบราณจำนวนหนึ่ง ให้ความรู้สึกแปลกตายิ่งนัก ทำเอาจิตใจหวาดกลัวได้ง่ายๆ
กู้เจียวยิ่งสนใจใคร่รู้มากกว่าเดิม
กู้ฉังชิงเห็นท่าทางนางเหมือนลูกวัวเกิดใหม่ไม่เกรงกลัวเสือแล้วก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ คนที่รู้คงบอกว่านางมายังสถานที่ที่อันตรายที่สุดของแคว้นเจา คนที่ไม่รู้คงคิดว่านางมาเดินเที่ยวสวนผักเล่น
“นั่งสิ” กู้ฉังชิงเอ่ย ส่วนเขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ
กู้เจียวนั่งลงตรงข้ามเขา นางดึงสายตาที่พินิจมองเขากลับคืนมา “เจ้ามายืมใช้ห้องน้ำจริงๆ น่ะรึ”
กู้ฉังชิงที่กำลังเทชาพลันชะงัก มุมปากกระตุกยิกๆ ก่อนจะเอ่ย “มาหาคนต่างหาก”
กู้เจียวส่งเสียงอ้อออกมา “บังเอิญจริง ข้าก็เหมือนกัน”
กู้ฉังชิงมองนางอย่างหมดคำจะพูด “เมื่อครู่ไหนบอกว่ามายืมใช้ห้องน้ำอย่างไรเล่า”
กู้เจียวยักไหล่ผายมือ “ก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ”
กู้ฉังชิงหมดหนทางจะตอบโต้
ยามปกติกู้เจียวพูดน้อย แต่ใครให้โรงประลองใต้ดินแห่งนี้ดึงดูดความสนอกสนใจจากนางกันเล่า นางถามอีก “ที่นี่มันคือที่ใดรึ เป็นโรงประลองธรรมดาๆ รึ”
ธรรมดา…
คงมีแต่เด็กสาวผู้นี้เท่านั้นแหละที่คิดเช่นนี้
แต่คนที่รู้จักสถานที่แห่งนี้จริงๆ มาได้ยินเข้า หากไม่ตระหนกอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีตกใจกลัวกันบ้าง
กู้ฉังชิงวางชาที่รินเรียบร้อยไปไว้ข้างมือนาง ก่อนจะเอ่ย “มีการประลองเป็นหลัก แต่ก็ทำกิจการอื่นๆ ด้วย มีคนไม่น้อยที่เลือกมาทำการค้าขายที่นี่ ประการแรกเพราะความลับไม่รั่วไหล ประการที่สองความปลอดภัยสูง โรงประลองหักกำไรสองส่วน”
กู้เจียวเอ่ย “สองส่วนรึ นี่ไม่ใช่น้อยๆ เลย”
หากการค้าขายหนึ่งหมื่นตำลึง ก็ต้องจ่ายให้โรงประลองสองพันตำลึง
ที่แท้การเปิดโรงประลองก็รวยเละได้นี่นา
แต่ว่า…
คนผู้นั้นมาทำอะไรที่นี่กันล่ะ
มาดูการประลองหรือมาหาคนทำการค้าขายด้วยกันล่ะ
ในขณะที่กู้เจียวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงคำรามร้องตะโกนอันพลุ่งพล่านก็ลอยมาจากด้านนอกเป็นระยะๆ
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”
โรงประลองใต้ดินมีเวทีประลองทั้งหมดสี่เวทีทั้งเหนือใต้ออกตก ยามนี้เวทีทั้งสี่ต่างมียอดฝีมือกำลังประลองกันอยู่ ทว่าเวทีที่ผู้ชมรอบด้านมากที่สุด ลงเดิมพันดุเดือดที่สุดและเสียงกู่ร้องบ้าคลั่งที่สุดก็คงเป็นเวทีตะวันออก
บังเอิญจริง ห้องของพวกนางอยู่ตรงข้ามกับเวทีตะวันออกพอดี
กู้เจียวเห็นชายร่างกำยำเปลือยท่อนบนกดยอดฝีมืออีกคนไว้กับพื้น กระหน่ำชกอย่างบ้าระห่ำ หน้าตาเขาดุร้าย ลงมืออย่างโหดเหี้ยมไร้ปราณี
การชกระดับนี้เกรงว่าคงต้องการอีกฝ่ายตายทั้งเป็นแน่
หากอยู่ที่โรงประลองไท่เหอ การประลองเช่นนี้คงถูกเรียกให้หยุดไปแล้ว
คล้ายว่ากู้ฉังชิงจะสัมผัสถึงความสงสัยของกู้เจียวได้ จึงอธิบาย “ยอดฝีมือที่นี่ล้วนลงนามในใบมรณะบัตรไว้หมดแล้ว พวกเขาต้องรับความเสี่ยงเอง”
นั่นทำให้กู้เจียวนึกถึงการต่อสู้ใต้ดินในชาติก่อนขึ้นมา ที่นั่นกับโรงประลองใต้ดินเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและความป่าเถื่อนเหมือนกัน ไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของผู้ประลองเลย พวกเขาถึงขั้นหวังจะเห็นใครคนใดคนหนึ่งโดนชกตายด้วยซ้ำ
กู้เจียวก็เคยเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ประลองมากมายนั้นเหมือนกัน
เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดและอ่อนแอที่สุด
นางกับเพื่อนร่วมงานถูกอาจารย์ส่งไปยังสนามประลอง ครึ่งปีต่อมากู้เจียวก็ออกมา เพื่อนร่วมงานรั้งอยู่ที่นั่นตลอดไป
กู้เจียวเห็นภาพอันโหดร้ายทารุณบนเวทีประลองแล้ว แววตาไร้ความกระเพื่อมไหวใด
“เสื้อผ้าคนผู้นั้นแปลกนัก” สายตากู้เจียวเบนจากบนเวทีตะวันออกไปยังเวทีใต้
กู้ฉังชิงทอดมองตามไป ก่อนเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นชาวทูเจวี๋ย”
กู้เจียวส่งเสียงอ๋อออกมา “ที่นี่ก็มีชาวทูเจวี๋ยด้วยรึ”
ทูเจวี๋ยเป็นชนชาติใหญ่นอกแคว้นทั้งหก แม้ว่าจะประกาศตัวเป็นแคว้น ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้รับการยอมรับจากทั้งหกแคว้นเลย ซ้ำยังมีตำแหน่งสู้สามแคว้นล่างไม่ได้เลยในสายตาของทั้งหกแคว้น
ทว่าชาวทูเจวี๋ยมีพละกำลังและห้าวหาญเป็นพิเศษ ผลิตยอดฝีมือออกมาไม่น้อย
ยอดฝีมือทูเจวี๋ยบนเวทีประลองชกคู่ต่อสู้ของตัวเองจนสลบ เท้าข้างหนึ่งเหยียบหน้าคู่ต่อสู้ไว้กับพื้นอย่างแรง ก่อนจะชูแขนขึ้นทั้งสองข้างเพื่อยั่วยุและอวดเบ่ง เรียกเสียงกู่ร้องจากด้านล่างเวที
สายตากู้เจียวเบนไปยังร่างยอดฝีมือที่โดนเขาเหยียบไว้ “คนที่พ่ายแพ้ก็เป็นชาวทูเจวี๋ยเหมือนกันรึ เสื้อผ้าเขาก็แปลกตาเช่นกัน”
กู้ฉังชิงแววตาฉงนเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนับสนุนการกระทำของยอดฝีมือทูเจวี๋ยเลย “ไม่ใช่ นั่นเป็นนักดาบของแคว้นจ้าว”
ยอดฝีมือทูเจวี๋ย นักดาบแคว้นจ้าว…
โรงประลองแห่งนี้ช่างเหนือความคาดหมายของนางนัก
“เมื่อครู่นี้เจ้ากำลังสะกดรอยตามใครกันแน่” กู้ฉังชิงกลับเข้าเรื่อง
ใครเป็นคนบอกว่าคนเป็นพลทหารล้วนไร้สมองกัน จากที่กู้เจียวเห็นนั้น ความระมัดระวังของกู้ฉังชิงไม่ด้อยไปกว่าหนูน้อยเจ้าปัญญาอย่างกู้เหยี่ยนเลยสักนิด
เมื่อครู่นี้ไม่ไล่ต้อนถามนาง ให้นางขายข้อมูลอยู่นานสองนาน ซ้ำยังคลายความระแวดระวังของนางลงก่อนจึงได้โพล่งถามขึ้น
ช่างเถอะ ไม่ใช่ว่าพูดไม่ได้เสียหน่อย
กู้เจียวเอ่ย “เหมือนว่าเมื่อครู่นี้ข้าจะเห็นจิ้งไท่เฟย”
“จิ้งไท่เฟยอย่างนั้นรึ” ความตกใจวาบผ่านของแววตากู้ฉังชิง “นางจะมาที่นี่ได้อย่างไร นางอยู่ในวังหลวงมิใช่หรือ เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ตาฝาด”
“แน่ใจสิ” กู้เจียวเอ่ย
สตรีเลวนั่นกลายเป็นเถ้าถ่านแล้วนางก็ยังจำได้
กู้เจียวเอ่ยต่อ “นางสวมชุดกันลม ท่าทางลับๆ ล่อๆ น่าจะแอบออกจากวังมา”
กู้เจียวบอกพลางยกมือขึ้นชี้ “นางเข้าไปในห้องนั้น”
กู้ฉังชิงมองตามไป ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น
“ทำไมรึ” กู้เจียวถาม “จริงสิ ข้าลืมถามเจ้าไปเลย แขวนน้ำเต้าไว้หน้าประตูหมายความว่าอย่างไรรึ”
กู้ฉังชิงเอ่ยหน้าเคร่งเครียด “หมายความว่าในโรงประลองนี้จะไปล่วงเกินด้วยไม่ได้น่ะสิ”
กู้เจียวส่งเสียงอ๋อออกมา ไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนักพลางเอ่ย “หน้าประตูเจ้าก็แขวนน้ำเต้านี่นา ได้มันมาอย่างไรรึ”
กู้ฉังชิงหันมามองกู้เจียวอย่างเย็นชา “เจ้ายังคิดจะแขวนน้ำเต้าอีกรึ ระวังข้าจะบอกลิ่วหลัง”
กู้เจียว …เจ้ามันร้ายนัก ชนะไปเลยไป
กู้ฉังชิงมองไปยังห้องที่อยู่เยื้องกันอีกหน ก่อนจะเอ่ย “หากข้าจำไม่ผิดละก็ เจ้าของห้องนั้นยามนี้ดูเหมือนจะเป็นหมอยา”
กู้เจียวลูบคาง “หมอยาอย่างนั้นรึ หมอน่ะรึ”
กู้ฉังชิงครุ่นคิด “จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยถูกเท่าใดนัก หมอนั้นช่วยรักษาให้พ้นความเจ็บความตาย แต่หมอยาแค่เล่นแร่แปรธาตุอย่างเดียว”
กู้เจียวคล้ายกำลังคิดบางอย่างอยู่พลางเอ่ย “ดังนั้นเหตุใดจิ้งไท่เฟยจึงไปหาหมอยาเล่า นางป่วยรึ หรือว่านางอยากจะทำอะไร พวกเราไปขัดขวางนางได้หรือไม่”
กู้ฉังชิงเอ่ยปฏิเสธโดยไม่คิดเลยสักนิด “ไม่ได้เด็ดขาด! ข้างกายนางมีองครักษ์หลงอิ่ง! ยิ่งไปกว่านั้นอย่าว่าแต่องครักษ์หลงอิ่งเลย โรงประลองใต้ดินก็มียอดฝีมือของตัวเองเช่นกัน พวกเขาไม่มีทางอนุญาตให้ใครแหกกฎการซื้อขายในโรงประลองหรอก”
กู้เจียวลังเลครู่หนึ่ง ก็ยังไม่ยอมแพ้ “แล้ว…จับหมอยาคนนั้นมาได้หรือไม่”
กู้ฉังชิงส่ายหน้า “นั่นเป็นหมอยาแคว้นเยี่ยน ข้างกายมียอดฝีมือเต็มไปหมด จับตัวมายากเช่นกัน”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” กู้เจียวถาม
กู้ฉังชิงเอ่ย “ข้าเคยซื้อยากับเขา เคยเห็นลูกน้องของเขามาก่อน”
ส่วนซื้อยาอะไรนั้นกู้ฉังชิงไม่ได้บอก
จิ้งไท่เฟยไม่ได้รั้งอยู่ในห้องหมอยาแคว้นเยี่ยนนาน ระหว่างที่ทั้งคู่สนทนากันนางก็ออกมาจากด้านใน นางสวมใส่ปิดบังมิดชิด แม้แต่ท่าทางการเดินยังแตกต่างกับที่เคยเห็นยามปกติ
หากมิใช่เพราะกู้เจียวบอกกู้ฉังชิงว่านี่คือจิ้งไท่เฟย ไม่ว่าอย่างไรกู้ฉังชิงก็คงจำไม่ได้แน่
ส่วนชายชุดดำข้างกายนางคนนั้นก็คงจะเป็นองครักษ์หลงอิ่ง
กู้เจียวกับกู้ฉังชิงต่างไม่คิดว่าแขนขาของพวกนางจะไวกว่าองครักษ์หลงอิ่ง ดังนั้นจึงทิ้งความคิดที่จะวิ่งไปที่วังหลวงแล้วเปิดโปงว่ายามนี้จิ้งไท่เฟยไม่อยู่ที่วัง
แต่กู้เจียวก็ยังเข้าวังอยู่ดี
นางให้คนเรียกเว่ยกงกงไปที่สวนหลวง
“แม่นางกู้!” เว่ยกงกงได้ยินว่ากู้เจียวเรียกตนก็ปรีดายิ่ง “ท่านมาได้อย่างไร มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทรึ”
ตั้งแต่แม่นางกู้บอกว่าจะไม่มาตำหนักฮว๋าชิงอีก อารมณ์ฝ่าบาทก็เซื่องซึมไปนานทีเดียว
กู้เจียวส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ ข้ามาหาเว่ยกงกงต่างหาก”
“มาหาบ่าวหรือ” เว่ยกงกงได้รับความโปรดปรานจนรู้สึกประหลาดใจ
ยามนี้ตำหนักหวาชิงยังสงสัยจิ้งไท่เฟย กู้เจียวจึงไม่ได้รีบร้อนแอบใบ้ชี้ตัวคนร้าย “ข้าอยากไถ่ถามอาการในระยะนี้ของจิ้งไท่เฟยน่ะ คราก่อนนางโดนลอบสังหารมิใช่หรือไร ได้ยินว่าได้รับบาดเจ็บด้วยนี่ นางหายดีหรือยัง”
เว่ยกงกงทอดถอนใจ “ยังพักรักษาตัวอยู่เลย หมอหลวงบอกว่าไท่เฟยอายุอานามมากแล้ว เสียขวัญยิ่งนัก เกรงว่าจะรักษาไม่หายอีกนานเลย”
เหอะ เหอะ เหอะ ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่มดเฒ่าย่องเท้าเหาะไปที่โรงประลองเมื่อครู่นี้เป็นใครกัน
เว่ยกงกงร้องเอ๋ขึ้น ก่อนเอ่ยต่อ “เหตุใดจู่ๆ แม่นางกู้จึงเป็นห่วงไท่เฟยขึ้นมาเล่า”
กู้เจียวเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ข้ารู้ว่านางไม่ค่อยลงรอยกันกับท่านย่า เป็นห่วงว่าจะมีคนสงสัยว่าท่านย่าเป็นคนทำน่ะสิ”
เว่ยกงกงยิ้ม “แม่นางกู้โปรดวางใจได้ ครานี้ฝ่าบาทไม่ได้สงสัยไทเฮาขอรับ”
กู้เจียวย่อมรู้อยู่แล้ว นางพยักหน้า “แบบนั้นก็ดี! หากจิ้งไท่เฟยอาการหนักล่ะก็ ข้าดูอาการให้นางได้นะ!”
เว่ยกงกงตกใจอีกคน “แม่นางกู้…ไหนบอกว่าจะไม่รักษาให้คนตำหนักฮว๋าชิงแล้วมิใช่หรือ”
กู้เจียวแปลงร่างเป็นอัจฉริยะสติปัญญาเฉียบแหลมในทันที “แต่นางย้ายออกจากตำหนักหวาชิงแล้วนี่!”
เว่ยกงกงชะงักไป บะ…แบบนี้ก็ได้รึ
เว่ยกงกงไปทูลฮ่องเต้
ฮ่องเต้นึกว่ากู้เจียวหาโอกาสขอคืนดีกับตน ไม่ได้สงสัยในแรงจูงใจของกู้เจียวเลยสักนิด หัวเราะพลางเอ่ย “เอาละ นางเสนอ เราก็สนอง”
เว่ยกงกง …แต่เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าแม่นางกู้ไม่ได้คิดเช่นนี้กันเล่า
คืนนี้ฮ่องเต้จะมาเสวยมื้อเย็นที่สำนักชี จิ้งไท่เฟยจึงสั่งครัวให้ทำอาหารเจมื้อใหญ่ไว้แล้ว แต่ใครจะคิดว่าเมื่อฮ่องเต้เสด็จมาข้างกายยังมีคนเพิ่มมาด้วย
“แม่นางกู้” จิ้งไท่เฟยนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
“ไท่เฟย” กู้เจียวเอ่ยทักทาย
ฮ่องเต้ตรัสด้วยพระพักตร์แจ่มใส “ร่างกายเสด็จแม่ยังรักษาไม่หายดีเลย เราพาหมอเทวดาน้อยมาตรวจให้เสด็จแม่”
จิ้งไท่เฟยแย้มยิ้มอย่างเสียไม่ได้ “ร่างกายข้าไม่ได้เป็นอะไรแล้วล่ะ เป็นเพราะคำพูดนั้นของหมอหลวงแท้ๆ ทำเอาฝ่าบาทเป็นห่วงเสียได้ ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องรบกวนแม่นางกู้หรอก”
กู้เจียวรีบเอ่ย “แค่จับชีพจรเท่านั้นเพคะ ไม่ได้รบกวนอะไร”
ฮ่องเต้พอพระทัยต่อความกตัญญูของกู้เจียวมาก พระองค์กุมมือจิ้งไท่เฟยพลางเอ่ย “ให้หมอเทวดาน้อยจับชีพจรเสด็จแม่ดูเสียหน่อยเถิด ที่หมอหลวงพูดไว้เราจะเชื่อทั้งหมดไม่ได้ ให้หมอเทวดาน้อยตรวจดูแล้ว เราจึงจะวางใจได้”
จิ้งไท่เฟยบอกปัดไม่สำเร็จ จึงต้องนั่งลงบนเก้าอี้ ยอมให้กู้เจียวจับชีพจรตัวเอง
กู้เจียวใช้สามนิ้วแตะลงบนชีพจรของจิ้งไท่เฟย
มีอาการบาดเจ็บภายใน
คราก่อนนางไม่ได้อัดอีกฝ่ายจนเกิดช้ำในเสียหน่อย
กู้เจียวถามอย่างสงสัย “หมู่นี้ไท่เฟยโดนลอบทำร้ายอีกหรือ เส้นเอ็นจึงขาดได้”
ฮ่องเต้ตกใจหน้าถอดสี “เส้นเอ็นเสด็จแม่ขาดอย่างนั้นรึ”
กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบ “ขาดแค่ไม่กี่เส้นเท่านั้น ไม่ได้สาหัสร้ายแรงอะไร แต่คงจะกระอักเลือดไปแล้ว ไม่มีใครเห็นบ้างเลยหรือ”
จู่ๆ ฮ่องเต้ก็นึกถึงคืนนั้นที่ท่านเหล่าโหวลากจิ้งไท่เฟยวิ่งหนีขึ้นมาได้ พระองค์จากไปด้วยความโมโห จากนั้นคนรับใช้ก็มารายงานว่าจิ้งไท่เฟยกระอักเลือด
หรือว่า…เส้นเอ็นของจิ้งไท่เฟยจะขาดตอนนั้น
แต่พระองค์ไม่เห็นเคยได้ยินว่านางโดยลอบทำร้ายเลย…
จิ้งไท่เฟยบีบผ้าเช็ดหน้าแน่นพลางเอ่ย “ข้าแค่มีภาวะซึมเศร้าจึงส่งผลทำร้ายเส้นเอ็นก็เท่านั้น”
กู้เจียวเลิกคิ้ว “อ๋อ เช่นนั้นต่อไปนี้ไท่เฟยอย่าได้ทำร้ายเส้นเอ็นตัวเองอีกนะเพคะ มันทำร้ายร่างกายมาก”
จิ้งไท่เฟยหน้าถอดสี มองฮ่องเต้แวบหนึ่งก่อนจะเอ่ย “ข้าไม่ได้ทำร้ายเส้นเอ็นตัวเอง! เพลิงโทสะโจมตีจิตใจต่างหาก…มันเกิดจากความเสียใจ!”
ฮ่องเต้ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เช่นกัน มิฉะนั้นเล่า เหตุใดจิ้งไท่เฟยจึงต้องทำเช่นนั้นด้วย ใช้วิธีทรมานตัวเองเพื่อให้พระองค์ใจอ่อนอย่างนั้นรึ เสด็จแม่จิ้งของพระองค์เป็นคนที่มีจิตใจดีบริสุทธิ์ที่สุดในโลก ไม่ทางใช้แผนการชั่วร้ายพวกนั้นแน่นอน