บทที่ 362 เปิดโปงความจริง (1)
คนคนหนึ่งสามารถปิดบังฝีมือของตัวเองได้ แต่ไม่อาจปิดบังอาการป่วยของตัวเองได้หรอก กู้เจียวจับชีพจรให้จิ้งไท่เฟยเรียบร้อย พบว่านอกจากนางจะอ่อนแอแล้วก็ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไร
ในทางกลับกัน อาการของนางห่างไกลกับคำว่าต้องไปขอยาจากหมอยาแคว้นเยี่ยนยิ่งนัก
คงไม่ใช่ว่านางไปหาคนเขาเพื่อคุยเล่นแน่นอน
กู้ฉังชิงเคยบอกว่าหมอยาคนนั้นนิสัยสันโดษเก็บตัว ไปไหนมาไหนคนเดียว ไม่สุงสิงกับใครมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากจะขายยา
ดังนั้นวันนี้จิ้งไท่เฟยต้องไปซื้อยาแน่ๆ
แม่นมไช่ยกแตงโมที่หั่นแล้วเข้ามาด้านในจานหนึ่ง กู้เจียวหันขวับไปมองนางทันที “แม่นมไช่ หมู่นี้สีหน้าท่านไม่ค่อยดีเลยนะเจ้าคะ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่ ให้ข้าตรวจให้ท่านดีกว่า”
แม่นมไช่ชะงัก “อ่า คะ…คือ…”
“ตรวจเสียหน่อยสิ” ฮ่องเต้บอกแม่นมไช่
“เพคะ” แม่นมไช่มองจิ้งไท่เฟยอย่างฉงน จิ้งไท่เฟยสีหน้าปกติ แม่นมไช่จึงต้องเดินไปให้กู้เจียวจับชีพจร
พูดตามตรง หมู่นี้แม่นมไช่ร่างกายไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่าเท่าใดนัก เมื่อกู้เจียวมองออกว่านางป่วยและต้องการจะจับชีพจรนาง นางดีใจไม่น้อย
แต่พอนึกขึ้นได้ว่ากู้เจียวเป็นคนของไทเฮานางก็ลังเลขึ้นมา ยามนี้ดียิ่งนัก ฮ่องเต้ทรงรับสั่งแล้ว
“แม่นมไช่เหน็ดเหนื่อยเกินไป ผนวกกับหมู่นี้มีธาตุไฟในตับและร้อนในนิดหน่อย ลิ้นกับปากจึงเป็นแผลหมดแล้ว ข้าเอายาให้ท่านกินนิดหน่อยก็หายแล้ว” กู้เจียวหันไปเปิดกล่องยาใบน้อย กะจะหยิบยาลูกกลอนหนิวหวงขับพิษออกมา แต่ปรากฏว่ามันไม่มี
เจ้ายังจะเลือกคนไข้อีกรึ
เอาแต่ใจแล้วนะเจ้าน่ะ!
ลมหนาวยะเยือกพัดผ่านระลอกหนึ่ง กล่องยาใบน้อยเงียบเป็นเป่าสาก
กู้เจียวปิดกล่องยาดังเดิม แล้วกระแอมคำหนึ่งพลางเอ่ย “ยานั้นหมดแล้ว ไม่เป็นไร ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ แม่นมไช่ไปเอายาตามใบสั่งก็ได้เหมือนกัน”
กู้เจียวออกใบสั่งยาแก้ร้อนในส่งให้แม่นมไช่
แม่นมไช่เห็นลายมือเหมือนไก่เขี่ยนั่นแล้วก็ตกใจจนคิ้วสองข้างแทบจะหลุดออกจากใบหน้า
กู้เจียวเห็นคนสนิทข้างกายจิ้งไท่เฟยไม่กี่คน กู้เจียวจึงไม่กล้าพูดว่าจิ้งไท่เฟยไม่ได้ขอยาให้คนอื่น
บางทีอาจจะขอให้องครักษ์อิ่งก็ได้ หรือจะขอให้คนอื่น
แต่ว่าเบื้องหลังของการขอยายังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือยาที่จิ้งไท่เฟยขอมาอาจจะไม่ได้เอามาช่วยรักษาคน แต่อาจจะเอามาใช้ทำร้ายคนก็ได้
กู้เจียวอยู่กินอาหารเจที่สำนักชีมื้อหนึ่ง
เมื่อนางนึกถึงยาที่ไม่รู้จักนั่นขึ้นมาได้ ตอนที่นางกินข้าวจึงสังเกตเป็นพิเศษ นางมั่นใจว่าในอาหารไม่มีพิษ
พอกินข้าวเสร็จ กู้เจียวกลับไม่ได้มีทีท่าจะกลับ ฮ่องเต้จึงไม่สะดวกไล่กู้เจียวแล้วพูดคุยกันเองกับจิ้งไท่เฟย หลังจากตรัสถามสองสามคำแล้วจึงออกจากสำนักชีไปด้วยกันกับกู้เจียว
ฮ่องเต้ทรงเบิกบานพระทัยยิ่ง
หมอเทวดาน้อยยังคงระลึกถึงเขาอยู่ ซ้ำยังมาตรวจเสด็จแม่ให้พระองค์อีก
เขามองกู้เจียวด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ปิดบัง “ทางเรามีของบรรณาการมาใหม่…”
ฮ่องเต้ยังไม่ทันพูดจบ กู้เจียวก็เดินหนีไปด้วยใบหน้าเย็นชาทันที
ฮ่องเต้ “…”
เว่ยกงกงยิ้มแหย “กระหม่อมไปส่งแม่นางกู้นะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อครู่นี้กู้เจียวมองเขาแวบหนึ่ง เขาสัมผัสได้ว่ากู้เจียวมีอะไรจะคุยด้วย
ฮ่องเต้ไม่ได้ค้าน เว่ยกงกงจึงวิ่งจ้ำตามกู้เจียวไป “แม่นางกู้!”
กู้เจียวมองรอบทิศอย่างระแวดระวัง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นจึงเอ่ยกับเขา “หมู่นี้ท่านต้องจับตาดูอาหารการกินของตำหนักหวาชิงเป็นพิเศษนะ อย่ากินอาหารจากคนนอกตำหนักฮว๋าชิงที่ส่งมาให้ ต่อให้เป็นไท่เฟยส่งมาให้ก็ไม่ได้”
“เพราะเหตุใดหรือขอรับ” เว่ยกงกงถามอย่างฉงน
“ไม่มีอะไรหรอก” กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบ “แค่ป้องกันมือสังหารลอบวางยาพิษฝ่าบาทเฉยๆ”
เว่ยกงกงยิ้มแห้ง “ต้องป้องกันทางไท่เฟยด้วยหรือขอรับ”
กู้เจียวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องป้องกันโดยเฉพาะนางเลย!”
เว่ยกงกงชะงัก
กู้เจียวเอ่ยต่อเสียงนิ่งต่อ “นางเป็นคนที่ฝ่าบาทไว้วางใจที่สุด หากมีคนลงมือในอาหารที่นางส่งมา ท่านว่ายากที่จะป้องกันหรือไม่”
เว่ยกงกงนึกถึงขนมแป้งทอดไส้พุทราที่แม่ชีน้อยข้างกายจิ้งไท่เฟยเอามาส่งให้เมื่อเช้า ฝ่าบาทเสวยโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเลย เขาถึงกับยกมือปาดเหงื่อ
โชคดีที่ขนมแป้งทอดไส้พุทราไม่มีพิษ หากมีละก็ เช่นนั้นฝ่าบาทจะไม่…
เว่ยกงกงตกใจยกใหญ่ เขารีบเอ่ยรับคำ “ข้าทราบแล้ว ข้าจะเฝ้าระวัง จะไม่ให้ฝ่าบาทเสวยของนอกตำหนักฮว๋าชิงเด็ดขาด!”
แต่กู้เจียวไม่ได้ไปเตือนท่านยา เพราะยามนี้มือของจิ้งไท่เฟยยังไม่ยื่นไปถึงในตำหนักเหรินโซ่ว
กู้เจียวเอ่ยต่อ “เรื่องนี้ท่านจับตาดูเอาเองก็พอ ไม่ต้องบอกให้ฝ่าบาทรู้ จะได้ไม่เกิดความแตกแยกขึ้น”
“ข้าข้าใจแล้ว” เว่ยกงกงเอ่ย “ข้าจะจัดรถม้าให้ไปส่งแม่นางกู้กลับ”
“ได้”
กู้เจียวนั่งรถม้ากลับไปตรอกปี้สุ่ย เว่ยกงกงก็หันหลังกลับไปที่ตำหนักฮว๋าชิง
เพิ่งจะถึงหน้าประตูตำหนัก เขาก็เจอแม่นมไช่เข้า
แม่นมไช่ก็เพิ่งจะมาเช่นกัน นางยิ้มทักเขา “เว่ยกงกง!”
เว่ยกงกงยิ้มนอบน้อม “แม่นมไช่ ไท่เฟยให้เจ้ามาหรือ ไท่เฟยมีรับสั่งใดใช่หรือไม่”
แม่นมไช่ส่งกล่องอาหารในมือให้ “มื้อค่ำเมื่อครู่นี้ฝ่าบาทเสวยไปไม่มาก ไท่เฟยเป็นห่วงว่าอาหารจะไม่ถูกปาก จึงให้ข้านำน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวที่นางทำเองกับมือมาส่งให้ฝ่าบาทเจ้าค่ะ”
เว่ยกงกงรับกล่องอาหารมาพลางเอ่ย “ลำบากไท่เฟยแล้ว ตัวเองก็ยังรักษาร่างกายอยู่ ไม่ต้องเข้าครัวบ่อยๆ หรอก ฝ่าบาททราบเข้าจะเป็นห่วงไท่เฟยอีก”
แม่นมไช่ถอนใจ “ข้าก็บอกไปแล้วเช่นกัน แต่ไท่เฟยไม่ฟังเลย เว่ยกงกงก็ทราบดีว่าทายาทไท่เฟยก็เหลือแค่ฝ่าบาทกับองค์หญิงหนิงอันสองคน องค์หญิงหนิงอันแต่งงานจากไปไกล ข้างกายไท่เฟยก็เหลือแค่ฝ่าบาทแล้ว แบบนี้จะไม่ให้นางไม่ใส่ใจฝ่าบาทได้อย่างไรกันล่ะ เมื่อก่อนไท่เฟยพักอยู่นอกวัง ไม่เป็นตัวของตัวเอง ยามนี้ในเมื่อย้ายกลับมาแล้ว เช่นนั้นก็คิดอยากจะชดเชยให้แก่ฝ่าบาทในหลายปีมานี้”
เว่ยกงกงก็ถอนใจตาม “แม้จะพูดเช่นนั้นก็เถอะ เจ้าเองก็ช่วยเกลี้ยกล่อมไท่เฟยอีกแรงด้วยก็แล้วกัน”
แม่นมไช่ขานรับ “ข้าทราบ ข้าจะทำแน่นอน เว่ยกงกงรีบเอาน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวไปให้ฝ่าบาทดีกว่า ข้าไม่กวนเว่ยกงกงแล้ว ทางไท่เฟยยังรอข้าไปรับใช้อยู่”
เว่ยกงกงพยักหน้า “แม่นมไช่เดินทางงปลอดภัย”
“อ๊ะ เกือบลืมไปแหน่ะ” แม่นมไช่เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ย้อนกลับมา นางล้วงเอาถุงเงินออกจากแขนเสื้อกว้างส่งให้เว่ยกงกง
เว่ยกงกงรีบยกมือห้ามไว้ “เอามาทำอะไรรึ!”
แม่นมไช่เอ่ย “น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากไท่เฟย เว่ยกงกงรับไว้ก็พอ”
เว่ยกงกงรีบปฏิเสธไม่หยุด “ข้าจะรับเงินของไท่เฟยไว้ได้อย่างไร”
แม่นมไช่ฝืนยัดมันใส่อกเขา “รับไว้เถอะ หากไม่รับไว้ ข้ากลับไปแล้วจะรายงานไท่เฟยอย่างไร!”
พอแม่นมไช่กลับไปแล้ว เว่ยกงกงก็หิ้วกล่องอาหารไปที่ห้องบรรทมของฝ่าบาท
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงถือน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวไปให้ฝ่าบาทแล้ว ทว่ายามนี้…
คำพูดที่หมอเทวดาน้อยย้ำเตือนแวบเข้ามาในหัว เขาก็พลันลังเลขึ้นมา
“ข้าลองชิมดูดีหรือไม่นะ ลองพิษดู”
เว่ยกงกงตักน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวมาช้อนหนึ่ง แล้วชิมดูคำหนึ่ง เขาพร้อมยอมตายโดยไม่ยี่หระใดๆ ทั้งสิ้น
พักต่อมาเขาก็ลูบหน้าอกตัวเองไปมา
เขายังไม่ตาย ไม่มีพิษ
น้ำแกงเห็ดหูหนูขาวนี่คงจะเอามาให้ฝ่าบาทเสวยกระมัง
เขาเดินไปสองสามก้าวก็ทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง สุดท้ายก็ไปห้องครัวเล็กเปลี่ยนเป็นน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวที่ทางตำหนักฮว๋าชิงตุ๋นให้ฝ่าบาท
กู้เจียวตรวจให้จิ้งไท่เฟย ซ้ำยังไม่เก็บเงินค่ารักษา ฮ่องเต้จึงให้เว่ยกงกงเอาแบบฝึกคัดลายมือของพระองค์ที่ทรงเขียนเองไปให้กู้เจียวในวันรุ่งขึ้นถือเป็นการตอบแทน
ลายมือของหมอเทวดาน้อยไม่ค่อยจะเจริญตานัก ฮ่องเต้จึงเขียนแบบฝึกคัดลายมือตลอดทั้งคืน ให้หมอเทวดาน้อยคัดลอกตาม ทั้งยังประทับตราราชลัญจกรของฮ่องเต้ลงไปบนนั้นด้วย
สิ่งนี้ล้ำค่าเสียยิ่งกว่าพู่กันส่วนพระองค์มากโขทีเดียว ฮ่องเต้คิดว่าหมอเทวดาน้อยต้องชอบแน่ๆ
ผลปรากฏว่าเมื่อหมอเทวดาน้อยเห็นแบบฝึกหัดนั้นแล้ว ใบหน้าพลันทะมึนขึ้นทันที
ฮ่องเต้มีความเคียดแค้นอะไรกับนางหรือไม่น่ะ
นางก็แค่ชักสีหน้าใส่พระองค์เท่านั้นเอง ต้องแก้แค้นนางเช่นนี้เลยรึ
กู้เจียวทึ้งหัวน้อยๆ ด้วยความหงุดหงิด กำปั้นทุบลงบนแบบฝึกหัด
เว่ยกงกงตกอกตกใจยกใหญ่
“ท่านพี่! พวกเรากลับมาแล้ว!”
เป็นเสียงของกู้เสี่ยวซุ่น
กู้เจียวข่มอารมณ์ไว้ทันที นางลุกขึ้นเดินไปทางหน้าประตู
กู้เสี่ยวซุ่นหิ้วข้าวของห่อน้อยใหญ่กระโดดลงมาจากรถม้า กู้เหยี่ยนก็กระโดดตามเช่นกัน
ถูกต้องแล้วล่ะ ยามนี้เขากระโดดได้แล้ว
นี่เป็นรถม้าคันใหม่ที่ท่านปู่ซื้อมา คนขับรถเป็นองครักษ์ลับของกู้เหยี่ยน
ด้านหลังรถม้าของทั้งสองคนนั้นยังมีรถม้าตามมาด้วยอีกคันหนึ่ง ดูๆ แล้วไม่คุ้นตาเลย
ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีขาวอมเทาลงมาจากรถม้า จากนั้นก็เลิกม่านขึ้นประคองสตรีในชุดกระโปรงรัดเอวสีขาวลงจากรถม้า
หญิงผู้นี้กิริยาท่าทางสง่างาม ดูอ่อนหวานยิ่งนัก สองมืองามดุจหยกสลัก
เสื้อผ้าอาภรณ์นางกลับไม่ได้หรูหรา บนศีรษะมีเพียงทรงผมเรียบง่าย เครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวคือปิ่นไม้
นางสวมผ้าคลุมหน้าไว้ เผยแค่หน้าผากเกลี้ยงเกลาเอิบอิ่มและแววตาสงบนิ่งแต่เปี่ยมไปด้วยไหวพริบ
“นี่คือท่านอาจารย์กับอาจารย์แม่” กู้เหยี่ยนบอกกับกู้เจียว