บทที่ 444 บีบบังคับให้ตอบคำถาม

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 444 บีบบังคับให้ตอบคำถาม

บทที่ 444 บีบบังคับให้ตอบคำถาม

ในค่ำคืนที่อากาศเย็นราวกับน้ำแข็ง เหงื่อเย็น ๆ กลับไหลอาบใบหน้าของหลินซือ เสียงจากข้างหลังของเด็กสาวได้เงียบลง แต่ในสมองของนางมีเรื่องให้คิดจนสับสนไปหมด เนื้อหาของเรื่องเล่าผีที่อ่านมาก่อนหน้านี้ผุดขึ้นในใจทันที สายลมเย็นพัดผ่าน ทำให้หลินซืออดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

“พี่สาว” เสียงอันแผ่วเบาของเด็กน้อยดังขึ้น

บรรยากาศบริเวณรอบด้านนิ่งสงบ จนได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของหลินซือ เด็กสาวหลับตาแล้วเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ไม่ได้เรียกข้า ไม่ได้เรียกข้า มีเพียงแค่ข้าคนเดียวที่ข้ามถนน กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา ท่านรีบไปหาศัตรูคู่อาฆาตของท่านเสียเถิด”

ใครจะไปคิดว่าเสียงนั่นไม่ได้เพียงแต่ไม่หายไป แต่กลับเข้าใกล้มากขึ้น และดังข้างหูของหลินซือ “พี่หลินซือเป็นอะไรไป?”

พี่อาซือ? ผีตนนี้รู้จักข้าหรือ? มากไปกว่านั้นเสียงนี้ยังดูคุ้นเคยเล็กน้อย

หลินซือลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เด็กสาวตกตะลึงเมื่อจู่ ๆ พบว่าด้านหน้าของตนคือองค์รัชทายาท

“ฝ่าบาท!”

หลินซือถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “เหตุใดพระองค์จึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะเพคะ? โดยเฉพาะมาแอบเดินตามหลังหม่อมฉันเงียบ ๆ ไม่พูดจาซักคำเช่นนี้ หม่อมฉันตกใจนะเพคะ”

“ข้าไม่ได้แอบตามนะ” องค์รัชทายาทเม้มปาก “ข้าเพียงแค่อยากจะมาหาพี่อาซือ ข้าเห็นเจ้าออกมาจากตำหนักเฟิงหมิง ดังนั้นข้าจึงตามขึ้นมา ตอนอยู่ที่หน้าประตูข้าก็เรียกเจ้า แต่เจ้าไม่ได้สนใจข้า”

เมื่อเห็นใบหน้าขาวอันอ่อนโยนขององค์รัชทายาทมุ่ยขึ้นมา หลินซือก็รู้สึกว่าตนนั้นราวกับว่าทำอะไรผิดจริง ๆ จึงรีบกล่าวอธิบายขึ้น “เวลานั้นตำหนักเฟิงหมิงเสียงดังและมากไปด้วยผู้คน ข้าเลยไม่ได้ยิน ไม่ได้คิดที่จะไม่สนใจพระองค์หรอกเพคะ”

การแสดงออกขององค์รัชทายาทจึงดีขึ้นมาเล็กน้อย เขาอดที่จะก้าวไปจับมือของหลินซือไม่ได้ เด็กชายเอ่ยเหตุผลที่มีอยู่อย่างมากมาย “พี่อาซือต้องไปชมดวงจันทร์กับข้าเป็นเป็นการไถ่โทษ”

หลินซือคาดการดูว่ามารดาของตนคงจะอยู่ในงานเลี้ยงอีกเป็นเวลานาน อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะปฏิเสธองค์รัชทายาทอย่างไร จึงทำได้แค่เพียงตกปากรับคำ

เพียงแต่ว่าวันนี้สวรรค์ไม่ได้เป็นใจ ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดแม้แต่ดวงดาวซักดวงก็มองไม่เห็น คงไม่ต้องพูดถึงดวงจันทร์ ทั้งสองเดินอยู่ในสวนหลวงภายใต้เงามืดที่มองไม่เห็นวิวทิวทัศน์ จนหลินซือถูกยุงกัดอยู่สองสามครั้ง

“ฝ่าบาท ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ข้าควรจะกลับได้แล้วเพคะ” หลินซือดูสีหน้าขององค์รัชทายาท เด็กสาวเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง

องค์รัชทายาทหยุดฝีเท้าลง พระองค์จ้องมองอาซือด้วยแววตาที่กล้ำกลืน

หลินซือสบตากับองค์รัชทายาท ทันใดนั้นก็รู้สึกแปลกเล็กน้อย เด็กสาวรู้สึกว่าแววตาทั้งหมดของฝ่าบาทนั้นไม่เหมือนกับแววตาของเด็กเลย

หลินซือรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาในใจจนนางเผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

เวลาเพียงครู่เดียว องค์รัชทายาทก็กลับไปสู่ท่าทางไร้เดียงสาเช่นก่อนหน้านี้ในทันที พระองค์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้เลย พี่อาซือ เจ้ารีบกลับเถอะ”

หลินซือถอนหายใจด้วยความโล่งอก เด็กสาวต้องการจะส่งตัวฝ่าบาทให้กับคนในวัง แต่กลับเห็นว่าด้านหลังของพระองค์นั้นไม่มีใครสักคน

“ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์จึงมาคนเดียว ข้าหลวงข้างกายล่ะเพคะ?”

เดิมทีหลินซือคิดว่าองค์รัชทายาทต้องการจะไปที่งานเลี้ยง ตนเองเพียงแค่เดินไปส่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็ส่งตัวให้กับคนในวัง

แต่ว่าตอนนี้ก็ผ่านไปแล้วสองเค่อ ยังไม่มีใครสักคนมาเลย อาซือรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

องค์รัชทายาทมองดูทางซ้ายขวา ดึงอาซือให้ย่อตัวลงแล้วเข้าไปเอ่ยข้างหูของเด็กสาว “พี่อาซือ ข้าแอบออกมาหาเจ้า”

“เช่นนี้ได้อย่างไร? องค์จักรพรรดิจะไม่ลงโทษหรือเพคะ?” สีหน้าของหลินซือเปลี่ยนไปทันที กล่าวขึ้นอย่างรีบร้อน

องค์รัชทายาทมองดูหลินซือด้วยความน้อยใจ เด็กชายเอ่ยขึ้นเบา ๆ “แต่ว่าข้าอยากเจอเจ้านะ ถ้าเสด็จพ่อประสงค์จะลงโทษข้า ก็ทำโทษเลย อย่างไรก็ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่แล้ว”

เมื่อเห็นท่าทางไร้เดียงสาขององค์รัชทายาท หลินซือจึงได้ถอนหายใจออกมา ก้มลงมองเขาแล้วกล่าวขึ้นอย่างนุ่มนวล “ฝ่าบาท ท่านคือเลือดเนื้อเชื้อไขขององค์จักรพรรดิ ไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้ ในวังมีขุนนางมากมายของต้าเยี่ยน แต่ท่านออกมาเล่นเช่นนี้แล้วมันสมควรหรือไม่เพคะ?”

“ข้ารู้ดีว่าเช่นนี้มันไม่เหมาะสม แต่ข้าไม่ได้อยากจะพบกับพวกเขา เพียงแค่อยากจะพบเจ้าเท่านั้น” องค์รัชทายาททำท่าทางราวกับเด็กที่ไม่ได้ลูกกวาด

หลินซือหมดคำพูดในทันที องค์รัชทายาทจึงกล่าวขึ้นต่อ “งานเลี้ยงในวันไหว้พระจันทร์นี้แต่เดิมเสด็จพ่อไม่ได้มีความต้องการที่จะจัดขึ้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ข้าจะขอให้จัดขึ้นมา เพียงเพราะว่าข้าอยากจะดูดวงจันทร์กับเจ้า ถ้าภูเขาไม่มาหาข้า ข้าก็จะไปหาภูเขาเอง!”

เมื่อได้ยินองค์รัชทายาทกล่าวเช่นนี้ หลินซือนึกถึงตอนที่อยู่ที่ประตูพระราชวังเจี่ยงเถิงยังกล่าวอีกว่างานเลี้ยงในเทศกาลไหว้พระจันทร์เกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาท แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับนาง

องค์รัชทายาทมองดูหลินซือที่เงียบงัน จู่ ๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เลยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “เจ้าชอบงานเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ไหม?”

หลินซือไม่ชอบมาก ๆ แต่เมื่อเห็นแววตาที่น่าสงสารของอีกฝั่ง จึงได้เพียงตอบกลับว่า “ชอบ”

“เช่นกันก็ดี” องค์รัชทายาทไม่สนใจว่าคำพูดนั้นจะจริงหรือเท็จ เพียงแค่ต้องการให้หลินซือชอบ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ได้ทีขี่แพะไล่ เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นแล้วพี่อาซืออยากจะเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทหรือไม่?”

หลินซือยิ้ม ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะไม่ยอมแพ้ในเรื่องนี้ เมื่อนึกถึงคำเตือนของเจี่ยงเถิงก่อนหน้านี้ นางก็จริงจังและพูดอย่างเคร่งขรึม “ฝ่าบาท ข้าโตกว่าท่านมาก ไม่สามารถเป็นพระชายาของท่านได้เพคะ”

“ข้าไม่สน!”

ดวงตากลมโตของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา จับหลินซือไว้ราวกับกลัวว่านางจะหนีไป “ข้าชอบเจ้า พี่อาซือ ถ้าข้าไปขอเสด็จพ่อ เขาต้องเห็นด้วยแน่ ๆ”

แต่ว่าข้าไม่เห็นด้วย

หลินซือครุ่นคิดอย่างจนปัญญา

โชคดีที่บรรยากาศสุดแสนจะอึดอัดนี้อยู่ได้ไม่นาน เหยาซูที่มาถึงทันเวลาได้ช่วยหลินซือซึ่งอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้

เหยาซูรีบจัดการกับผู้คนในตำหนักเฟิงหมิงเสร็จ จึงรีบไปที่สถานที่นัดกับหลินซือไว้ แต่กลับไม่เห็นใคร ดังนั้นจึงต้องเดินกลับมาอีกทางเพื่อตามหาลูกสาว

เมื่อตอนที่ผ่านสวนหลวงก็ได้ยินเสียงคนพูดขึ้นมาจากไกล ๆ เหยาซูจึงเดินมาเพื่อดูว่าใช่หลินซือหรือไม่

คิดไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงก็ได้ยินองค์รัชทายาทถามบุตรสาวว่าจะยินยอมเป็นพระชายาของเขาหรือไม่

มากไปกว่านั้น ในตอนที่ตนมา ดูเหมือนว่าจะทำให้คนที่แอบฟังอยู่อีกด้านหนึ่งตกใจเช่นกัน

ด้วยสายตาของเหยาซู นางสามารถเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าคนที่จากไปอย่างเร่งรีบคือเจี่ยงเถิงที่พบกันที่ประตูวัง

“ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์จึงมาอยู่ตรงนี้เพคะ?”

เหยาซูแสร้งทำเป็นประหลาดใจ

หลินซือกลัวว่าเขาจะพูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าเหยาซูอีกครั้ง ดังนั้นเด็กสาวจึงรีบกล่าวขึ้น “พวกเราบังเอิญพบกัน ข้ากำลังจะส่งฝ่าบาทกลับเจ้าค่ะ”

เหยาซูขมวดคิ้ว นางยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี ตอนหม่อมฉันกำลังมาก็เห็นคนอีกสองสามคนกำลังตามหาฝ่าบาท และยังคิดว่าเกิดเรื่องอะไรกับพระองค์เสียอีก ฝ่าบาท เสด็จกลับเถิดเพคะ ไม่เช่นนั้นองค์จักรพรรดิจะทรงเป็นกังวล”

เมื่อเห็นเหยาซูมา องค์รัชทายาทก็รู้ว่าวันนี้ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว จึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ข้ารู้แล้ว”

หลังทั้งสองคนส่งองค์รัชทายาทเสร็จ หลินซือก็ตบหน้าอกตนเองและถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เอ้อเป่า เจ้าอยากเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทหรือ?” เหยาซูพูดติดตลก

หลินซืออ้ำอึ้งเล็กน้อย หน้าของเด็กสาวแดงขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านแม่ ท่านได้ยินหมดเลยหรือเจ้าคะ?”

“ไม่ใช่ข้าคนเดียวที่ได้ยิน” เหยาซูยิ้มอย่างมีความหมายแฝง “ตอนที่ข้ามา ดูเหมือนว่าข้าจะเห็นเจี่ยงเถิง”

“เจี่ยงเถิง!”

หลินซือรู้สึกประหม่าในทันที เรื่องที่สนทนากับองค์รัชทายาทเมื่อครู่พลันปรากฏขึ้นในหัวของนางทันที จะไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม?

ก่อนหน้านี้เจี่ยงเถิงได้บอกกับตนเองว่าให้อยู่ห่างจากองค์รัชทายาท แต่คราวนี้เข้าเจอโดยบังเอิญ เขาคงไม่คิดว่าตนอยากเป็นพระชายาจริง ๆ ใช่ไหม

เมื่อเห็นหลินซือมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เหยาซูก็ได้หยุดความคิดเล่น ๆ ของนางแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “เอ้อเป่า เจ้ามีความรู้สึกเช่นไรต่อพวกเขา?”

……………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

รู้ใจตัวเองได้แล้วน้าน้องอาซือ แม่กับพี่เถิงเป็นสักขีพยานแล้วน้า

ไหหม่า(海馬)