ตอนที่ 464

My Disciples Are All Villains

พู่กันพิพากษาที่ส่องแสงสีทองเริ่มส่องแสงจางลง

หลิวกู่ได้ปล่อยพู่กันให้กลับไปยังที่ที่มันได้จากมา

ดอกบัวสีทองที่ส่องแสงสว่างถูกตัดขาด ดอกบัวที่ร่วงหล่นค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ ในตอนนี้เหลือเพียงร่างอวตารเท่านั้น กลีบดอกบัวทั้งแปดค่อยๆ จางหายไป มันได้กลายเป็นเจ็ดกลีบ, หกกลีบ, ห้ากลีบ…จนหายไปอย่างสิ้นเชิง ทุกสิ่งทุกอย่างหวนคืนสู่จุดเริ่มต้น

หลิวกู่รู้สึกได้ถึงความร้อนแรงจากจุดตันเถียนของตัวเอง พลังที่ถูกกระตุ้นได้หวนคืนสู่ร่างอวตารอีกครั้ง

ใบหน้าของหลิวกู่เต็มไปด้วยเหงื่อ ตัวเขานั่งลงก่อนที่จะรีบนั่งทำสมาธิ ยาที่ได้กินไปก่อนหน้านี้ได้ผล และเพราะแบบนั้นหลิวกู่จึงรู้สึกสบายใจ ในที่สุดหลายปีแห่งความพยายามของตัวเขาก็ออกดอกผล

พลังลมปราณที่แปรปรวนเริ่มกลับมาสู่สภาวะสมดุลอีกครั้ง รอยยิ้มจางๆ ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิวกู่ “มีใครอยู่ไหม?”

ผู้ส่งสารอีกหลายคนรีบเดินเข้ามา “ฝ่าบาท”

“ต่อจากนี้ข้าจะเก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

สิ่งที่หลิวกู่พูดหมายความว่าตัวเขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่สำคัญอีก

เหล่าผู้รับใช้ของจักรพรรดิไม่ได้แปลกใจอะไร ยังไงซะจักรพรรดิของพวกเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องของการปกครองแต่แรก โดยปกติแล้วจักรพรรดิก็เลือกที่จะมอบหมายงานให้กับขุนนางในพระราชวังเข้าดูแลแทน

ในมุมมองของหลิวกู่ การที่รักษาความแข็งแกร่งขององครักษ์และเหล่าแม่ทัพที่คอยดูแลกองทัพทั้งสามที่ปกป้องเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ไว้ได้ถือเป็นที่สุด ด้วยกำลังที่มีรวมกับเขตแดนพลังจะทำให้ตัวเขาไม่มีวันพ่ายแพ้

ตอนนี้ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ตัวเขาจะต้องฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบให้เร็วที่สุด ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นเมืองหลวงแห่งนี้จะต้องตกอยู่ในมือของคนนอกไม่ช้าก็เร็ว

แม้ว่าจะไม่มีผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจากศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่วิธีการแยกดอกบัวทองคำจะช่วยให้สำนักอื่นๆ พัฒนาความแข็งแกร่งที่มีได้อย่างแน่นอน

ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิ หลิวกู่จะต้องยืนอยู่บนจุดสูงสุดไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม

ณ ศาลาตะวันออกของศาลาปีศาจลอยฟ้า

หลังจากที่ยืนยันได้ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงบนภาพวาดอันเก่าแก่ ลู่โจวก็ได้นั่งลงก่อนที่จะเริ่มทำสมาธิ ตัวเขาได้เหลือบมองเมนูระบบ

ชื่อ: ลู่โจว

เผ่าพันธุ์: มนุษย์

พลังวรยุทธ: ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์

แต้มบุญ: 21,000

อวตาร: อวตารร้อยวิถี ดอกบัวหนึ่งกลีบ

อายุขัย: 12,750 วัน

ของที่มี: การ์ดการโจมตีของเพชฌฆาต x2, การ์ดประกันชีวิต x62, การ์ดผนึกกักขัง x4, วิซซาร์ด, การ์ดรักษาฉุกเฉิน x2, การ์ดกรงผนึกกักขังโฉมใหม่ x2, การ์ดรักษาฉุกเฉินโฉมใหม่ x2, การ์ดคลื่นพลังสายฟ้า x1, การ์ดปลอมแปลงพลัง x4, การ์ดพลังชีวิต x53

อาวุธ: อาวุธนิรนาม, กระบี่ตัดชีวา, แส้หยกหางม้า, พัดขนนกยูง

เคล็ดวิชา: เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์

การไปเยี่ยมเยียนสามสำนักทำให้ลู่โจวได้รับแต้มบุญกว่า 20,000 แต้ม สิ่งนี้ทำให้ตัวเขารู้สึกประหลาดใจ

แน่นอนว่าแต้มบุญส่วนใหญ่มาจากการสรรเสริญของเหล่าสาวกจากทั้งสามสำนัก แต่น่าเสียดายว่าการจะได้รับแต้มบุญจากการสรรเสริญมีเงื่อนไขของมัน มิฉะนั้นตัวเขาก็คงจะเดินไปรอบๆ เพื่อข่มขู่สำนักใหญ่อื่นๆ เพียงเพื่ออยากจะได้การสรรเสริญ

ลู่โจวทำจิตใจให้ปลอดโปร่งก่อนที่จะเริ่มจับฉลากนำโชค 10 ครั้งติด ผลของการจับฉลากทำให้ตัวเขาได้รับค่าความโชคดีเหมือนกันหมด ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ทำสมาธิทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อ

แม้ว่าจะไม่ได้รับรางวัลใหญ่อะไรเลยแต่ตัวเขาก็รู้สึกชินชากับมันไปซะแล้ว

ลู่โจวยังจำได้ว่าตัวเขามีการ์ดพลังชีวิต 53 ใบ

ในตอนนี้ผู้คนจากโลกภายนอกรู้เรื่องที่ตัวเขามีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบแล้ว เพราะแบบนั้นมันคงจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าหากตัวเขาจะยืดอายุขัยตัวเองอีกหน่อย ลู่โจวที่คิดแบบนั้นได้ใช้การ์ดพลังชีวิตทั้ง 10 ใบไป

พลังชีวิตที่อยู่โดยรอบเริ่มรวมตัวกันรอบลู่โจว

พรึ๊บ!

เกิดพายุรุนแรงขึ้นมา มันเป็นพายุที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต

ลู่โจวรู้สึกว่าครั้งนี้ผลของการ์ดมีมากกว่าครั้งก่อน

‘นี่มัน?’ ความรู้สึกในการใช้การ์ดพลังชีวิตมันแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้

เมื่อพลังชีวิตไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของลู่โจว ร่างกายของเขาก็สัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนชั่วครู่ก่อนที่จะหายจางไป ลู่โจวที่ใช้การ์ดสำเร็จเหลือบดูที่เมนูอีกครั้ง

อายุขัย: 16,750 วัน

“การ์ดพลังชีวิตสามารถเพิ่มอายุขัยได้ 400 วันอย่างงั้นเหรอ?”

นี่คือสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของเขาเกิดความปั่นป่วนอย่างงั้นสินะ?

จำนวนวันที่เพิ่มมากขึ้นอยู่เหนือความคาดหมายของลู่โจว

ถ้าหากเป็นแบบนี้การที่จะเก็บการ์ดพลังชีวิตเอาไว้ใช้ในอนาคตคงจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า! การสะสมการ์ดพลังชีวิตเอาไว้อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเขาได้

ลู่โจวไม่ได้จดจ่ออยู่กับเรื่องนี้นานมากนัก ตัวเขาหลับตาก่อนที่จะทำสมาธิต่อไป

ณ ศาลาทิศใต้

เล้งลั่วเล่าถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เพิ่งจะเกิดขึ้นให้กับซูยู่ชูได้ฟัง

ซูยู่ชูที่ได้ฟังเรื่องทุกอย่างตกใจพอสมควร

“ชายผู้ที่ดูเหมือนสุภาพบุรุษคนนั้นก็คือยอดฝีมือผู้ใช้ดาบ ดาบปีศาจอย่างงั้นเหรอ?”

“ถูกแล้ว”

“…”

“ไม่จำเป็นจะต้องกังวลอะไร ท่านศิษย์คนที่สองเป็นคนที่ซื่อตรงและใจกว้าง เขาไม่ถือสาอะไรง่ายๆ หรอก”

“ในตอนที่ข้าเก็บตัวเองอยู่บนหุบเขา ในตอนนั้นข้าพอจะรู้ข่าวคราวมาจากสำนักเจินชางมาบ้าง ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของดาบปีศาจมาก่อน เพียงแค่ชื่อของเขาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนทั้งใต้หล้าตกอยู่ในความหวาดกลัว รายชื่อต้องห้ามเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยดาบปีศาจ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ทั่วทั้งยุทธภพต้องสับสนวุ่นวาย” ซูยู่ชูหันไปหาเล้งลั่วก่อนที่จะพูดต่อ “ขอบคุณที่บอกข้าเรื่องนี้ ผู้อาวุโสเล้ง”

“ด้วยความยินดี”

ในตอนนั้นเองพลังอันรุนแรงที่อยู่ด้านนอกศาลาทางตะวันออกได้ดึงดูดความสนใจจากทั้งสองคน

“อย่าไปสนใจเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่อย่าได้ไปศาลาทางตะวันออก” เล้งลั่วพูดขึ้นมาก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป

ซูยู่ชูพยักหน้าตอบรับก่อนที่จะหันไปทางศาลาตะวันออก ‘ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน นี่จะต้องเป็นสิ่งที่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบฝึกฝนตัวเองแน่ ทางที่ดีข้าไม่ควรเข้าไปสอดจะดีกว่า’

ในบ่ายของวันถัดมา

ณ สำนักแก่นแท้แห่งหยางบนหุบเขาหยาง

ที่ตรงนั้นเองมีกลุ่มควันได้ลอยมาจากลานแห่งความทรงจำ

ที่หุบเขาหยางถูกปกคลุมไปด้วยม่านพลังสีฟ้าจางๆ ทั่วทุกหย่อมหญ้า

สาวกของสำนักแก่นแท้แห่งหยางในตอนนี้กำลังรวมตัวกัน ณ ลานหน้าสำนักในขณะที่พวกเขากำลังฝึกดาบ

ในตอนนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น มันกำลังเคลื่อนที่มาหาเหล่าสาวก

“ศัตรูบุก! เตรียมพร้อมรับมือซะ!”

สาวกทั้งหลายชักดาบออกมาในขณะที่เงยหน้ามองไปบนฟ้า

โดยปกติแล้วใครก็ตามที่บุกมาโดยไม่มีการบอกกล่าวมักจะเป็นการบุกโจมตีเสมอ

สำนักแก่นแท้แห่งหยานรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาอันสำคัญ การที่ถูกศัตรูบุกทำให้ทั่วทั้งสำนักตกอยู่ในความวุ่นวาย

หลังจากที่เรื่องของยาช่วยชีวิตถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชน ผู้ฝึกยุทธมากมายหลายคนเกินกว่าจะนับได้ก็มาเยี่ยมเยียนที่แห่งนี้ ถ้าหากพวกเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากยอดฝีมือจากสำนักเผิงไหล ลำพังเหล่าสาวกจากสำนักแก่นแท้แห่งหยางที่มีความสามารถในการปรุงยาเพียงอย่างเดียวคงไม่อาจปกป้องสำนักของตัวเองเอาไว้ได้

“เรียกยอดฝีมือของสำนักเผิงไหลมาซะ”

“ครับ!”

ในขณะที่พูด ในตอนนั้นเองผู้บุกรุกก็เดินทางมาถึงด้านนอกม่านพลังของสำนักแก่นแท้แห่งหยางเป็นที่เรียบร้อย

จากระยะที่ไกลแบบนี้สาวกของสำนักแก่นแท้แห่งหยางไม่อาจจะมองเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนได้ แต่ใครก็ตามที่มาถึงหุบเขาหยางได้ไม่ควรที่จะถูกมองข้าม

“ใครกัน?” สาวกคนหนึ่งได้ถามออกมาในขณะที่เอาดาบชี้ไปยังผู้มาเยือน

“ข้าชื่อยู่ฉางตง” ยู่ฉางตงตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา

ทันทีที่ยู่ฉางตงเปิดเผยชื่อของตัวเอง เหล่าสาวกทั้งหลายต่างก็ตื่นตกใจ

“มีคนปลอมตัวเป็นสาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้ากี่ครั้งแล้วกัน?” ใครบางคนพึมพำขึ้น

“มาจัดการกับเจ้านั่นอย่างสันติกันเถอะ ตราบใดที่พวกเราปฏิเสธที่จะให้ยา เจ้านั่นจะไปทำอะไรได้”

ทุกๆ คนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

ยู่ฉางตงสังเกตเห็นม่านพลังชัดเจน

ถ้าหากยู่ฉางตงยังมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบอยู่ ตัวเขาก็คงจะสามารถฝ่าม่านพลังแบบนี้ไปด้วยดาบยืนยาวและความรู้ในเรื่องของอักษรโบราณได้ แต่ในตอนนี้ตัวเขามีพลังอวตารดอกบัวสามกลีบเท่านั้น

“สหาย เจ้าจะพิสูจน์ตัวตนได้ยังไง?” สาวกผู้นำเป็นผู้ที่ฉลาดกว่าใคร ด้วยวิธีการนี้การสนทนาจะช่วยซื้อเวลาต่อไปได้

“หวู่ต้าหยง เจ้าสำนักแก่นแท้แห่งหยางจะยืนยันตัวตนข้าได้เอง”

“ถ้าหากข้าไม่ได้เห็นความทุ่มเทของเขาในการปรุงยาเมื่อหลายปีก่อน หวู่ต้าหยงก็คงจะเป็นหนึ่งในรายชื่อต้องห้ามของข้าไปแล้ว” ยู่ฉางตงได้ลงจากบี่เอี๊ยนก่อนที่จะลอยขึ้นไปบนอากาศ

ตัวเขาได้พูดต่อด้วยท่าทีสบายๆ “ข้าไม่ได้มีความประสงค์ร้ายอะไร ทุกสิ่งที่ข้าพูดถือเป็นความเมตตา”

“…”