แม้ระยะทางจากชานเมืองเข้ามายังพระราชวังในเมืองหลวงไม่ได้ไกลนัก แต่การเดินทางครั้งนี้กลับทรหดเอาเรื่อง ตามธรรมเนียมแล้ว เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงจะปล่อยให้เหล่าขุนนางกลับไปพักผ่อนที่เรือนของตัวเอง แต่ทว่าครั้งนี้กลับถูกสั่งให้รออยู่ที่ตำหนักก่อน
โดยปกติแล้วตำหนักเฟิ่งเทียนจะเปิดใช้งานเฉพาะยามที่มีพิธีสำคัญเท่านั้น แต่ในยามนี้กลับมีผู้คนอออยู่ด้านในจนแน่นขนัด
เหล่าขุนนางต่างกระซิบกระซาบกันด้วยความสงสัย
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“จะไปรู้รึ ข้าว่าเมื่อวานต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ เป็นไปได้ไหมว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการตายของอันจวิ้นอ๋อง”
“ต่อให้คดีของอันจวิ้นอ๋องจะเป็นเรื่องใหญ่ก็ตามที แต่อย่างไรแล้วก็ไม่น่าให้พวกเรามาที่ตำหนักเฟิ่งเทียน หรือว่าคนที่สั่งองครักษ์จินอู๋ให้ฆาตกรรมอันจวิ้นอ๋องจะเป็นคนใดคนหนึ่งในพวกเรา”
“ก็เป็นไปได้ เพราะมิฉะนั้นแล้วฝ่าบาทคงไม่รั้งพวกเราไว้เช่นนี้”
“แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดถึงไม่ซักพยานตั้งแต่เมื่อคืนวานเล่า”
เจินซื่อเฉิงยืนรวมอยู่ในกลุ่มเหล่าขุนนาง เขาหลับตานิ่ง ไม่พูดไม่จา
“ใต้เท้าเจิน เหตุใดองครักษ์จินอู๋นายนั้นถึงฆ่าอันจวิ้นอ๋อง มีคนบงการอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่”
แม้ถูกต้อนถามเช่นนั้น แต่ก็ยังไม่มีคำใดหลุดจากปากของเจินซื่อเฉิง หลายคนที่เห็นเหตุการณ์นั้นต่างสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์
เวลาผันผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจทราบได้ ขณะที่เหล่าขุนนางกำลังร้อนใจ ในที่สุดจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ปรากฏตัว
สิ่งที่ทำให้เหล่าขุนนางตกตะลึงคือ ฮองเฮาและฮ่องเต้จูงมือกันเดินเข้ามา
การที่ทั้งสองมาปรากฏในตำหนักเฟิ่งเทียนเช่นนี้ ยิ่งทำให้สถานการณ์ยากเกินจะคาดเดา
เสียงจอแจเงียบลงทันใด ทั้งตำหนักเงียบเชียบไร้สรรพเสียง
สายตาดุดันของจิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดไปที่เหล่าขุนนาง
ทั้งหมดรีบก้มโค้งถวายความเคารพ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ดึงฮองเฮาให้นั่งลง แล้วหันไปสั่งพานไห่ “อ่านฎีกาเถิด”
ทั้งหมดตั้งใจฟัง
การประกาศฎีกาต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ยิ่งหวนนึกถึงการตายของอันจวิ้นอ๋องแล้ว ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงลางร้าย
เสียงแหลมเล็กของพานไห่ดังก้องไปทั่วตำหนัก “ราชโองการจากองค์จักรพรรดิ ความว่า องค์รัชทายาทประพฤติตนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่สนใจคำตักเตือน โหดร้าย ไม่อยู่ในหลักทำนองคลองธรรม ยุยงส่งเสริมให้จังหู่ หน่วยองครักษ์จินอู๋สังหารอันจวิ้นอ๋อง ทำให้องค์จักรพรรดิเสื่อมเสียพระเกียรติ…ใต้หล้ามิอาจยอมรับบุคคลเช่นนี้ จึงมีราชโองการให้ปลดออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท และเปลี่ยนให้ไปดำรงตำแหน่งจิ้งอ๋อง…”
เสียงอ่านฎีกาของพานไห่ประหนึ่งเสียงฟ้าผ่าลงกลางศีรษะของเหล่าขุนนาง พวกเขาทรุดตัวลงกับพื้น
ผ่านไปเนิ่นนานกว่าเหล่าขุนนางจะได้สติกลับคืนมา นี่…นี่มันราชโองการปลดไท่จื่อ!
หยางเต๋อกวง เสนาบดีกรมพิธีการทรุดตัวลงโอดครวญอย่างขมขื่น “ฝ่าบาท มิได้นะพ่ะย่ะค่ะ…”
คนที่เหลือรีบกราบกราน “ขอฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรปรายตามองเหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น นัยน์ตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า
หากมีทางให้เดินย้อนกลับ วันนี้เขาจะมาอยู่ในจุดนี้หรือ
“ขอฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ขุนนางกล่าวร้องเสียงดังซ้ำสอง
หากคิดว่าพวกเขาถูกใจไท่จื่อ ก็คงตาบอดเต็มที เพราะสำหรับไท่จื่อแล้ว ไม่มีแม้แต่ความประทับใจเลยสักนิด
เพียงแต่องค์รัชทายาทถือเป็นรากฐานสำคัญของประเทศชาติ มิใช่นึกอยากจะปลดก็ปลดได้ มิหนำซ้ำร้าย หากประเทศเพื่อนบ้านที่ได้ทราบข่าวนี้แล้ว อาจเกิดความคิดชั่วร้ายหมายจะโจมตีก็เป็นได้
มีประวัติศาสตร์ให้เห็นดาษดื่นคือ เมื่อไรก็ตามที่ประเทศขาดผู้สืบทอดบัลลังก์มักนำไปสู่สงคราม และตามมาด้วยการนองเลือด นี่คือสิ่งที่เหล่าขุนนางผู้เสวยสุขอยู่บนความสงบร่มเย็นมาอย่างยาวนานไม่อยากพบเจอเป็นที่สุด
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วฟังพร้อมมุมปากหงิกงอ
ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนอะไรกัน นี่เขาไตร่ตรองมาหัวแทบแตกอยู่แล้ว!
ไม่ว่าเหล่าขุนนางจะครวญครางอ้อนวอนเพียงใด จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ยังคงเย็นชานิ่งเงียบ
“องค์ชายละเมิดกฎหมาย เขากระทำความผิดเช่นเดียวกับสามัญชน การที่อ้ายชิงมากราบกรานอ้อนวอนแทนเจ้าตัวเช่นนี้ คงมิได้เห็นความสำคัญของกฎหมายบ้านเมืองแล้วกระมัง” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยืดหลังขึ้นพร้อมกล่าวเสียงเข้ม “ข้าตัดสินใจแล้ว อ้ายชิงทั้งหลายไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวให้มากความ แยกย้ายไปได้แล้ว”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท…” หยางเต๋อกวง เสนาบดีกรมพิธีการกระวีกระวาดตามไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมามอง
หยางเต๋อกวงบื้อใบ้ไปชั่วขณะก่อนจะร้องห่มร้องไห้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
พานไห่สับเท้าเดินตามฮ่องเต้และฮองเฮาไปติดๆ
ระหว่างทางที่เดินไปวังหลัง ฝีเท้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้กลับชะลอความเร็วลง เขาถามพานไห่ “พาตัวจิ้งอ๋องไปที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์แล้วรึ”
ไท่จื่อถูกปลดลงจากตำแหน่ง และถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นจิ้งอ๋อง หมายความว่าอดีตไท่จื่อและคนในครอบครัวจะต้องย้ายออกจากตำหนักบูรพา และเข้าไปอยู่ที่จวนอ๋องหลังใหม่
ฮ่องเต้จัดเตรียมที่อยู่อาศัยใหม่ให้แก่อดีตไท่จื่อคือ จิ้งหยวน แต่ถึงกระนั้นก่อนที่จะย้ายเข้าไปที่จิ้งหยวนได้ ตามกฎระเบียบแล้วอดีตไท่จื่อจำต้องถูกขังอยู่ที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์เสียก่อน
ฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์รับผิดชอบเกี่ยวกับบันทึกของเหล่าราชวงศ์ ความผิดทั้งหมดจะถูกจดจารจารึกเก็บไว้ ฉะนั้นเรื่องใหญ่หลวงอย่างการปลดไท่จื่อจึงขาดเสียไม่ได้
“กราบทูลฝ่าบาท กำลังส่งตัวจิ้งอ๋องไปที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองไปที่ฮองเฮาแวบหนึ่งก่อนจะถามเสียงเบา “กำชับไปแล้วใช่หรือไม่”
สำหรับบุตรชายที่ประพฤติตัวผิดทำนองคลองธรรม ความรู้สึกเดียวของจิ่งหมิงฮ่องเต้ในขณะนี้คือความเดือดดาลแค้นเคือง เขาไม่อยากแม้แต่จะชายตามอง
แค่เห็นหน้าลูกชายตัวดี เขาก็แทบจะเอาแท่นฝนหมึกทุบกะโหลกให้รู้แล้วรู้รอด
พานไห่รีบตอบ “ฝ่าบาทวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมนำพระกระแสได้ถ่ายทอดเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สาเหตุในการปลดไท่จื่อคือยุยงให้อีกคนสังหารอันจวิ้นอ๋อง ในจุดนี้สอดคล้องกับชื่อเสียงของไท่จื่อ
ไท่จื่อทราบดีว่าตนทำผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่อย่างไรก็ยังดีกว่าการตกอยู่ในข้อหาลอบมีสัมพันธ์สวาทกับสนมในวัง แม้ข้อกล่าวหาที่ได้รับจะไม่น่ายินดีนัก แต่อย่างน้อยๆ เขาก็ยังอยู่ในสถานะของท่านอ๋องได้อย่างสุขสงบ หากเขามิได้โง่เง่าจนเกินไป ก็คงยอมจำนนแต่โดยดี
ในสายตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้ เขามองว่าบุตรชายคนนี้ช่างโง่ดักดานเสียนี่กระไร เพราะหากไม่แล้วจะปล่อยให้ตำแหน่งไท่จื่อหลุดมือไปได้อย่างไร
“เจ้าเป็นคนไปส่งจิ้งอ๋องด้วยตัวเองก็แล้วกัน” จู่ๆ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีบุตรชายอีกคนที่ยังนั่งหงอยอยู่ในฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์ “แล้วก็ปล่อยเยี่ยนอ๋องกลับจวนไปได้แล้ว”
แค่คิดว่าบุตรชายสองคนเข้าไปอยู่ในนั้นด้วยกันก็ยุ่งยิ่ง
พานไห่ก้มโค้งให้ฮ่องเต้ก่อนจะไปตามรับสั่ง
……
ณ ตำหนักบูรพา มีเสียงร่ำไห้ระงมไปทั่ว
เสียงนั้นเป็นของเหล่านางกำนัลในวังบูรพา ซึ่งก็คือบรรดาสนมของไท่จื่อผสมกับเสียงร้องกระจองอแงของเด็กน้อย
แต่ทว่าพระชายาในไท่จื่อที่ถูกเปลี่ยนสถานะมาเป็นพระชายาจิ้งอ๋องกลับสงบนิ่งจนน่าประหลาดใจ
มีเพียงรอบดวงตาเท่านั้นที่เป็นวงสีแดง นางในตอนนี้กำลังจูงมือเด็กชายที่มีอายุราวหกถึงเจ็ดขวบปี
เด็กชายคือบุตรชายของหยางซื่อ และเป็นโอรสคนเดียวของไท่จื่อ เดิมมีสถานะเป็นไท่ซุน ทว่าบัดนี้ก็ถูกถอดยศตามพระบิดาไปด้วย
เสียงร้องไห้ของไท่จื่อดังสนั่นกว่าเสียงของนางกำนัลเป็นไหนๆ โดยเฉพาะเมื่อพานไห่พาคนมาเร่งเร้า เสียงสะอึกสะอื้นก็ถาโถมหนักข้อ ไม่มีวี่แววของความกระดากอายเลยสักนิด
พานไห่หันมองที่พราะชายาจิ้งอ๋องด้วยความกระอักกระอ่วน
พระชายาจึงจูงมือบุตรชายเข้าไปหาผู้เป็นพระสวามีพลางกล่าว “ไท่จื่อเสด็จก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันจะพาโอรสไปรอพระองค์ที่จิ้งหยวน”
“ไม่ ข้าไม่อยากไปอยู่ที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือน!”จิ้งอ๋องจ้องเขม็งไปที่พระชายาก่อนจะเข้าไปดึงแขนเสื้อพานไห่พร้อมอ้อนวอน “พานกงกง เจ้าช่วยไปบอกเสด็จพ่อที บอกว่าข้าสำนึกผิดแล้ว ขอเสด็จพ่อโปรดยกเลิกคำสั่งย้ายข้าออกจากตงกงที...”
พระชายาจิ้งอ๋องขบริมฝีปาก ในใจของนางมีแต่ความรันทดสลดใจระคนปนมากับเสียงหัวเราะเยาะ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าอารมณ์ของนางในขณะนั้นมีความสะใจปนอยู่ด้วย
เศษสวะเช่นนี้ อนาคตจะกลับมาเป็นเจ้าของแผ่นดินต้าโจวได้อย่างไร
ไม่แน่ เรื่องที่ถูกปลดจากตำแหน่งอาจเป็นเรื่องดี เพราะอย่างน้อยก็ไม่เป็นอันตรายต่อไพร่ฟ้าประชาชน และอนาคตจะได้มิต้องก่อเรื่องจนบุตรชายต้องพลอยเสี่ยงชีวิตไปด้วย
ชีวิตในจิ้งหยวนอาจคุ้มค่าแก่การรอคอยยิ่งกว่าชีวิตในตงกงก็เป็นได้
เมื่อพระชายาจิ้งอ๋องคิดตกเช่นนั้นแล้ว แววตาของนางก็มีประกายฉายวับวาบ
ไท่จื่อยังร้องไห่โอดครวญต่อ
พานไห่ถอนหายใจพลางบอก “ท่านอ๋อง ฎีกาปลดองค์รัชทายาทถูกประกาศ ณ ที่ตำหนักเฟิ่งเทียนแล้ว อย่างไรเสีย เชิญพระองค์รีบเสด็จไปที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์ก่อนจะดีกว่า เพราะถ้าเสด็จเร็วก็ได้ออกเร็วนะพ่ะย่ะค่ะ…”
ในวินาทีนั้น ไท่จื่อในสภาพคล้ายกับมะเขือยาวที่ถูกแช่แข็งจึงเดินตามพานไห่ไปยังที่คุมขัง