ณ ฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์ อวี้จิ่นในขณะนี้กำลังว้าวุ่นอย่างยิ่งยวด
แม้ปากจะพร่ำบอกว่า อีกเดี๋ยวคงได้ออกไป แต่พอยิ่งอยู่ไป ยิ่งรู้สึกไม่เข้าที
ไม่มีทั้งเนื้อหมูนึ่ง ไม่มีเอ้อร์หนิว และที่สำคัญคือไม่มีภรรยาอยู่ด้วย!
ขันทีผู้หนึ่งเดินเข้ามาโดยมีเจ้าหน้าที่เดินนำหน้า เขาส่งยิ้มพลางบอก “น้อมคารวะท่านอ๋อง”
อวี้จิ่นค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง
ใบหน้าคุ้นตา คล้ายว่าจะเป็นขันทีที่คอยติดตามพานไห่
อวี้จิ่นตอบรับแผ่วเบา
ขันทียังคงส่งยิ้ม “ท่านอ๋อง กระหม่อมได้รับคำสั่งจากพานกงกงให้มาพาพระองค์ออกไปพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นพลันได้สติ ทว่าใบหน้าไม่ได้สื่ออารมณ์ใด “พาข้าออกไป?”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เสด็จกลับจวนเยี่ยนอ๋องได้แล้ว มิจำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้แต่ยืนตาค้างอยู่ข้างๆ หันไปมองขันทีตัดสลับกับอวี้จิ่นด้วยความรู้สึกคล้ายกับความฝัน
เมื่อคืนก่อนเขายังคิดกับตัวเองอยู่เลยว่าคนเช่นเยี่ยนอ๋องน่าจะถูกขังอย่างน้อยๆ ก็ปีครึ่ง แต่เหตุไฉนวันนี้ถึงได้ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระแล้วเล่า
เยี่ยนอ๋องชกไท่จื่อจนถูกส่งมาขังที่นี่ ไท่จื่อบาดเจ็บบอบช้ำ แต่แล้วเหตุใดโทษทัณฑ์ถึงได้สถานเบาเพียงนี้
เจ้าหน้าที่ผู้น่าสงสารยังไม่ทราบว่าไท่จื่อถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว และต้องย้ายไปอยู่ในที่ที่เล็กลง ในใจของเขาถึงได้งุ่นง่านไม่เป็นสุขเช่นนี้
อวี้จิ่นค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นออกจากอารมณ์จนเกลี้ยงเกลาแล้วจึงพยักหน้าเล็กน้อย “ลำบากเจ้าแล้ว”
ครั้นคิดถึงเสียงร้องครวญครางของไท่จื่อที่ถูกปลด เทียบกับเยี่ยนอ๋องที่มิได้สะทกสะท้านในยามนี้แล้ว ขันทีผู้นั้นก็ลอบส่ายศีรษะเบาๆ
อดีตไท่จื่อผู้ที่เคยเป็นองค์รัชทายาทของประเทศยังอารมณ์มั่นคงไม่สู้เยี่ยนอ๋องที่เติบโตมาจากนอกวังเสียด้วยซ้ำ
หากว่ากันตามจริงแล้ว การปลดไท่จื่อประเภทนี้อาจมิใช่เรื่องเลวร้ายนัก…
มีความคิดน่าหวาดกลัวเกิดขึ้นในหัวของขันที ครั้นรู้ตัวก็รีบรวบรวมสติกลับมาทันใด เขาส่งยิ้มให้เยี่ยนอ๋องพร้อมเดินนำไป
อวี้จิ่นเดินผ่านเจ้าหน้าที่นายนั้นก่อนจะชะงักฝีเท้า ชายหนุ่มกล่าวเสียงเบา “หลายวันมานี้ ลำบากเจ้าแล้วล่ะ”
เจ้าหน้าที่นายนั้นปาดเหงื่อ รีบตอบทันควัน “ท่านอ๋องเกรงใจเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ โอกาสหน้าเชิญใหม่พ่ะย่ะค่ะ…”
ครั้นสบเข้ากับสายตาดุดันของขันที เจ้าหน้าที่นายนั้นก็รีบเงียบปากทันใด พร้อมยกมือขึ้นตีปากตนเอง “ปากข้านี่ พอตื่นเต้นหน่อยก็พล่ามอะไรไม่เข้าเรื่อง ขอท่านอ๋องโปรดประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”
สำหรับเจ้าหน้าที่ที่มิได้มีความสลักสำคัญแล้ว อวี้จิ่นเพียงแต่ไม่พอใจที่เขาไม่สามารถทำเนื้อหมูนึ่งมาถวาย แต่ชายหนุ่มมิได้เก็บมาใส่ใจ เขาเพียงแต่ผงกศีรษะแล้วก้าวเท้าเดินผ่านไป
เจ้าหน้าที่เดินตามไปส่ง
เดินไปได้ไม่ไกลนัก ด้านหน้าก็มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น คนที่เดินอยู่ตรงกลางคืออดีตไท่จื่อ
ทั้งสองฝ่ายเห็นกันและกัน
อวี้จิ่นมองอดีตไท่จื่อพร้อมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “พี่รอง นี่มัน…”
อดีตไท่จื่อผงะไปก่อนจะพุ่งปราดเข้ามา
อวี้จิ่นคว้ามืออดีตไท่จื่อที่ลอยลิ่วมาตรงหน้า ชายหนุ่มขมวดคิ้วพร้อมถาม “แม้พี่รองจะเป็นไท่จื่อก็ตามที แต่ก็ใช่ว่าจะต่อยใครไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้ได้จริงไหม”
อดีตไท่จื่อจ้องเขม็งพร้อมหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่
พานไห่ที่ยืนอยู่ข้างๆ กล่าวเตือน “ท่านอ๋อง จิ้งอ๋องมิได้เป็นไท่จื่อแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“จิ้งอ๋อง?” ใบหน้าของอวี้จิ่นตะลึงงัน
ไท่จื่อที่รู้ว่าตนกำลังถูกเหยียดหยามโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ สายตาที่เบิ่งจ้องไปที่อวี้จิ่นคมปลาบไม่ต่างอะไรจากคมมีด
อวี้จิ่นฉงนหนักกว่าเก่า “ไท่จื่อถูกปลด แล้วเกี่ยวอันใดกับข้าเล่า”
พานไห่ดึงมุมปาก
เยี่ยนอ๋องผู้นี้กล้ากล่าวทุกสิ่งที่ใจคิดเลยจริงเชียว
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้มิได้มีความเกี่ยวข้องใดกับท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นชำเลืองมองอดีตไท่จื่อแวบหนึ่งพลางคลี่ยิ้ม “ไม่เกี่ยวอันใดกับข้าก็ดี ข้าก็นึกว่าข้าเป็นคนทำเสียอีก เพราะพี่รองในตอนนี้คล้ายจะเข่นฆ่าข้าให้ตายอย่างไรอย่างนั้น”
“เจ้าเจ็ด ไอ้คนสารเลว วันนั้นเจ้าต่อยข้า แล้วยังมีหน้า…” ครั้นสบเข้ากับสายตาของอวี้จิ่นแล้ว อดีตไท่จื่อก็สั่นสะท้านเอาเสียดื้อๆ จนไม่กล้ากล่าวต่อ
วันนั้นที่เขาถูกเจ้าเจ็ดต่อย เขาคิดว่าเจ้าเจ็ดคงถึงคราวเข้าตาจนแล้วเป็นแน่ ไม่คิดเลยว่า ตอนนั้นกลับกลายเป็นว่าเจ้าเจ็ดกำเริบเสิบสานถึงขั้นแอบพูดกับเขาในขณะที่ไม่มีผู้ใดทันสังเกตว่า “พี่รองคงจะชะล่าใจ สายลมย่อมมีวันเปลี่ยนทิศ วันนี้ข้าเข้ามาอยู่ที่นี่ มิรู้ว่าวันไหนจะเป็นตาของพี่รอง…”
ในตอนนั้นเขาเพียงแต่คิดว่าคำพูดในวันนั้นเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่นึกไม่ฝันว่าจะกลายเป็นคำทำนายเสียได้
“พี่รอง อย่างไรพวกเราก็เป็นอารยชน จะมาลงไม้ลงมือเข่นฆ่ากันเองคงไม่ดี อีกอย่าง พี่คงไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆ หรอก อย่างไรเสียก็สงบสติใจไว้หน่อยจะดีกว่า”
พานไห่ฉวยจังหวะโน้มน้าวอดีตไท่จื่อ “ท่านอ๋อง ที่เยี่ยนอ๋องตรัสมีเหตุผลอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ พระองค์รีบเสด็จเข้าไปก่อนจะดีกว่า ตอนนี้ฝ่าบาทยังคงกริ้วไม่หาย หากมีเรื่องไปถึงพระเนตรพระกรรณ เกรงว่า…”
อดีตไท่จื่อขบฟันแน่นด้วยใบหน้าถมึงทึง พร้อมสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
พานไห่ผงกศีรษะให้อวี้จิ่นเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินตามไป
อวี้จิ่นกระดกมุมปากคลี่ยิ้ม เขาเดินไปพร้อมถามขันทีข้างๆ “กงกงรู้หรือไม่ว่าเหตุใดไท่จื่อถึงถูกปลด”
ขันทีลังเลชั่วอึดใจก่อนจะกระซิบ “จิ้งอ๋องยุให้องครักษ์จินอู๋สังหารอันจวิ้นอ๋องที่ภูเขาชุ่ยหลัวพ่ะย่ะค่ะ…”
ปฏิกิริยาแรกของอวี้จิ่นคือไม่เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น
เพราะหากไท่จื่อที่แสนโง่เง่าคิดหาวิธีกำจัดศัตรูอย่างแนบเนียน ไฉนถึงได้โง่ถึงขั้นทำตำแหน่งไท่จื่อหลุดมือไป
เรื่องนี้ต้องมีเส้นสนกลในซ่อนอยู่เป็นแน่
แน่นอนว่า อวี้จิ่นมิได้ใส่ใจเรื่องพวกนั้น เขาสนใจแต่เรื่องกลับไปอยู่กับภรรยาที่จวนเท่านั้น
ครั้นก้าวขาออกจากประตูใหญ่ของฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์แล้ว ลมเย็นเฉียบหอบหิ้วไอชื้นเข้าปะทะร่างของชายหนุ่ม แต่ทว่าอวี้จิ่นในขณะนี้กลับรู้สึกสดชื่นเกินคณนา ประหนึ่งว่าลมนี้ได้พัดพาเคราะห์ร้ายตลอดหลายวันที่ผ่านมาไปจนสิ้น
อวี้จิ่นจากไปได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่ที่หลบอยู่ในมุมมืดก็ยกมือขึ้นตบเข้าที่แก้มของตัวเองสองครั้งสองคราเป็นการทำโทษ
เพียะๆ ในเมื่อลั่นวาจาไปแล้วก็ต้องทำตาม มิฉะนั้นแล้วชีวิตคงได้ถึงคราวซวยเข้าสักวัน
แม่เจ้า คราวหน้าคราวหลังหากเป็นเรื่องเยี่ยนอ๋อง อย่าได้ปากพล่อยเช่นนั้นอีกเป็นอันขาด
ก่อนจะถึงช่วงเวลาเที่ยงวัน จวนเยี่ยนอ๋องทั้งหลังถูกอาบด้วยแสงแดดยามเช้าของฤดูหนาว ผนังสีชาดสะท้อนประกายสีส้มอ่อน กองหิมะบนหลังคาค่อยๆ ละลายตัว เหลือไว้แต่หิมะที่ห่อหุ้มอยู่บนกิ่งไม้ มันสั่นไหวไปตามสายลมคล้ายปุยหลิวที่ลอยเกลื่อนกล่นอยู่ในอากาศในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
อวลไอของเนื้อหมูนึ่งลอยฟุ้งออกมาจากห้องครัว
“เหนียงเหนียง ท่านอ๋องกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านอ๋องกลับมาแล้ว” อาหมานวิ่งพรวดเข้ามาในห้องพร้อมกล่าวรายงานด้วยความตื่นเต้น
ในตอนนั้น เจียงซื่อกำลังนั่งสนทนาอยู่กับโต้วซูหว่าน ครั้นได้ยินแววตาก็เปล่งประกายขึ้นทันที
นางไม่ทันเดินออกไปถึงหน้าประตูจวน ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งก็ปรากฏกายขึ้นเสียก่อน
ไม่ได้พบหน้ากันนานหลายวัน เสื้อผ้าอาภรณ์ของอวี้จิ่นยับยู่ยี่ ผมเผ้าก็มิได้เรียบร้อยเป็นทรงเหมือนยามที่อยู่ในจวน แต่ถึงกระนั้นแววตายังคงสุกใสประหนึ่งแสงจันทร์ ทันทีที่เห็นเจียงซื่อก็ยิ่งเปล่งประกายวาววามขึ้นไปอีก
“อาซื่อ ข้ากลับมาแล้ว” อวี้จิ่นก้าวอย่างปราดเปรียวเข้าไปหา พร้อมคว้าตัวเจียงซื่อมาไว้ในอ้อมกอด
โต้วซูหว่านที่อยู่ข้างๆ หน้าแดงระเรื่อ
ในสายตาของนาง ความใกล้ชิดฉันสามีภรรยาทำให้นางรู้สึกขัดเขิน
เจียงซื่อที่หน้าหนาอยู่พอตัวไม่อาจห้ามใจตัวเอง นางเขย่งเท้าจุมพิตเข้าที่แก้มของชายหนุ่ม พร้อมส่งยิ้มพลางบอก “เข้าไปคุยกันข้างในเถิด”
“ดี” อวี้จิ่นโอบนางเดินเข้าไปด้านใน
โต้วซูหว่านยังคงยืนอยู่ที่เดิม นางย่อตัวแสดงความเคารพอวี้จิ่น “ท่านอ๋องเสด็จกลับมาก็ดีแล้วเพคะ หลายวันมานี้พระชายาเฝ้าคะนึงหาพระองค์ไม่ห่าง หม่อมฉันมีธุระต้องไปจัดการที่ห้องของตัวเองเสียหน่อย ดังนั้นขอตัวก่อนนะเพคะ ไว้เดี๋ยวหม่อมฉันจะมาน้อมทักพระองค์และพระชายาในภายหลังเพคะ”
ในตอนนั้นอวี้จิ่นเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าโต้วซูหว่านยืนอยู่ที่นั่นด้วย
แค่กๆ เกือบเหมารวมคนในครอบครัวเป็นสาวรับใช้ไปแล้วซี
อวี้จิ่นปฏิบัติต่อคนรู้งานอย่างโต้วซูหว่านอย่างดี เขาพยักหน้าเล็กน้อยพลางบอก “เจ้ากรุณามาอยู่เป็นเพื่อนพระชายาตลอดหลายวันมานี้ ลำบากเจ้าแล้วล่ะ”
โต้วซูหว่านค้อมตัวแล้วก็รีบเดินจากไป
ขัดขวางความสุขของคู่สามีภรรยาหาใช่ธุระของสตรีดีๆ พึงกระทำ
ทันทีที่เข้าไปในห้อง อวี้จิ่นก็อุ้มเจียงซื่อมาไว้ในอ้อมกอดพร้อมหอมแก้มอีกฟอดใหญ่
“อาซื่อ คิดถึงข้าไหม”
เจียงซื่อตีชายหนุ่มเบาๆ “ซนเหลือเกิน ระวังเด็กในท้องด้วย ปล่อยข้าลงเถิด”
ทันใดนั้น มีเสียงเคาะประตูดังสนั่น