บทที่ 436 พลังของสำนักซ่อนเร้น บุตรแห่งสวรรค์เผ่าพันธุ์มนุษย์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 436 พลังของสำนักซ่อนเร้น บุตรแห่งสวรรค์เผ่าพันธุ์มนุษย์…

เมื่อไล่อ่านจดหมาย ก็พบว่าส่วนใหญ่กำลังต่อสู้กัน

เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่รู้จะสู้กับวังสวรรค์ไปอีกนานแค่ไหน

“ระยะนี้ช่างน่าเบื่อเสียจริง แม้แต่ศัตรูก็ไม่ได้สาปแช่ง เฮ้อ เจ้าแดนต้องห้ามอันธการคงต้องเกษียณตัวเองเสียแล้ว”

หานเจวี๋ยถอนหายใจ จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้น

เขาเตรียมตัวออกไปแสดงธรรม เพื่อเพิ่มพูนพลังมรรคให้แก่ศิษย์ของเขา

ไม่ทันรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปกว่าสิบเจ็ดปีอย่างรวดเร็ว

[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุ 7,000 ปีแล้ว ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง เข้าสู่เคราะห์ทันที ต่อสู้กับอริยะ จะได้รับโอกาสยกระดับระบบหนึ่งครั้ง ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ได้รับสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง]

[สอง ฝึกบำเพ็ญอย่างสงบ หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ได้รับของล้ำค่าฟ้าดินแบบสุ่มหนึ่งชิ้น]

‘เจ็ดพันปี อีกไม่นานก็จะอายุหมื่นปีแล้ว’

หานเจวี๋ยรู้สึกทอดถอนใจอย่างยิ่ง ไม่คิดเลยว่าตนเองจะแก่ถึงเพียงนี้

เขาเลือกตัวเลือกที่สองอย่างเงียบเชียบ

[ท่านเลือกฝึกบำเพ็ญอย่างสงบ ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ได้รับของล้ำค่าฟ้าดินแบบสุ่มหนึ่งชิ้น]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับปฐมศิลาฟ้าบุพกาล]

[ปฐมศิลาฟ้าบุพกาล: ปฐมศิลาก้อนแรกเมื่อครั้งเบิกฟ้าบุพกาล สามารถก่อกำเนิดปราณฟ้าบุพกาลได้ไม่สิ้นสุด มีพลังนำโชค โชคลาภกำเนิดสรรพสิ่ง]

ดวงตาของหานเจวี๋ยสดใสขึ้นมาในทันใด

‘ของดีเลยนะเนี่ย! เจ้าสิ่งนี้มีค่าสูงส่งยิ่งกว่าต้นฝูซังเสียอีก!’

หานเจวี๋ยหยิบปฐมศิลาฟ้าบุพกาลออกมาทันที หินก้อนนี้ดูเหมือนหยดน้ำ รูปร่างของมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ขุ่นมัว และส่องแสงเปล่งปลั่งดุจแก้วใส

หลังจากครุ่นคิดอย่างดีแล้ว หานเจวี๋ยก็นำปฐมศิลาฟ้าบุพกาลใส่เข้าไปในส่วนลึกวิญญาณ ท่ามกลางโลกดารา

เขาอยากจะทำให้โลกดาราแห่งนี้กลายเป็นโลกแห่งมรรคาสวรรค์ของจริง

นอกจากนี้ ปราณฟ้าบุพกาลที่ปฐมศิลาฟ้าบุพกาลสร้างขึ้นอาจจะช่วยวิวัฒนาการปราณเทพมารได้

หานเจวี๋ยหวังว่าจะสามารถหล่อเลี้ยงเทพมารฟ้าบุพกาลได้

หากโลกดาราของเขาพัฒนากลายเป็นแดนเซียนได้ เช่นนั้นเขาก็ต้องเป็นมรรคาสวรรค์น่ะสิ?

ถ้ามีผู้ใดกลายเป็นอริยะ เขาก็ต้องอยู่เหนือมรรคาสวรรค์ไม่ใช่หรือ?

แผนนี้ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่หานเจวี๋ยกลับรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะลอง

เดิมทีกายดาราอนธการเป็นคุณสมบัติกายที่แข็งแกร่งเหนือกว่าฟ้าบุพกาล แม้แต่เทพมารฟ้าบุพกาลก็ไม่อาจเทียบเคียงเขาได้

ยิ่งมีปฐมศิลาฟ้าบุพกาล ทุกอย่างก็ย่อมเป็นไปได้!

หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อ ในขณะเดียวกันก็สำรวจปฐมศิลาฟ้าบุพกาลไปด้วย

ปฐมศิลาฟ้าบุพกาลแผ่ปราณฟ้าบุพกาลออกมาไม่หยุด แต่ส่วนใหญ่จะถูกปราณเทพมารสามตนดูดซับเอาไว้ ไม่นานหานเจวี๋ยก็พบว่าปฐมศิลาฟ้าบุพกาลหยุดผลิตปราณฟ้าบุพกาลออกมา เหตุผลเนื่องมาจากความต้องการในการดูดซับของปราณเทพมารนั้นมากเกินไป ปฐมศิลาฟ้าบุพกาลไม่อาจรับไหว

หานเจวี๋ยไม่มีทางเลือก จึงต้องย้ายปฐมศิลาฟ้าบุพกาลออกไป

ผ่านไปไม่นาน ปฐมศิลาฟ้าบุพกาลก็เริ่มผลิตปราณฟ้าบุพกาลออกมาอีกครั้ง

‘ดูท่าทางแล้วคงต้องรอต่อไปอีกสักระยะ’

หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

เดิมทีกายดาราอนธการของเขาก็สามารถก่อกำเนิดปราณฟ้าบุพกาลได้ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือกำเนิดปราณอนธการที่ระดับสูงกว่าได้ เพียงแต่ค่อนข้างเชื่องช้ากว่านั่นเอง

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าเหตุผลหลักเป็นเพราะตบะของเขาไม่สูงพอ

เมื่อใดที่เขากลายเป็นอริยะ ความเร็วในการก่อกำเนิดปราณอนธการจะรวดเร็วอย่างน่าสะพรึงกลัวแน่นอน

‘สรุปก็คืออนาคตของข้าจะไร้ซึ่งขีดจำกัด’

หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างลำพองใจ ด้วยทรัพยากรที่เขามีอยู่ในตอนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องออกไปขวนขวายหาโอกาสวาสนาใดๆ

เขาฝึกบำเพ็ญอย่างสงบต่อไปเช่นนี้ ก็สามารถเติบโตขึ้นเป็นบุคคลที่แม้แต่อริยะก็ไม่อาจจินตนาการถึงได้!

“อดทนไว้ เจ้าจะแข็งแกร่งที่สุดไม่ช้าก็เร็ว!”

หานเจวี๋ยปลุกใจตัวเองอย่างเงียบๆ

ไม่นานเขาก็เข้าสู่สภาวะบำเพ็ญอีกครั้ง

หานเจวี๋ยให้ความสนใจกับวันเวลาที่ผันผ่านไปตลอด ทว่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นกลับลืมเลือนไปเสียแล้ว

พวกเขาถึงขั้นลืมมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตที่ดำเนินอยู่ในโลกภายนอกไปเสียสิ้น

นอกจากการบำเพ็ญแล้ว หัวข้อหลักในยามปกติของพวกเขาคือการแข่งขัน

หลังจากอู้เต้าเจี้ยนหยั่งรู้ ฉู่ซื่อเหรินก็เลื่อนขั้นกลายเป็นระดับจักรพรรดิ

โจวหมิงเยวี่ยจึงกำลังตกที่นั่งลำบาก ก่อนหน้านี้ฉู่ซื่อเหรินเหนือกว่าเขาเพียงระดับเดียว ตอนนี้เมื่ออีกฝ่ายใช้พลังเต็มที่ เขาก็ไล่ตามไม่ทันเสียแล้ว

ฉู่ซื่อเหรินเลิกพร่ำบอกให้คนอื่นๆ หยุดฝึกบำเพ็ญ นอกจากเผยแพร่ความรู้ที่ตนประสบมาให้แก่ผู้อื่นแล้ว หัวข้อสนทนาส่วนมากก็วนเวียนอยู่กับมรรควิถี และวิธีการที่จะแข็งแกร่งขึ้น

นอกจากฉู่ซื่อเหริน พรสวรรค์ของเจียงอี้เองก็ปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเพิ่งจะทะลวงระดับอีกครั้ง และก้าวสู่ระดับจักรพรรดิเซียนสี่วัฏ

แม้จะประสบความสำเร็จในการทะลวงระดับ แต่เจียงอี้ก็ไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด เขายังคงรู้สึกร้อนใจอยู่เช่นเดิม

ลี่เหยาทะลวงระดับจักรพรรดิเซียนสามวัฏแล้ว!

ผู้หญิงคนนี้ชักจะแกร่งกล้าเกินไปแล้ว!

นอกจากตบะ พลังการต่อสู้ของนางก็แข็งแกร่งมากทีเดียว

เกือบทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าลี่เหยาคือหานเจวี๋ยฉบับผู้หญิง!

ที่สำคัญที่สุดคือการที่ลี่เหยาไม่ได้เป็นศิษย์ของหานเจวี๋ย และไม่เคยเรียกอีกฝ่ายว่านายท่าน ความสัมพันธ์ดังกล่าวจึงชวนให้ผู้คนคิดหนัก

สำนักซ่อนเร้นที่ได้รับอิทธิพลจากลี่เหยานั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศการตรากตรำบำเพ็ญอย่างดุเดือด

จอมปีศาจคุกรัตติกาลนั้นรู้สึกทุกข์ใจมากที่สุด ถูกคนรุ่นหลังไล่ตามมาติดๆ เช่นนี้ สถานะของเขาเริ่มไม่มั่นคงเสียแล้ว

แม้ว่าจะรู้สึกทุกข์ใจอย่างไรก็ไม่อาจทำอะไรได้ คุณสมบัติของเขาสู้คนพวกนี้ไม่ได้

นอกจากลี่เหยาแล้ว พลังของถูหลิงเอ๋อร์ และมู่หรงฉี่เองก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน

สองคนนี้ชอบอาศัยพลังต่อสู้ในการทะลวงระดับ รู้แจ้งในการต่อสู้ เป็นพวกบ้าเลือดแต่กำเนิด

คนต่อไปที่มีแนวโน้มที่จะพิสูจน์จักรพรรดิคือภูตน้ำเต้าฟ้าบุพกาลหานปา ความแข็งแกร่งของเขานำหน้าพี่น้องอีกเจ็ดคนไปไกล และกำลังมุ่งหน้าไปสู่การไต่ระดับพลังครั้งแรกในบรรดาศิษย์สำนักซ่อนเร้น

ตบะของเผ่าเอกาเรือนหมื่นคนก็เกือบจะก้าวไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งหมดอยู่ห่างจากระดับเซียนทองไท่อี่อีกไม่ไกล

กล่าวโดยรวมแล้ว ทุกคนในสำนักซ่อนเร้นต่างพอใจกับชีวิตในปัจจุบันของตน และตระหนักได้ถึงคุณประโยชน์ของการหมั่นบำเพ็ญ

ความแข็งแกร่งของสำนักซ่อนเร้นทั้งสำนักกำลังพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว

จอมปีศาจคุกรัตติกาลยังพูดติดตลกว่า หลังจากมหาเคราะห์สิ้นสุดลง หากสำนักซ่อนเร้นเข้าสู่แดนเซียน คงจะเป็นที่สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งใต้หล้า

วันเวลาเช่นนั้นผ่านพ้นไปอีกสามสิบปี

งานประลองประจำศตวรรษเพิ่งสิ้นสุดลง บางคนมีความสุข ส่วนบางคนก็เศร้าใจ

หานเจวี๋ยยังห่างไกลจากเซียนทองต้าหลัวระยะปลาย แต่เขาไม่เคยท้อแท้ อย่างไรเสียความเร็วของเขาก็ยังมากพออยู่ดี

เมื่อก้าวสู่ระดับต้าหลัวแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะสามารถทะลวงขอบเขตพลังเล็กๆ ได้ภายในหนึ่งพันปี

โอ้ ยังมีอยู่นี่นา หลี่เต้าคง!

ทว่าในช่วงของมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตนี้ หลี่เต้าคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยดวงชะตาอันยิ่งใหญ่

อยู่มาวันหนึ่ง

ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังหยอกเล่นกับดวงจิตประหลาด และเพลิดเพลินไปกับการนวดของมัน

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงการเรียกขานจากอาณาเขตฟ้าบุพกาล!

มีคนส่งโอกาสวาสนามาให้อีกแล้ว

หานเจวี๋ยนำจิตนึกคิดเดินทางเข้าไปอาณาเขตฟ้าบุพกาล

ภายในอาณาเขตฟ้าบุพกาลมีเพียงคนคนเดียวที่กำลังรอคอยหานเจวี๋ย นั่นคือจ้าวเซวียนหยวน

หานเจวี๋ยถามด้วยความประหลาดใจ “เต้าจื้อจุนเล่า”

จ้าวเซวียนหยวนตอบกลับ “พี่เต้าและโจวฝานได้รับโอกาสวาสนาครั้งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ ข้าจึงแยกทางกับพวกเขา ตอนนี้ทั้งสองกลับไปยังเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว”

หานเจวี๋ยหมดความตื่นเต้นไปชั่วขณะ

แม้ว่าเต้าจื้อจุนจะสร้างปัญหาให้กับเขา แต่ก็มีประโยชน์กับเขาอยู่บ้าง

แต่กับจ้าวเซวียนหยวน หานเจวี๋ยไม่สนิทสนมกับเขาเลยสักนิด

จ้าวเซวียนหยวนเห็นท่าทางหานเจวี๋ยดูหมดความสนใจ ก็รีบกล่าวขึ้น “ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้จะรบกวนท่าน ข้าเพียงแต่…”

‘ผู้อาวุโสหรือ? ก่อนหน้านี้เรียกสหายเต๋าอยู่เลยไม่ใช่หรืออย่างไร?’ หานเจวี๋ยพลันเกิดความระแวงขึ้นมาทันที

‘หรือว่าจะมีอริยะบงการอยู่เบื้องหลัง?’

ตอนนี้อริยะมรรคาสวรรค์กำลังหาทางติดต่อหานเจวี๋ยอยู่ ซึ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ จ้าวเซวียนหยวนก็เรียกหาเขา…

“ข้าอยากฝากตัวเป็นศิษย์สำนักท่าน!” จ้าวเซวียนหยวนรวบรวมความกล้าแล้วพูดออกไป

หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ใครบอกท่านว่าข้ามีสำนักเป็นของตนเอง”

“ก่อนหน้านี้ท่านบอกให้พี่เต้าไปที่นั่นไม่ใช่หรือ”

“ข้าก็พูดส่งเดชไปอย่างนั้นเอง ตบะของข้ายังเทียบกับท่านไม่ได้เลย”

“เป็นไปไม่ได้! ท่านทำให้ข้ารู้สึกถึงความลึกลับสุดหยั่ง สัญชาตญาณของข้าแม่นยำอย่างยิ่ง ไม่เคยมองคนผิดมาก่อน บางทีนี่อาจเป็นพรสวรรค์ของข้าก็เป็นได้”

จ้าวเซวียนหยวนจดจ้องหานเจวี๋ยไม่วางตา และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

หานเจวี๋ยไม่ได้ตอบรับในทันที

จ้าวเซวียนหยวนกล่าว “ข้าได้ยินมาจากพี่เต้าว่าท่านไม่ต้องการเข้าสู่เคราะห์ ขอท่านโปรดวางใจ ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านต้องสร้างผลกรรมพัวพันกับเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างแน่นอน”

………………………………………………..