บทที่ 437 จ้าวเซวียนหยวนเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น ต้องเป็นต้าหลัวให้ได้

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 437 จ้าวเซวียนหยวนเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น ต้องเป็นต้าหลัวให้ได้

เมื่อเผชิญกับคำขอของจ้าวเซวียนหยวน หานเจวี๋ยก็พลันเงียบไป ไม่ได้ตอบกลับอีกฝ่ายในทันที

ขณะเดียวกันนั้น ทั้งอาณาเขตฟ้าบุพกาลก็ตกอยู่ในความเงียบงันเช่นกัน

จ้าวเซวียนหยวนเห็นดังนั้นก็รู้สึกร้อนใจ

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน

หานเจวี๋ยกล่าว “ฝันไปเถอะ วัดของข้าคับแคบเกินกว่าจะรับรองสังฆราชเช่นท่าน ข้าไม่อยากดูแลท่านหลังจากผูกสัมพันธ์กับท่านแล้ว ศิษย์สำนักข้าล้วนแต่ตรากตรำฝึกบำเพ็ญ ตัดขาดเรื่องโลกีย์ มีเพียงใจใฝ่ทางมรรค ไม่ต่างอะไรจากภิกษุสงฆ์”

จู่ๆ จ้าวเซวียนหยวนก็กล่าวออกมาราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ “ท่านวางใจเถิด ข้าไม่ชิดใกล้สตรี ไม่ชมชอบการต่อสู้”

‘ไม่ชมชอบการต่อสู้?’ หานเจวี๋ยเกือบจะหลงเชื่อ

จ้าวเซวียนหยวนกัดฟันกล่าว “ผู้อาวุโส ให้โอกาสข้าสักครั้งเถิด ข้า…”

เขาเริ่มวิงวอนขอร้องหานเจวี๋ยด้วยท่าทางต่ำต้อย

‘ข้าอยากรู้ว่าจ้าวเซวียนหยวนมีแผนลับหรือมีอริยะบงการอยู่เบื้องหลังหรือไม่’ หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบเชียบ

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

‘จ้าวเซวียนหยวนคู่ควรกับอายุหนึ่งร้อยล้านปีเชียวหรือ หรือว่าเขาจะมีแผนลับใดอยู่จริงๆ?’

ดำเนินการ!

[ไม่มีแผนลับใดๆ และไม่มีอริยะคอยบงการอยู่เบื้องหลัง เขาบริสุทธิ์ใจ]

หานเจวี๋ยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ไม่มีอริยะอยู่เบื้องหลังก็แล้วไป

เมื่อลองคิดดูดีๆ ก็จริงดังว่า เขาและจ้าวเซวียนหยวนไม่เคยพบเจอกันมาก่อน ไม่มีผลกรรมต่อกัน เช่นนั้นแล้วอริยะจะคำนวณได้อย่างไร

ถึงกระนั้นหานเจวี๋ยก็ยังลังเล

คนผู้นี้ไม่มีความประทับใจในตัวเขาเลยด้วยซ้ำ จะยอมรับได้อย่างไร

หานเจวี๋ยถึงขั้นสงสัยว่าจ้าวเซวียนหยวนเป็นเพียงหุ่นเชิด เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ไร้อารมณ์ถึงเพียงนี้

จ้าวเซวียนหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ผู้อาวุโสยังกังวลใจเรื่องใดอยู่หรือขอรับ”

หานเจวี๋ยถาม “เจ้าไม่มีความรู้สึกหรืออย่างไร”

จ้าวเซวียนหยวนตะลึงงัน ‘หมายความว่าอย่างไร’

จ้าวเซวียนหยวนงุงงง แต่ก็ตอบไปตามตรง “มรรคจิตของข้าดุจสายน้ำ ตัดขาดจากเจ็ดอารมณ์หกกิเลสของปุถุชนจนสิ้นตั้งแต่ยังเล็ก นอกจากความรู้สึกประหม่ายามเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่ง และความรู้สึกอับจนหนทางแล้วนั้น ข้าก็ไม่เคยแม้แต่จะรู้สึกโกรธเคืองเลยขอรับ”

‘แบบนี้เองหรือ?’

ดูเหมือนจ้าวเซวียนหยวนจะคิดอะไรบางอย่างออก จึงกล่าวขึ้นอีก “หากผู้อาวุโสยอมรับข้า ข้าจะเชื่อฟังท่านโดยไม่มีข้อแม้ หากแม้พิสูจน์มหามรรคได้ ข้าก็จะอุทิศให้แก่ท่าน”

[จ้าวเซวียนหยวนเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 6 ดาว]

เมื่อเห็นข้อความที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เขาก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้

‘ครู่เดียวก็ขึ้นเป็น 6 ดาวเลยหรือ ไอ้เด็กนี่ไม่ธรรมดาเลย!’

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าคุณสมบัติของจ้าวเซวียนหยวนไม่ได้ย่ำแย่ พอจะยอมรับได้

“ก็ได้ ข้าจะมอบพลังวิเศษให้แก่ท่านหนึ่งอย่าง เมื่อท่านเรียนรู้แล้วจงเรียกข้า แล้วข้าจะไปรับท่าน”

หานเจวี๋ยถ่ายทอดวิชาอัญเชิญเทพให้แก่จ้าวเซวียนหยวน

ตั้งแต่มีโลกดารา หานเจวี๋ยก็ใช้วิชาอัญเชิญเทพเคลื่อนย้ายคนได้อย่างง่ายดาย

เขาไม่กลัวว่าจ้าวเซวียนหยวนจะแพร่งพรายเรื่องวิชาอัญเชิญเทพออกไป ถึงจะแพร่งพรายออกไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะแม้จะใช้วิชาอัญเชิญเทพแล้ว แต่ถ้าหากเขาไม่ยินยอม ใครก็อย่าหวังว่าจะเรียกเขาได้

คุณสมบัติของจ้าวเซวียนหยวนนั้นยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ไม่นานเขาก็สามารถเข้าใจในวิชาอัญเชิญเทพได้

“ถ้าท่านพร้อมแล้ว ก็เรียกข้าได้เลย” หานเจวี๋ยทิ้งคำพูดไว้ก่อนจะจากไป

จ้าวเซวียนหยวนคำนับลงไปกับพื้น ในใจเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง

‘ช่างเป็นพลังวิเศษที่เยี่ยมยอดจริงๆ! ผู้อาวุโสอย่างไรก็คือผู้อาวุโส!’

เขาเริ่มตั้งตารอคอยการพบกันครั้งต่อไป

เมื่อกลับมายังถ้ำเทวาฟ้าประทานแล้ว หานเจวี๋ยก็ฝึกบำเพ็ญต่อไป

ไม่กี่วันต่อมา

จ้าวเซวียนหยวนก็ใช้วิชาอัญเชิญเทพ

หานเจวี๋ยใช้ความสามารถวิวัฒนาการอย่างระมัดระวัง เขาถามว่ามีครึ่งอริยะหรือบุคคลที่แข็งแกร่งกว่าอยู่ใกล้กับจ้าวเซวียนหยวนหรือไม่ ซึ่งผลาญอายุขัยไปกว่าหนึ่งร้อยล้านปี

[มี]

‘มีอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ไปไม่ได้!’ หานเจวี๋ยเมินจ้าวเซวียนหยวนไปในทันที ไม่แม้แต่จะดูว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

ตราบใดที่มีอันตราย เขาย่อมไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง

ในเวลาต่อมา จ้าวเซวียนหยวนก็ใช้วิชาอัญเชิญเทพเป็นระยะๆ แต่หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ผลาญอายุขัยทีละหนึ่งร้อยล้านปีเพื่อสอบถามเสียทุกครั้ง

เจ็ดปีต่อมา

จ้าวเซวียนหยวนใช้วิชาอัญเชิญเทพอีกครั้ง ครั้งนี้หานเจวี๋ยสละอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปีเพื่อวิวัฒนาการดูอีกครั้ง

[ไม่มี]

เมื่อเห็นคำสองคำนี้ หานเจวี๋ยก็รู้สึกโล่งใจในที่สุด จึงก้าวเข้าไปในคลื่นวนสีดำ

ไม่นาน เขาก็มาถึงใจกลางพระราชวังอันสว่างไสว จ้าวเซวียนหยวนนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าคลื่นวนสีดำ

เมื่อเห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัว ความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวเซวียนหยวน

เขาคิดว่าครั้งนี้เขาก็คงล้มเหลวอีกครา

จ้าวเซวียนหยวนลุกขึ้นแล้วกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ผู้อาวุโส…”

ช่างเป็นชายหนุ่มรูปงามจริงๆ!

เดิมทีจ้าวเซวียนหยวนคิดว่าตัวเขาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่สุดในโลก แต่เมื่อมาอยู่เบื้องหน้าของหานเจวี๋ย ก็อดที่จะรู้สึกละลายใจไม่ได้

“ไปกันก่อนเถิด!”

หานเจวี๋ยสะบัดมือนำตัวจ้าวเซวียนหยวนเข้าไปเก็บไว้ในแขนเสื้อ เคลื่อนย้ายไปยังโลกดารา จากนั้นเขาก็เหาะเข้าไปในคลื่นวนสีดำ

คลื่นวนสีดำหดตัวและหายไปอย่างรวดเร็ว

ในตอนนี้เอง เงาร่างร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในพระราชวัง

คนผู้นี้แต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำขาว ดวงหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาสองข้างเหลือบประกายสีฟ้าจางๆ ดูลึกลับเป็นอย่างยิ่ง

“หืม? จากไปรวดเร็วเช่นนี้เลยหรือ”

ชายในชุดคลุมนับนิ้วคำนวณ แต่เขาก็ไม่อาจคำนวณหาร่องรอยของจ้าวเซวียนหยวนได้

“หรือพวกเขาจะเข้าสู่แดนต้องห้ามอันธการไปในทันที?”

“เจ้าคนประหลาดนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

หานเจวี๋ยปล่อยจ้าวเซวียนหยวนลง

จ้าวเซวียนหยวนยังอยู่ในอาการตกใจจากความสั่นไหวภายในโลกดารา เมื่อเขาล้มลงตรงหน้าของหานเจวี๋ย เขาก็รู้สึกราวกับเพิ่งตื่นขึ้นมาจากความฝัน

เขารีบร้อนคารวะหานเจวี๋ยในทันที เป็นพิธีฝากตัวเข้าสำนัก

หานเจวี๋ยเอ่ยปาก “เจ็ดปีก่อน ข้ารับรู้ถึงคำขานเรียกของท่าน ทว่ามีครึ่งอริยะหรือบุคคลที่แข็งแกร่งกว่าวนเวียนอยู่รอบๆ”

จ้าวเซวียนหยวนตะลึงงัน พลางขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ข้าแค่บอกกับอาจารย์ของข้าว่าต้องการออกไปข้างนอก…”

‘ครึ่งอริยะเผ่าพันธุ์มนุษย์…หรือว่าจะเป็น…’

จ้าวเซวียนหยวนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

หานเจวี๋ยเดินไปทางปากถ้ำแล้วกล่าว “ตามข้ามา”

จ้าวเซวียนหยวนรีบเดินตามไป

เขากวาดสายตาสำรวจถ้ำเทวาฟ้าประทานแห่งนี้ ก่อนที่จะถูกดอกพลับพลึงแดงดึงดูดสายตาไป

‘นี่มันดอกพลับพลึงแดงที่เติบโตในยมโลกไม่ใช่หรือ? ผู้อาวุโสปลูกมันจริงๆ…’

พายุคลั่งก่อตัวขึ้นภายในใจของจ้าวเซวียนหยวน ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณ และปราณฟ้าประทานที่รุนแรงหาใดเปรียบ รุนแรงเสียยิ่งกว่าที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าพันธุ์มนุษย์

เมื่อพ้นออกมาจากถ้ำเทวา เหล่าศิษย์ที่บำเพ็ญอยู่ใต้ต้นฝูซังก็พากันหันมามองเป็นตาเดียว

ไม่ใช่เพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหานเจวี๋ย แต่เพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของจ้าวเซวียนหยวน

“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป นี่คือศิษย์คนที่หกของข้า พวกเจ้ารู้จักกันไว้ล่ะ” หานเจวี๋ยกล่าว

พูดจบเขาก็หมุนตัวกลับเข้าไปในถ้ำเทวา

ทุกคนเข้ามาห้อมล้อมจ้าวเซวียนหยวนทีละคน

เจียงอี้ถามด้วยความตกใจ “จ้าวเซวียนหยวน! เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”

จ้าวเซวียนหยวนหรี่ตาลง มองเขาอย่างสงสัย “เจ้าคือเจียงอี้จากเผ่าเทพอีกาทองใช่หรือไม่”

ทั้งเขาสองคนล้วนเป็นบุตรแห่งสวรรค์ ทว่าตบะห่างชั้นกันอยู่มาก จ้าวเซวียนหยวนเป็นถึงปฐมเทพขั้นสาม นับได้ว่าเป็นผู้อาวุโสของเจียงอี้

เจียงอี้กล่าวอย่างร้อนรน “เจ้าก้าวสู่ระดับเทพแล้วยังไปคารวะซือหม่าอี้อีก เผ่าพันธุ์มนุษย์รู้เรื่องนี้หรือไม่”

ไก่คุกรัตติกาลเอ่ยปากขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดเจ้าถึงเรียกนายท่านว่าซือหม่าอี้”

“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า!”

เจียงอี้ทะเลาะกับไก่คุกรัตติกาลอีกยก

จ้าวเซวียนหยวนเริ่มสังเกตคนอื่นๆ

ผ่านไปไม่นาน สิงหงเสวียนก็ออกมาดูความวุ่นวายนอกถ้ำเทวา เมื่อนางเห็นจ้าวเซวียนหยวน นางก็พลันตกตะลึงโดยไม่รู้ตัว

‘นี่มันบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ใช่หรือ หานเจวี๋ยไปพาเขามาได้อย่างไร’

วันรุ่งขึ้น

หานเจวี๋ยมอบสิทธิ์ในการใช้งานแบบจำลองการทดสอบให้แก่จ้าวเซวียนหยวน จ้าวเซวียนหยวนรู้สึกตกตะลึงกับแบบจำลองการทดสอบเช่นเดียวกับศิษย์คนอื่นๆ และไม่นานเขาก็เสพติดอย่างไม่อาจถอนตัวได้

จ้าวเซวียนหยวนลองท้าทายหานเจวี๋ยในแบบจำลองการทดสอบ ตบะของหานเจวี๋ยนั้นถูกปรับปรุงจนเท่ากับความสามารถในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าจ้าวเซวียนหยวนถูกวัชระเทพมารขุนพลสวรรค์สังหารในคราเดียวโดยไม่มีข้อยกเว้น

จ้าวเซวียนหยวนไม่ได้ถูกทรมานจากการโจมตี แต่เขาก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

เขาตัดสินใจถูกแล้ว! หานเจวี๋ยแข็งแกร่งจริงๆ!

จ้าวเซวียนหยวนไม่เคยได้ยินชื่อของพลังวิเศษอย่างแบบจำลองการทดสอบมาก่อน

หลังจากใช้เวลากับศิษย์คนอื่นๆ อยู่ระยะหนึ่ง เขาก็เข้าใจกฎเกณฑ์ของสำนักซ่อนเร้นและตั้งตาคอยกว่ากว่า

เขาจะอยู่ที่นี่จนกว่ามหาเคราะห์จะสิ้นสุดลง และจะต้องเป็นต้าหลัวให้ได้!

……………………………………